"โสภณ องค์การณ์"
ปี 2562 เป็นช่วงยาวนาน 12 เดือนต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมาเมื่อประชาชนซึ่งอยู่ในสภาวะด้อยสิทธิ ด้อยโอกาสต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดจากปัญหาเศรษฐกิจถดถอยแทบทุกแนว โดยเฉพาะการสร้างรายได้ และกำลังซื้อของผู้บริโภค ซึ่งอ่อนล้ามาต่อเนื่อง
ปีแห่งความทุกข์ยาก กำลังจากไปพร้อมกับความมั่นคงของรัฐบาลคณะ 3 ลุง ซึ่งดูเผินๆ แล้วไม่น่าจะมีปัญหาว่าจะมีใครมาเขย่าฐานอำนาจเมื่อเสียงปริ่มน้ำในสภาก็ยังดู แล้วไม่น่าวิตกเพราะมีฐานการเงินแข็งแกร่ง สร้างความอบอุ่นกับสมาชิกทั่วกัน
ยิ่งเห็นการจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ สมานฉันท์รื่นเริงบันเทิงใจ ร้องรำทำเพลงขณะที่ประชาชนน้ำตาท่วมอยู่ในหัวอก ก็ทำให้นักเลือกตั้งซีกรัฐบาลกระหยิ่มยิ้มย่องว่าได้มาอยู่ข้างที่รับประกันว่าจะไม่มีปัญหาอดอยากปากแห้ง ถ้าไม่คิดเป็นอื่น หรือเอาใจออกห่าง
ถ้าซีกของฝ่ายค้านก็ยังรวมตัวกันไม่ติด และยิ่งมีกลุ่มงูเห่าแสดงตัวให้เห็นชัดออกอาการหิวกล้วยก็ทำให้ฝ่ายค้าน อยู่ในอาการพะวักพะวงขาดยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนและมีท่าทีสะเปะสะปะ ถ้าเป็นมวยบนเวที มีผู้คนชมล้นหลาม ก็เป็นการออกรูปมวยวัด
ความเคลื่อนไหวนอกสภา กรณีม็อบเฉียบพลัน หรือ flash mob ยังไม่มีพลังมากพอที่จะทำให้เสถียรภาพของรัฐบาล 3 ลุงเกิดปัญหาเพราะมีกฎหมายควบคุมการชุมนุมเข้มข้นและภาครัฐมีกลไกของอำนาจทุกอย่าง โดยเฉพาะกฎหมายจากอำนาจพิเศษ
เพียงแค่นี้ก็เกินพอ เจ้าหน้าที่งัดเอามาจัดการกับกลุ่มเคลื่อนไหวได้เสมอ! และในยุคข้าวยากหมากแพง ไม่มีใครอยากมีปัญหากฎหมาย เป็นคดีอาญายืดเยื้อ
คนที่จะออกมาชุมนุมเคลื่อนไหวกับหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจก็ยังรู้สึกหวาดระแวงว่าจะโดนจับกุมคุมขังและเหตุที่จะออกมาก็ยังไม่มี น้ำหนักเพียงพอและส่วนหนึ่งยังกลัวว่าจะถูกหลอกใช้ และตัวนักการเมืองห้าวเองยังเอาตัวไม่รอด
จะถูกยุบพรรคหรือไม่ ก็ยังคาดเดาไม่ได้ แต่นักเก็งทั้งหลายเชื่อว่า “รอดยาก”
ที่ผ่านมาความเคลื่อนไหวของพรรคอนาคตใหม่ด้านมวลชนทำให้สุ่มเสี่ยงต่อการละเมิดกฎหมายและถูกมองว่าเป็นเป้าของการจัดการโดยกลุ่มผู้มีอำนาจ ซึ่งมีกลไกพร้อมสำหรับเล่นงาน ชนิดที่ว่าไม่มีโอกาสได้ผุดได้เกิด จะเคลื่อนไหวก็ลำบาก
หัวหน้าพรรคมีเงินก็จริง ยังต้องระวังเจ้าหน้าที่ซึ่งจะค้นหาทุกแง่มุมของกฎหมายเพื่อบอนไซพรรคอนาคตใหม่ ให้แจ้งเกิดใหม่ได้ยาก แม้จะมีเงินก็ตาม ความหวังว่าจะได้รับการสนับสนุนล้นหลามเหมือนการเลือกตั้งครั้งแรก ยังดูเลือนราง
อีกปัญหาสำคัญก็คือ ข้อเรียกร้องซึ่งไม่ตรงใจกับกลุ่มผู้เดือดร้อนจากปัญหาค่าครองชีพและความลำบากด้านรายได้ ทำให้ไม่มีแรงหนุนมากเท่าที่ต้องการ ความพยายามเขย่าเก้าอี้ 3 ลุง โดยมีความเคลื่อนไหวในสภาผ่านกรรมาธิการเป็นตัวหนุน
ปัญหาหนักหนาสาหัสของประชาชนก็คือเรื่องสภาวะเศรษฐกิจซบเซาจากปัจจัยหลายด้าน ซึ่งรัฐบาล 3 ลุงก็รู้ดีว่าเป็นจุดเปราะบาง แต่เมื่อไม่ถูกนำมาเป็นประเด็นหลักตอกย้ำให้เห็นการไร้ประสิทธิภาพและความสามารถในการแก้ไข ก็ทำให้พลาดโอกาส
ตลอด 5 ปีภายใต้รัฐบาลทหารและช่วงเริ่มต้นของรัฐบาลประชาธิปไตย ความพยายามแก้ปัญหาเศรษฐกิจโดยใช้นโยบายประชานิยมทำให้เห็นชัดว่ายิ่งแก้ไขด้วยเงินงบประมาณก้อนใหญ่แต่ละครั้ง ก็ยิ่งทำให้เห็นว่าเป็นมาตรการที่ไปไม่ได้แบบยั่งยืน
การใช้จ่ายเงินงบประมาณโดยขาดวินัยการเงินและการคลังเป็นจุดที่ถูกนำมาโจมตีได้เสมอ เพราะรัฐบาล 3 ลุงมีปัญหาการขาดดุลงบประมาณมาตลอด 5 ปีและได้กู้เงินสร้างหนี้สินไปมากกว่า 2 ล้านล้านบาทแล้ว ผลประโยชน์ที่งอกเงยมองไม่เห็นได้ชัด
ทั้งในปีงบประมาณ 2563 ซึ่งคาดว่าจะประกาศใช้ได้ในเดือนกุมภาพันธ์ รัฐบาลได้ทำแผนจะกู้เงิน 4.69 แสนล้านบาทมาอุดรูโหว่ของงบประมาณ ขณะที่เงินสำหรับจ่ายใช้คืนหนี้มีเพียง 1 ใน 3 ของเงินที่จะกู้มาเท่านั้น นับว่าน้อยจนน่าวิตก จะทำให้หนี้พอก
นี่จึงเป็นสภาพดินพอกหางหมูชัดเจน และรัฐบาลได้ประกาศแล้วว่าในปีงบประมาณ 2564 ก็ยังจะกู้อีก 5.2 แสนล้านบาท เท่ากับว่าหนี้ของประเทศเพิ่มขึ้นอีกและดินที่พอกหางหมูก็จะโป่งพองกว่าเดิม สักวันหนึ่งหมูจะพบว่าน้ำหนักมากลากไม่ไหว
โดยสรุปแล้ว รัฐบาล 3 ลุงใช้เงินกู้เงินมากกว่าความสามารถในการหารายได้เข้ารัฐ ไม่ว่าจะเป็นการเก็บภาษี ผลประโยชน์อื่นๆ เช่นค่าเช่า ค่าสัมปทาน ดังนั้นคงไม่ต้องเสียเวลาจินตนาการว่าจะสามารถทำงบประมาณให้สมดุลได้โดยเร็วหรือไม่
ภาพที่เห็นมีแต่ว่าจะมีหนี้เพิ่มทั้งภาครัฐและหนี้ครัวเรือน ซึ่งเริ่มอยู่ในขั้นวิกฤต เมื่อถึงระดับ 80 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ประชาชาติ ดังนั้นคำพูดของบรรดานักการเมืองที่ว่า “เพื่อให้บ้านเมืองก้าวหน้าไปได้” นั้น ก็คงจะก้าวไปบนพื้นฐานของความเป็นหนี้สิน
เปรียบเทียบไปแล้ว ก็เหมือนกับการจะแต่งตัวเดินป่าในพื้นที่มีแต่โคลนดูด! โอกาสรอดมีน้อย ถ้าไม่มีอุปกรณ์และตัวช่วยที่ทำให้การต่อสู้ชนะโดยสมบูรณ์
ทุกวันนี้ประเทศไทยพึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยว ถ้าเงินบาทยังแข็งเกินสภาวะปกติเช่นนี้ โอกาสที่จะขาดรายได้ ขยายกิจการ ย่อมเป็นไปได้ยาก มองไปข้างหน้ายังไม่แน่ว่าธนาคารจะอยู่ในสภาพที่ยังพึ่งพาได้ของประชาชน คนอยากได้เงินอีกหรือไม่
การเคลื่อนไหวบนท้องถนนจึงไม่ใช่สูตรที่จะทำให้ชนะได้ เมื่อยังได้รับการสนับสนุนจากองค์กรอำนาจและกฎหมาย คนส่วนใหญ่ยังไม่พร้อม และมองว่ายังต้องมีตัวกระตุ้นอื่นๆ เช่นความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ และความยากจนสุดโต่ง
แรงบีบจากหลายปัจจัย การไร้ทางแก้ปัญหาเศรษฐกิจเป็นพลังกดดันสำคัญ กระหนาบด้วยปัญหาการทุจริต คอร์รัปชั่น ความวุ่นวายในกลุ่ม สส. และความผยองในอำนาจของคนในรัฐบาล 3 ลุง อะไรที่ดูแล้วเกิดได้ยาก อาจกลายเป็นเรื่องเฉียบพลันได้