xs
xsm
sm
md
lg

“รัฐกล้วย” 3 ลุงก็ต้องแจกกล้วย...

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



"โสภณ องค์การณ์"

เสียงไชโยโห่ร้องแสดงความดีใจของ กลุ่ม 3 ลุงนักรัฐประหาร และนักเลือกตั้ง ในอาคารสนามกอล์ฟค่ำวันก่อน เป็นความยินดีปรีดาอย่างสุดๆ เมื่อตกลงประสานผลประโยชน์กันได้ในการกุมอำนาจรัฐ ทั้งอำนาจบริหารและนิติบัญญัติ สะท้อนให้เห็นความมั่นคง

เป็นเสียงของความมั่นใจของกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองว่าจะได้อยู่ยาว ถ้าไม่ความขัดแย้งจนไม่สามารถคืนดีเยียวยากันได้ ชาวบ้านได้เห็นการกอดรัดฟัดเหวี่ยงพร้อมรอยยิ้มกว้างหลังจากได้เปิบซุบหูฉลาม ปลาหิมะ อาหารหรูที่คนยากไร้ไม่มีวันได้ลิ้มรส

สะท้อนให้เห็นถึงความผยองอำนาจซึ่งชาวบ้านไม่มีผลประโยชน์ร่วมด้วย และคนกลุ่มนี้จะเปลี่ยนพฤติกรรม เสียงอ่อนหวาน แทบจะกราบตีนชาวบ้าน เมื่อใกล้วาระเลือกตั้ง เป็นธรรมชาติปกติของนักเลือกตั้งโดยการซื้อใจ ซื้อเสียงด้วยวิธีการต่างๆ

นี่เป็นวงจรอุบาทว์ทางการเมืองซึ่งอยู่คู่แผ่นดินนี้มั่นคงมาตั้งแต่ปี 2475

“การเมืองไม่มีมิตรแท้ ศัตรูถาวร มีแต่ผลประโยชน์ร่วมกันเท่านั้นที่ถาวร” ยังเป็นคำพูดอมตะเสมอ โดยเฉพาะในยุคการร่วมแสวงหาผลประโยชน์โดยใช้อำนาจการเมืองนำหน้า มีคณะ 3 ลุงเป็นกลุ่มกุมอำนาจแข็งแกร่ง มีเครือข่ายสมุนรับหน้าที่แจกกล้วย

นักเลือกตั้งบางกลุ่มยุคนี้มีพฤติกรรมไม่ต่างจากการเล่นละครลิง และลิงชอบกินกล้วย เมื่อเล่นละครลิงได้ตามบท ถูกใจ ไม่แหกคอก ย่อมได้กล้วยกินต่อเนื่อง ทั้งเปลี่ยนท่าทีหลังจากเล่นบทยึกยัก หวังต่อรองเมื่อเห็นว่าเกมนับคะแนนในสภามีความเสี่ยงสูง

ยิ่งคณะ 3 ลุงแพ้โหวตในสภาล่มซ้ำ 2 ครั้ง จำเป็นต้องแจกกล้วยเอาใจบรรดาลิงไร้เจ้าของ ลิงหากินอิสระ ด้านหัวโจกก็ได้รับการปรนเปรออาหารค่ำ ก่อนจะพิสูจน์ให้เห็นว่าพลังหูฉลาม ปลาหิมะ และกล้วยยังใช้ได้ ร่วมโหวตคว่ำการตรวจผลเสียของมาตรา 44

การพูดจาด้วยภาษาดอกไม้จากที่เคยแยกเขี้ยวใส่กัน คือผลประโยชน์ที่ลงตัว!

จะเป็นรอยยิ้มซ่อนมีดซุยไว้หรือไม่นั้น กาลเวลาและผลประโยชน์จะเป็นตัวกำหนด แต่ภาพที่เห็นชวนให้นึกว่า ยิ่งคนกลุ่มนี้อยู่ร่วมกันได้มั่นคงยืนยาวเท่าไหร่ ความเสี่ยงของบ้านเมืองที่จะเผชิญกับวิกฤตหลายด้าน หรือหายนะนั้น เป็นไปได้มาก

เพราะพื้นฐานโครงสร้างการเมือง เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม กระบวนการยุติธรรม ศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม หิริโอตตัปปะ อยู่ในสภาพเสื่อมทรุด จะทนกับการย่ำยีได้อีกนานเท่าไหร่ไม่มีใครคาดการณ์ได้เมื่อผู้กุมอำนาจรัฐยังลำพองผยองอำนาจ

การสำรวจความคิดเห็นของประชาชนจากหลายโพล ผลวิจัยของสถาบันต่างๆ ทำให้เห็นชัดว่าเศรษฐกิจของประเทศซบเซา ชะลอตัวทุกด้าน เว้นแต่ค่าเงินบาทซึ่งแข็งเทียบกับประเทศอื่นๆ ซึ่งมีเศรษฐกิจดีกว่า อำนาจการซื้อของประชาชนลดฮวบน่าใจหาย

มีแต่เครือข่ายใกล้ชิดกับกลุ่มผลประโยชน์อิงอำนาจรัฐ ตอบสนองด้านโฆษณาชวนเชื่อปั่นหัว เป่าหู มอมเมาชาวบ้านเท่านั้นที่ยังอยู่ดีกินดี อิ่มหมีพีมัน นอนหลับฝันดี

คนยากจน คนรายได้ ลดระดับแทบเป็นคนขาดรายได้ สิ้นไร้ไม้ตอก คนชั้นกลางพยายามไม่ใช้เงิน ไม่มั่นใจว่าเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกอย่างที่เป็นอยู่ขณะนี้ จะนำไปสู่หายนะอย่างไร จะเกิดมิคสัญญีกลียุคหรือไม่ ดังที่ประชาชนได้ลุกฮือในหลายประเทศ

คนกลัวเสียอำนาจย่อมรู้สึกสยองขวัญ อาจต้องเผ่นหนีตายไปนอกประเทศ!

ปัญหาหลักของการลุกฮือคือ ผู้กุมอำนาจรัฐโกงกิน เศรษฐกิจซบเซา คนว่างงาน มีปัญหาค่าครองชีพ การตักตวงกอบโกยผลประโยชน์จากกลุ่มได้เปรียบทางการเมือง สังคม เครือข่ายของผู้กุมอำนาจกินรวบ สร้างหนี้สิน มีทั้งเงินเฟ้อและเงินฝืด

แต่นักเลือกตั้งและผู้กุมอำนาจรัฐไม่เคยใส่ใจ พร้อมจะหาทางก่อหนี้สินซื้อใจชาวบ้าน ซื้อเวลาอยู่ให้นานที่สุด เพราะรู้ตัวดีว่า ถ้าตกจากอำนาจ น้ำลดตอผุดเมื่อไหร่ ความชั่วร้ายต่างๆ ความมั่งคั่งที่กลบซ่อนไว้ จะต้องโดนขุดคุ้ยเปิดโปงทำให้อยู่ไม่ได้

ทุกวันนี้มีคำถามสำหรับผู้กุมอำนาจว่า มั่นใจแค่ไหนว่าจะได้อยู่ยาว นึกหรือว่าประชาชนจะยอมทนอยู่ในสภาพนี้ และยอมให้บ้านเมืองอยู่ในสภาพย่ำยีโดนปล้นโดยกลุ่มผลประโยชน์ ซึ่งกดหัวชาวบ้านด้วยกฎหมาย อวยเอื้อนายทุนจนถูกมองว่าขายชาติ

เมืองไทยปัจจุบันนี้ มีการเมืองแบบ “แจกกล้วย” จึงเข้าตำราเป็น “รัฐกล้วย” หรือ “Banana Republic” เหมือนในลาตินอเมริกา มีนักการเมือง นายทุน ขุนศึก ศักดินา ร่วมผลประโยชน์กันเหนียวแน่น ประสานอำนาจกอบโกยความมั่งคั่งจากทรัพย์สินแผ่นดิน

ขณะเดียวกัน ประชาชนถูกเอารัดเอาเปรียบจากกลุ่มทุนซึ่งได้เจียดความมั่งคั่งเป็นส่วนแบ่งให้ผู้กุมอำนาจอื่นๆ ความเป็น “รัฐกล้วย” ของ “รัฐไทย” จึงสมบูรณ์แบบ อย่างที่เห็นว่าคนเพียงไม่กี่ครอบครัวได้เป็นเจ้าของความมั่งคั่ง 70 เปอร์เซ็นต์ในประเทศ

สภาพที่เกิดขึ้นในช่วงกว่าสัปดาห์ที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นว่าประชาชนขาดที่พึ่งพา คาดหวังอะไรไม่ได้จากผู้กุมอำนาจรัฐ ทั้งด้านการยัดเยียดให้ชาวบ้านเสี่ยงกับสารพิษเคมีเกษตรต่อเนื่อง เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของพ่อค้านายทุนหนุนคนมีอำนาจ

วันก่อนมีเสียงเตือนแล้วว่า “ถ้าผมอยู่ไม่ได้ พวกคุณก็จะอยู่ไม่ได้” อย่างนั้นเลย!

คนผยองอำนาจได้เห็นสัญญาณ เค้าลางไม่ดีสำหรับตัวเองเช่นนั้นหรือ?

แต่ละวันผ่านไป ชาวบ้านได้รู้เห็นอีเว้นท์ ไม่ต่างจากละครลิง ผู้กุมอำนาจรัฐร้องรำทำเพลง รื่นเริง ต่างจากชาวบ้านด้อยสิทธิ ด้อยโอกาส แต่ละวันผ่านไปไม่รู้ว่าอนาคตของตัวเองจะเป็นอย่างไร เมื่อผู้กุมอำนาจไม่สำนึกในหน้าที่ว่าต้องทำงานเพื่อบ้านเมือง

ไม่ใช่เพียงคำหวานป้อนให้ชาวบ้าน ผสมกับโครงการประชานิยมถมไม่เต็ม ให้ชาวบ้านได้อิ่มบางมื้อ ลืมความล้มเหลว ปัญหาเรื้อรังในบ้านเมือง แต่กลุ่มผลประโยชน์ยังกอบโกยความมั่งคั่ง เหมือนปลิง ทากรุมสูบเลือดเหยื่อที่อ่อนล้าใกล้วาระสุดท้าย

ชาวบ้านคนยากไร้ ด้อยโอกาสได้ยินเสียงไชโยกระหึ่มห้องอาหาร เหมือนเสียงภูตผีปีศาจ ซึ่งได้ทำให้เกิดความเสื่อมโทรมให้โครงสร้างประเทศจนผุกร่อน เสี่ยงต่อวิกฤต เสียงไชโยเป็นความยินดีที่จะได้อยู่ร่วมกันเพื่อกอบโกยผลประโยชน์อีกนาน

ตราบใดที่บ้านเมืองไม่สิ้นเวรกรรม รอดพ้นจากวงจรอุบาทว์ ก็จะมีเสียงไชโยอย่างนี้เป็นระยะๆ มีแต่ประชาชนเท่านั้นที่จะรวมตัวกันอย่างจริงจัง เพื่อดับเสียงความผยองลำพองได้ ยามนี้หวังพึ่งใครไม่ได้จริงๆ ประชาชนต้องทำด้วยตัวเองเพื่อความอยู่รอด

อย่านึกว่าบ้านเมืองจะอยู่เย็นเป็นสุขไร้วิกฤต ตราบใดที่ก๊วนนี้ยังอยู่ดีกินดี!


กำลังโหลดความคิดเห็น