"โสภณ องค์การณ์"
การเมืองไทย ในกับดักของวงจรอุบาทว์ได้เข้าสู่มิติใหม่ด้วยความเข้มข้นของท่วงท่าลีลาของการช่วงชิงแก่งแย่งอำนาจเพื่อรักษาผลประโยชน์และครั้งนี้ดูเหมือนว่า จะเป็นการต่อสู้มีเดิมพันสูง นั่นคือความอยู่รอดของตัวเองและฝ่ายอื่นๆ จะต้องถูกทำให้สิ้นสภาพ
เป็นยุคที่ประชาชนไม่สามารถจะพึ่งพาใครได้ในยามที่เศรษฐกิจเผชิญความซบเซาถดถอย ยังไม่เห็นโอกาสที่จะฟื้นตัวได้ และนับวันมีสัญญาณว่าจะเลวร้ายกว่าเดิม
การต่อสู้เชิงทำลายล้างปฏิปักษ์ ยุคนี้มีความอำมหิตเลือดเย็น ถ้าเป็นการทำศึกสงครามก็จะไม่มีการจับเป็นเชลย เพื่อเปิดทางให้มาล้างแค้นได้อีก
ผู้กุมอำนาจรัฐต่อเนื่องมานานกว่าห้าปีเล็งเห็นผลล่วงหน้าได้ว่าความพ่ายแพ้หมายถึงโอกาสที่จะถูกเช็กบิลโดยฝ่ายตรงข้าม ดังนั้นจึงต้องใช้ทุกวิธีเพื่อสกัดกั้นไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามได้มีพลังสร้างเครือข่ายฐานอำนาจ นอกจากกฎหมายควบคุมการเคลื่อนไหวอย่างเข้มงวดแล้ว ก็เริ่มจะมีการใช้พลังมวลชนฝ่ายเดียวกันเพื่อขับเคลื่อนอีกแนวหนึ่งด้วย
เข้าหลักแบ่งแยกแล้วปกครอง ลอยตัวเหนือความขัดแย้ง ตักตวงกอบโกยผลประโยชน์สำหรับตัวเองและพวกพ้องต่อไป
ความระหองระแหงในกลุ่มพรรคร่วมรัฐบาลที่เป็นอยู่ขณะนี้เปรียบเสมือนเป็น “ศึกสามเส้า” ซึ่งเห็นได้ว่ามี “พรรคพลังดูด” ที่เป็นแกนนำกับ “ค่ายบุรีรัมย์” ซึ่งความขัดแย้งเกี่ยวโยงกับผลประโยชน์ส่วนใหญ่ในกระทรวงคมนาคมโดยมีโครงการขนาดใหญ่มูลค่ามหาศาลเป็นเดิมพัน ซึ่งก่อนหน้านี้ถูกวางรากฐานไว้เป็นอย่างดีโดยรัฐบาลยุคคสช.
ความได้เปรียบของพรรคแกนนำคือมีสื่ออยู่ในสังกัดและใช้เป็นเครื่องมือโจมตีทำลายความน่าเชื่อถือและขุดคุ้ยประเด็นที่น่าสงสัยว่าจะมีการสุจริตและการกระทำต่อเนื่องทำให้เห็นว่าโอกาสที่จะประสานรอยร้าวได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากทนกลืนเลือด
ค่ายบุรีรัมย์ดูเหมือนจะเสียเปรียบเพราะไม่มีสื่ออยู่ในสังกัด และจะโดนรุมกินโต๊ะในประเด็นการต่อสู้เรื่องการแบนสารพิษเคมีเกษตรสามตัว ไม่ประสบความสำเร็จตีกินคะแนนได้ เนื่องจากมีผลประโยชน์มหาศาลนำเสนอโดยฝ่ายที่ต้องการจะให้ยืดการควบคุมหรือการยกเลิกอีกต่อไป
เมื่อต้องสู้กับเรื่องเงินก้อนใหญ่ฝ่ายต้องการให้ห้ามใช้สารเคมีเกษตร ค่ายบุรีรัมย์จึงต้องพ่ายแพ้อย่างหมดรูปและหัวหน้ารัฐบาลก็รู้เห็นเป็นใจกับกลุ่มผู้ค้า โดยอ้างถึงผลประโยชน์และผลกระทบต่อเกษตรกรที่จะต้องเผชิญ
ประเด็นนี้ต้องเลิกรากันไป แต่ทำให้ประชาชนเห็นว่าผลประโยชน์ของพ่อค้าเป็นสิ่งที่มีความสำคัญในสายตาของผู้กุมอำนาจรัฐ เป็นการสะสมแต้มให้ฝ่ายค้านได้เล่นงานในช่วงการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล
ประเด็นของหัวหน้าพรรคกลุ่มบุรีรัมย์ซึ่งถูกขุดคุ้ยโดยสื่อเชียร์รัฐบาล ยังมีต่อเนื่องเพราะมีผลประโยชน์จากโครงการของทั้งสองฝ่ายซึ่งจะต้องเจรจาหาจุดลงตัวกันให้ได้ เพื่อไม่ให้ต้องพังกันทุกฝ่ายและจำเป็นต้องหาคนไกล่เกลี่ยให้เป็นที่พอใจยอมรับได้ จะดีกว่าการแตกหัก
อีกประเด็นคือความร้าวฉานระหว่าง “พรรคแกนนำและค่ายสะตอ” ในเรื่องแหกมติพรรคและมีการต่อปากต่อคำ การทวงบุญคุณแถมคำขู่ว่าถ้ายังไม่เลิกรากันไปก็อาจจะต้องแยกทางกัน นั่นหมายความว่าค่ายสะตอจะถูกให้ไปเป็นฝ่ายค้านซึ่งเป็นบทที่ถนัดมากกว่า
แต่นั่นจะเป็นสิ่งที่ไม่ดีอย่างมากสำหรับฝ่ายรัฐบาลเพราะเท่ากับเป็นการยื่นอาวุธร้ายแรงให้ฝ่ายค้านซึ่งขาดพลัง ลำหักลำโค่น และความน่าเชื่อถือในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ด้วยข้อมูลอย่างมีน้ำหนักที่จะสร้างความสะเทือนต่อฐานอำนาจของรัฐบาลได้
การที่แกนนำรัฐบาลเสียงแข็งกับค่ายสะตอ คงเป็นเพราะความเชื่อมั่นว่า “พรรคส้ม” ซึ่งโดนปัญหารุมเร้าอย่างหนักคงจะไม่รอดจากการถูกสั่งให้ยุบพรรค และมีความหวังว่าส่วนหนึ่งของ ส.ส. พรรคส้มจะเข้าไปซบสวามิภักดิ์กับแกนนำรัฐบาลทำให้ไม่ง้อเสียงของค่ายสะตอ
และยังหวังอีกว่าส่วนหนึ่งของ ส.ส. ค่ายสะตอจะอพยพไปอยู่กับ “ลุงนกหวีด”และเสริมฐานของรัฐบาล แต่ประเด็นนี้ยัง เป็นเรื่องไกลตัวเพราะความขัดแย้งถือเป็นเรื่องปกติของพรรคร่วมรัฐบาลแต่จะต้องพยายามหาจุดลงตัวเพื่อรักษาผลประโยชน์ให้ได้เพราะการแตกหักย่อมไม่เป็นผลดีของทุกฝ่าย
สำหรับชาวบ้านที่คุ้นกับการเมืองน้ำเน่าในวงจรอุบาทว์มองว่านี่เป็นความขัดแย้งเพื่อส่วนหนึ่งใช้กลบข่าวร้ายในซีกรัฐบาลซึ่งกำลังดิ้นรนอย่างหนักเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจ และมาตรการต่างๆ ผ่านโครงการประชานิยมยังไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจให้รอดพ้นจากสภาพตายซากได้
ความขัดแย้งจึงเป็นเหมือนการเล่นเกมเกทับบลัฟแหลก ช่วงชิงความได้เปรียบเพื่อต่อรองและยังต้องให้ตัวเองดูดีในสายตาของประชาชนซึ่งเบื่อหน่ายการเมืองน้ำเน่าสุดๆ ถ้าประชาชนหลงคารมและเชื่อว่าจะมีการแตกหักกันจริงก็คงต้องผิดหวังซ้ำซาก
ประเด็นที่น่ามองคืออนาคตของพรรคส้มว่าจะเป็นอย่างไรถ้าหากถูกยุบจริงและกรรมการบริหารถูกตัดสิทธิในกิจกรรมการเมืองจะเป็น 5 หรือ 10 ปีก็สุดแล้วแต่ ซึ่งความเคลื่อนไหวภาคสนามหรือ “การลงถนน” จะเกิดขึ้นหรือไม่และจะนำไปสู่อะไรจึงเป็นเรื่องน่ากังวลไม่น้อย
จากกิจกรรม “วิ่งไล่ลุง” โดยกลุ่มไม่เอาลุง กำลังถูกสกัดโดยมือไม้ของอำนาจรัฐ เพื่อไม่ให้ขยายตัวลุกลาม ดังนั้นจึงมีขบวนการ “วิ่งตามลุง” มาคาน ส่อเค้าให้เห็นโอกาสที่จะเสียดทานกันในกิจกรรมถ้ามีการเผชิญหน้า
เท่านั้นยังไม่พอ ลุงนกหวีดและคณะได้ประกาศกิจกรรม “ต่อต้านคนชังชาติ” วางแผนจะมีการรณรงค์ทั่วประเทศ เห็นได้ชัดว่าพรรคส้มเป็นเป้าหมาย
นี่คือจุดเปราะบาง ถ้ามีกิจกรรม “ลงถนน” โดยฝ่ายเอาลุง และไม่เอาลุง ภาพที่เกิดปะทะกันในฮ่องกงชวนให้รู้สึกสยองไม่น้อย
ถ้ามีกิจกรรม “ลงถนน” โดยกลุ่มเหล่านี้น่าจะมีแนวร่วมของทุกฝ่ายโดยเฉพาะกลุ่มไม่เอาลุง ซึ่งเฝ้าคอยจ้องหาจังหวะสำหรับการเคลื่อนไหวมานานแล้ว โดยเฉพาะกลุ่มที่มีทั้งรองเท้าผ้าใบและใจถึงๆ
ชาวบ้านทั่วไปที่ต้องทนปัญหาเศรษฐกิจเรื้อรังคงอยากเข้าร่วมเช่นกัน เพราะมองว่าการปล่อยให้พวกลุงๆ อยู่ยาวแบบไร้ฝีมือ บ้านเมืองอาจไร้โอกาสฟื้นตัวได้ แถมยังเห็นการโกงกินคำโต แล้วหวังจะอยู่ยาวสร้างเครือข่ายหยั่งรากลงลึก
มาถึงจุดนี้ ชาวบ้านไร้ที่พึ่ง ก็ยอมรับว่า “อะไรจะเกิด ก็ต้องให้เกิด” ดีกว่าอยู่แบบตายซาก ไม่เห็นอนาคต
แล้วบอกว่า “ถ้าพวกข้าทุกข์อยู่แบบตายซากไร้อนาคต พวกเอ็งต้องไม่ได้อยู่เสวยสุขฝ่ายเดียว” นั่นเลย