"โสภณ องค์การณ์"
หลายคนในโลกโซเชียลคงได้เคยฟังคลิปภาพและเสียง “อาม่า”
“ฟิลิปปินส์มีไต้ฝุ่น ญี่ปุ่นมีแผ่นดินไหว อินโดนีเซียมีภูเขาไฟ เมืองไทยมีนักการเมือง กูว่าฉิบหายพอกัน...”
ผมว่า “อาม่า” พูดผิดครับ! “อาม่า” ประเมินศักยภาพในการทำลายล้างของนักการเมืองและคนกุมอำนาจรัฐไทยที่ชั่วร้ายต่ำมากเกินไป
วิบัติภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นใน 3 ประเทศนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นทุกปี ไม่ได้รุนแรงทุกครั้ง ความเสียหายด้านวัตถุ บ้านเมือง คนเสียชีวิต ก็มี บางครั้งก็มีจำนวนไม่มากนัก
เว้นแต่คนตาย ฟื้นไม่ได้ แต่ความเสียหายเกิดขึ้นสามารถซ่อมแซมได้ และทำให้ดีกว่าเดิม ป้องกันรับมือภัยพิบัติได้ เว้นแต่แผ่นดินไหวที่ยังไม่มีใครคาดการณ์ได้ล่วงหน้า อาจมีการไหวตัวเบาๆ ยังพอให้เตรียมรับสภาพ หรือหนีตายได้ทัน
แต่นักการเมืองไทย โดยเฉพาะกลุ่มชั่วร้าย กังฉินกินเมือง ผยองอำนาจ พฤติกรรมอุบาทว์นั้น ได้สร้างความ “ฉิบหาย” หลายอย่าง ต่างมิติ ต่อเนื่อง ไม่เคยหยุด ตราบที่ยังมีลมหายใจ มีนักการเมืองพอจะเรียกว่า “พอใช้ได้” หรือ “ดูแล้วค่อนข้างดี” เช่นกัน
ที่เคยมีมา เมืองไทยไม่เคยปลอดจากการทุจริต คอร์รัปชั่น ตราบใดที่เป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง หรือการรัฐประหาร ที่ผ่านมามีรัฐบาลที่มีผู้นำอยู่ในขั้นดี สามารถยกมือเคารพได้ ไม่สงสัยในความซื่อสัตย์สุจริต คือนายกฯ ที่ชื่อ “สัญญา ธรรมศักดิ์”
เป็นบุคคลน่านับถือ มีความตั้งใจแก้ปัญหาบ้านเมือง แต่คนชั่วเกลียดชัง!
เป็นรัฐบาลที่อยู่ท่ามกลางความวุ่นวายต่อเนื่องตลอดเวลาที่เป็นนายกฯ หลังจากสังคมไทยได้ลิ้มรส “ประชาธิปไตย” เมื่อล้มรัฐบาลเผด็จการทหารอยู่ในอำนาจยาวนาน
ที่เหลือ อยู่ในขั้นที่ว่า “มีคนโกงน้อย หรือโกงมาก” เข้าร่วมด้วย เพราะคนเป็นนายกฯ ที่เลือกรัฐมนตรีที่มาร่วม ไม่สามารถรับประกันใครได้เต็มร้อย มาจากเงื่อนไขต่างกัน ยิ่งมาจากการเลือกตั้ง เป็นนายทุนลงขันให้ ก็เป็นรัฐมนตรีเองหรือมีตัวแทน
ถ้าเป็นรัฐบาลมาจากการรัฐประหาร จะเห็นสภาพเพื่อนพ้องน้องพี่ เพื่อนร่วมรุ่น ความรู้ความสามารถต่ำกว่ามาตรฐานแต่ทำงานอย่างอื่นได้ เช่นการดูแลผลประโยชน์ด้านการหาเงินทอง เป็นผู้จัดการการเงิน หาทุนสะสมเผื่อวันที่ต้องหลุดจากอำนาจ
ยิ่งการเมืองยุคนี้ เราได้เห็นความเน่าเกินกว่าที่ผ่านมา ทั้งพวกเทพเทียม มารแท้จับมือประสานผลประโยชน์กันอย่างไม่อายฟ้าดิน อ้างความปรองดองสมานฉันท์
มีข้ออ้างชวนให้อาเจียนรากแตกรากแตนว่า “ต้องการให้บ้านเมืองเดินหน้าไปได้”
แต่ไม่ยอมพูดต่อว่าเมื่อเดินหน้าไปได้ ผู้กุมอำนาจ นักการเมือง คนในเครือข่าย ก็จะสุมหัวกันแสวงหาผลประโยชน์เพื่อตัวเองและพวกพ้อง สร้างความมั่งคั่งจากนโยบายสารพัด ดูดเงินจากภาษีประชาชน งบประมาณ หรือแม้กระทั่ง “กู้มาเพื่อโกง”
“อาม่า” น่าจะรู้ว่านักการเมืองสร้างความหายนะให้บ้านเมืองต่อเนื่อง โครงสร้างประเทศด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ ทรัพย์แผ่นดินถูกปล้นโดยพวกโจรเสื้อนอก เข้าสู้อำนาจด้วยเงินซื้อเสียง เล่ห์กลด้านระเบียบกฎหมาย
“อาม่า” ตั้งแต่เกิดมาคงเพิ่งได้ยิน “ปาฏิหาริย์ทางกฎหมาย” “นิติประเพณี” ทำให้พวก “นิติโสเภณี” ในหลายองค์กรทำมาหากินได้จากการตีความเอาใจผู้มีอำนาจ ทำกันอย่างหน้าด้านๆ ไร้จิตสำนึก ทั้งๆ ที่มีการศึกษาสูง คุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรมต่ำทราม
ถือว่ามีอำนาจแล้ว จะตีความอย่างไรก็ได้ สร้างระบบไร้มาตรฐาน
ไม่เหลือ “หิริโอตตัปปะ” ความละอายและเกรงกลัวต่อบาป ดังนั้น ภัยพิบัติเกิดจากธรรมชาติไม่มีทางจะทาบชั้นนักการเมืองไทยที่ชั่วช้าเลวทรามได้ และคำว่านักการเมือง ไม่จำกัดเฉพาะนักเลือกตั้ง ต้องรวมถึงคนในการเมืองจากการรัฐประหาร
และพวกที่มาจากการแต่งตั้งก็มีพฤติกรรมชั่วร้ายไม่น้อย ด้วยการแข่งกันรับใช้ผู้มีอำนาจ จะเป็นกลุ่ม “นิติ” บางพวกทำงานอาชีพอื่นไม่ได้ ต้องเอาอกเอาใจคนมีอำนาจเพื่อที่จะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกสถาบัน “ตรายาง” รับบทฝักถั่วตามคำสั่ง
พวกนี้อยู่ในระดับ “นิติโสเภณี” หรือ “นิติกะหรี่” นั่นเอง แต่ชั่วร้ายกว่า โดยรวมแล้วนักการเมืองไทยที่ชั่วร้าย ทำให้คน “ตายทั้งเป็น” ได้ในสภาพการด้อยสิทธิ ด้อยโอกาส เผชิญกับความทุกข์จากความอยุติธรรม กระบวนการกฎหมาย 2 มาตรฐาน
ทำให้มีเสียงค่อนแคะว่าประเทศไทยมี 1 ระบบ แต่ 2 มาตรฐาน!
พวกสมุนนักการเมืองชั่วร้ายจะกล่าวหาผู้ชี้ให้เห็นความเลวทรามต่ำช้าว่าเป็นพวก “ชังชาติ” ทั้งๆ ที่เป็นการการเกลียดชังผู้มีอำนาจไร้คุณงามความดี มีเจตนาร้ายต่อบ้านเมือง อยู่ในขบวนการทุจริต ปล้นชาติ ขายชาติ ไร้จิตสำนึกความเป็นคน
เห็นละครลิงทางการเมือง การโยกย้ายสังกัดพรรคอ้างอุดมการณ์ตรงกัน แล้วได้บำเหน็จทางการเมืองทันควันทันใจ ก็ยิ่งสะท้อนให้เห็นความน่าสมเพชเวทนา น่าอนาถในสภาวะการเมืองน้ำเน่าด้อยพัฒนา ติดอยู่ในกับดักของวงจรอุบาทว์ชั่วนิรันดร
สังคม “ติ่ง” อยู่สภาพเป็น “กบต้ม” ไม่รับรู้ชะตากรรมของบ้านเมืองว่าเสี่ยงต่อความเสื่อมทรุดด้านโครงสร้างทุกด้าน รอวันหายนะ ตราบใดที่นักการเมืองกังฉิน กลุ่มผลประโยชน์หน้าเดิมๆ ยังกุมอำนาจอยู่โดยอ้าง “เพื่อให้บ้านเมืองเดินหน้าไปได้”
สื่อบางกลุ่มรับบทนักเชลียร์ เพื่อความอยู่รอด อิ่มกับผลประโยชน์เช่นกัน เป็นนักทรยศประชาชน หมาเฝ้าบ้านอิ่มกับเศษอาหารที่โจรการเมืองโยนให้ แลกกับให้หยุดเห่า!
จะพาบ้านเมืองไปสู่หุบเหวของหายนะหรือไม่ แทบไม่ต้องสงสัย เพราะทุกวันนี้เร่งประสานผลประโยชน์อย่างเต็มที่ ทำกันอย่างไม่อายฟ้าดิน พรรคการเมืองอิ่มอุดมการณ์มุ่งแต่ความอิ่มท้อง ที่เคยไล่ฆ่าฟันกันกลางถนนก็มายิ้มแย้มให้กันเพื่อโอกาสทำเงิน
ประชาชนได้แต่มอง ทำตาปริบๆ ทำใจ ไม่รู้ว่าจะจัดการพวกกังฉินอย่างไร! ทุกวันนี้ประชาชนจึงอยู่ในสภาพ “ไร้ที่พึ่ง” ดูวังเวง สิ้นหวัง พวกที่ได้ประโยชน์อ้างว่าสภาพเศรษฐกิจไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ว่ากัน โดยลืมไปว่าโดยรวมแล้วอยู่ในสภาวะตายซาก
เลวร้ายกว่าหญ้าแห้งคอยฝนซึ่งไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะมา ไฟป่าปิดล้อมรอบทิศ!
ยิ่งมอง ยิ่งคิด ดูแล้ววังเวง มองไม่เห็นอนาคตว่าจะดีขึ้นได้อย่างไร ตราบใดที่ก๊วนนี้ยังกุมอำนาจ เปลี่ยนฉากเล่นละครแหกตาชาวบ้าน แก้ผ้าเอาหน้ารอดไปวันๆ!
หลายคนในโลกโซเชียลคงได้เคยฟังคลิปภาพและเสียง “อาม่า”
“ฟิลิปปินส์มีไต้ฝุ่น ญี่ปุ่นมีแผ่นดินไหว อินโดนีเซียมีภูเขาไฟ เมืองไทยมีนักการเมือง กูว่าฉิบหายพอกัน...”
ผมว่า “อาม่า” พูดผิดครับ! “อาม่า” ประเมินศักยภาพในการทำลายล้างของนักการเมืองและคนกุมอำนาจรัฐไทยที่ชั่วร้ายต่ำมากเกินไป
วิบัติภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นใน 3 ประเทศนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นทุกปี ไม่ได้รุนแรงทุกครั้ง ความเสียหายด้านวัตถุ บ้านเมือง คนเสียชีวิต ก็มี บางครั้งก็มีจำนวนไม่มากนัก
เว้นแต่คนตาย ฟื้นไม่ได้ แต่ความเสียหายเกิดขึ้นสามารถซ่อมแซมได้ และทำให้ดีกว่าเดิม ป้องกันรับมือภัยพิบัติได้ เว้นแต่แผ่นดินไหวที่ยังไม่มีใครคาดการณ์ได้ล่วงหน้า อาจมีการไหวตัวเบาๆ ยังพอให้เตรียมรับสภาพ หรือหนีตายได้ทัน
แต่นักการเมืองไทย โดยเฉพาะกลุ่มชั่วร้าย กังฉินกินเมือง ผยองอำนาจ พฤติกรรมอุบาทว์นั้น ได้สร้างความ “ฉิบหาย” หลายอย่าง ต่างมิติ ต่อเนื่อง ไม่เคยหยุด ตราบที่ยังมีลมหายใจ มีนักการเมืองพอจะเรียกว่า “พอใช้ได้” หรือ “ดูแล้วค่อนข้างดี” เช่นกัน
ที่เคยมีมา เมืองไทยไม่เคยปลอดจากการทุจริต คอร์รัปชั่น ตราบใดที่เป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง หรือการรัฐประหาร ที่ผ่านมามีรัฐบาลที่มีผู้นำอยู่ในขั้นดี สามารถยกมือเคารพได้ ไม่สงสัยในความซื่อสัตย์สุจริต คือนายกฯ ที่ชื่อ “สัญญา ธรรมศักดิ์”
เป็นบุคคลน่านับถือ มีความตั้งใจแก้ปัญหาบ้านเมือง แต่คนชั่วเกลียดชัง!
เป็นรัฐบาลที่อยู่ท่ามกลางความวุ่นวายต่อเนื่องตลอดเวลาที่เป็นนายกฯ หลังจากสังคมไทยได้ลิ้มรส “ประชาธิปไตย” เมื่อล้มรัฐบาลเผด็จการทหารอยู่ในอำนาจยาวนาน
ที่เหลือ อยู่ในขั้นที่ว่า “มีคนโกงน้อย หรือโกงมาก” เข้าร่วมด้วย เพราะคนเป็นนายกฯ ที่เลือกรัฐมนตรีที่มาร่วม ไม่สามารถรับประกันใครได้เต็มร้อย มาจากเงื่อนไขต่างกัน ยิ่งมาจากการเลือกตั้ง เป็นนายทุนลงขันให้ ก็เป็นรัฐมนตรีเองหรือมีตัวแทน
ถ้าเป็นรัฐบาลมาจากการรัฐประหาร จะเห็นสภาพเพื่อนพ้องน้องพี่ เพื่อนร่วมรุ่น ความรู้ความสามารถต่ำกว่ามาตรฐานแต่ทำงานอย่างอื่นได้ เช่นการดูแลผลประโยชน์ด้านการหาเงินทอง เป็นผู้จัดการการเงิน หาทุนสะสมเผื่อวันที่ต้องหลุดจากอำนาจ
ยิ่งการเมืองยุคนี้ เราได้เห็นความเน่าเกินกว่าที่ผ่านมา ทั้งพวกเทพเทียม มารแท้จับมือประสานผลประโยชน์กันอย่างไม่อายฟ้าดิน อ้างความปรองดองสมานฉันท์
มีข้ออ้างชวนให้อาเจียนรากแตกรากแตนว่า “ต้องการให้บ้านเมืองเดินหน้าไปได้”
แต่ไม่ยอมพูดต่อว่าเมื่อเดินหน้าไปได้ ผู้กุมอำนาจ นักการเมือง คนในเครือข่าย ก็จะสุมหัวกันแสวงหาผลประโยชน์เพื่อตัวเองและพวกพ้อง สร้างความมั่งคั่งจากนโยบายสารพัด ดูดเงินจากภาษีประชาชน งบประมาณ หรือแม้กระทั่ง “กู้มาเพื่อโกง”
“อาม่า” น่าจะรู้ว่านักการเมืองสร้างความหายนะให้บ้านเมืองต่อเนื่อง โครงสร้างประเทศด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ ทรัพย์แผ่นดินถูกปล้นโดยพวกโจรเสื้อนอก เข้าสู้อำนาจด้วยเงินซื้อเสียง เล่ห์กลด้านระเบียบกฎหมาย
“อาม่า” ตั้งแต่เกิดมาคงเพิ่งได้ยิน “ปาฏิหาริย์ทางกฎหมาย” “นิติประเพณี” ทำให้พวก “นิติโสเภณี” ในหลายองค์กรทำมาหากินได้จากการตีความเอาใจผู้มีอำนาจ ทำกันอย่างหน้าด้านๆ ไร้จิตสำนึก ทั้งๆ ที่มีการศึกษาสูง คุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรมต่ำทราม
ถือว่ามีอำนาจแล้ว จะตีความอย่างไรก็ได้ สร้างระบบไร้มาตรฐาน
ไม่เหลือ “หิริโอตตัปปะ” ความละอายและเกรงกลัวต่อบาป ดังนั้น ภัยพิบัติเกิดจากธรรมชาติไม่มีทางจะทาบชั้นนักการเมืองไทยที่ชั่วช้าเลวทรามได้ และคำว่านักการเมือง ไม่จำกัดเฉพาะนักเลือกตั้ง ต้องรวมถึงคนในการเมืองจากการรัฐประหาร
และพวกที่มาจากการแต่งตั้งก็มีพฤติกรรมชั่วร้ายไม่น้อย ด้วยการแข่งกันรับใช้ผู้มีอำนาจ จะเป็นกลุ่ม “นิติ” บางพวกทำงานอาชีพอื่นไม่ได้ ต้องเอาอกเอาใจคนมีอำนาจเพื่อที่จะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกสถาบัน “ตรายาง” รับบทฝักถั่วตามคำสั่ง
พวกนี้อยู่ในระดับ “นิติโสเภณี” หรือ “นิติกะหรี่” นั่นเอง แต่ชั่วร้ายกว่า โดยรวมแล้วนักการเมืองไทยที่ชั่วร้าย ทำให้คน “ตายทั้งเป็น” ได้ในสภาพการด้อยสิทธิ ด้อยโอกาส เผชิญกับความทุกข์จากความอยุติธรรม กระบวนการกฎหมาย 2 มาตรฐาน
ทำให้มีเสียงค่อนแคะว่าประเทศไทยมี 1 ระบบ แต่ 2 มาตรฐาน!
พวกสมุนนักการเมืองชั่วร้ายจะกล่าวหาผู้ชี้ให้เห็นความเลวทรามต่ำช้าว่าเป็นพวก “ชังชาติ” ทั้งๆ ที่เป็นการการเกลียดชังผู้มีอำนาจไร้คุณงามความดี มีเจตนาร้ายต่อบ้านเมือง อยู่ในขบวนการทุจริต ปล้นชาติ ขายชาติ ไร้จิตสำนึกความเป็นคน
เห็นละครลิงทางการเมือง การโยกย้ายสังกัดพรรคอ้างอุดมการณ์ตรงกัน แล้วได้บำเหน็จทางการเมืองทันควันทันใจ ก็ยิ่งสะท้อนให้เห็นความน่าสมเพชเวทนา น่าอนาถในสภาวะการเมืองน้ำเน่าด้อยพัฒนา ติดอยู่ในกับดักของวงจรอุบาทว์ชั่วนิรันดร
สังคม “ติ่ง” อยู่สภาพเป็น “กบต้ม” ไม่รับรู้ชะตากรรมของบ้านเมืองว่าเสี่ยงต่อความเสื่อมทรุดด้านโครงสร้างทุกด้าน รอวันหายนะ ตราบใดที่นักการเมืองกังฉิน กลุ่มผลประโยชน์หน้าเดิมๆ ยังกุมอำนาจอยู่โดยอ้าง “เพื่อให้บ้านเมืองเดินหน้าไปได้”
สื่อบางกลุ่มรับบทนักเชลียร์ เพื่อความอยู่รอด อิ่มกับผลประโยชน์เช่นกัน เป็นนักทรยศประชาชน หมาเฝ้าบ้านอิ่มกับเศษอาหารที่โจรการเมืองโยนให้ แลกกับให้หยุดเห่า!
จะพาบ้านเมืองไปสู่หุบเหวของหายนะหรือไม่ แทบไม่ต้องสงสัย เพราะทุกวันนี้เร่งประสานผลประโยชน์อย่างเต็มที่ ทำกันอย่างไม่อายฟ้าดิน พรรคการเมืองอิ่มอุดมการณ์มุ่งแต่ความอิ่มท้อง ที่เคยไล่ฆ่าฟันกันกลางถนนก็มายิ้มแย้มให้กันเพื่อโอกาสทำเงิน
ประชาชนได้แต่มอง ทำตาปริบๆ ทำใจ ไม่รู้ว่าจะจัดการพวกกังฉินอย่างไร! ทุกวันนี้ประชาชนจึงอยู่ในสภาพ “ไร้ที่พึ่ง” ดูวังเวง สิ้นหวัง พวกที่ได้ประโยชน์อ้างว่าสภาพเศรษฐกิจไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ว่ากัน โดยลืมไปว่าโดยรวมแล้วอยู่ในสภาวะตายซาก
เลวร้ายกว่าหญ้าแห้งคอยฝนซึ่งไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะมา ไฟป่าปิดล้อมรอบทิศ!
ยิ่งมอง ยิ่งคิด ดูแล้ววังเวง มองไม่เห็นอนาคตว่าจะดีขึ้นได้อย่างไร ตราบใดที่ก๊วนนี้ยังกุมอำนาจ เปลี่ยนฉากเล่นละครแหกตาชาวบ้าน แก้ผ้าเอาหน้ารอดไปวันๆ!