"ปัญญาพลวัตร"
"พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"
ไม่เกินความคาดหมายของผู้ติดตามการเมืองแต่อย่างใดกับการที่ พรรคอนาคตใหม่ ถูก กกต. วินิจฉัยให้มีความผิดกรณีการกู้เงินนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค และมีมติด้วยเสียงข้างมากส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาตัดสินยุบพรรคและตัดสิทธิทางการเมืองของกรรมการบริหารพรรค
การตัดสินของ กกต.เป็นเงื่อนไขเชื่อมต่อที่สำคัญอย่างหนึ่งต่อสถานการณ์การเมืองไทยในช่วงปีหน้า และคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นปัจจัยชี้ขาดต่อทิศทางการเมืองไทย ภาพการปะทุและการแตกหักของความขัดแย้งระหว่างพลังการเมืองในสังคมไทยกำลังปรากฎชัดขึ้น
หลังรัฐประหาร พ.ศ. 2557 กลุ่มอนุรักษ์นิยมเชิงอำนาจนิยมคืบคลานเข้ามาควบคุมสังคมการเมืองไทยอย่างเบ็ดเสร็จ ลงทุนสร้างสภาปฏิรูปไม้ประดับหลายสภาด้วยกัน เพื่อแต่งเติมสร้างสีสันและความหวังในการเปลี่ยนแปลงสังคมที่ดีขึ้นแก่ประชาชน ทว่าเพียงไม่นานโฉมหน้าอันแท้จริงก็เริ่มเผยตัว พวกเขาขยายปีกโอบล้อมพื้นที่แห่งอำนาจรัฐทุกระดับและดึงเข้ามาอยู่ในเครือข่าย และผนวกพันธมิตรกลุ่มทุนผูกขาดมาร่วมขบวนการแบ่งปันผลประโยชน์ พร้อมกับกระชับมวลชนผู้มีความคิดและความเชื่อคล้ายกันเข้ามาเป็นฐานอำนาจ ทว่ากลับละทิ้งประชาชนที่ไม่นิยมตนเองไว้เบื้องหลัง
ในการเลือกตั้งเดือนมีนาคม 2562 เกิดปรากฏการณ์ที่เหนือความคาดหมายของบรรดากลุ่มอนุรักษ์เชิงอำนาจนิยมขึ้นมา เมื่อพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งมีความคิดและอุดมการณ์แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับพวกเขาสามารถกวาดที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรได้ถึง 80 เสียง โดยได้รับคะแนนนิยมจากประชาชนกลุ่มที่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงทางสังคมการเมืองมากถึง 6.33 ล้านคะแนน ปรากฏการณ์นี้เป็นการท้าทายและคุกคามสถานภาพและบทบาททางการเมืองของบรรดาชาวอนุรักษ์นิยมเชิงอำนาจนิยมอย่างใหญ่หลวง
การต่อสู้ของกลุ่มพลังทั้งสองดำเนินไปอย่างเข้มข้นในทุกสนาม ทั้งสนามการเลือกตั้ง สนามการเมืองออนไลน์ สนามการเมืองรัฐสภา สนาม “การเมืองของกฎหมาย” ส่วนสนามการเมืองบนท้องถนนนั้นยังมีไม่มากนัก จุดแข็งของพรรคอนาคตใหม่คือการใช้สนามการเมืองออนไลน์ และการใช้การเมืองในสภาผู้แทนราษฎรได้อย่างมีประสิทธิผล ซึ่งนอกจากสามารถสร้างคะแนนนิยมได้เพิ่มขึ้นแล้ว ก็ยังสั่นคลอนความน่าเชื่อถือของรัฐบาลอนุรักษ์นิยมเชิงอำนาจนิยมได้อย่างต่อเนื่อง
แต่จุดอ่อนของอนาคตใหม่คือ ความอ่อนหัดในเวทีการเมืองที่เป็นทางการ ความเร่งรีบใจร้อนในการสร้างการเปลี่ยนแปลง และเชื่อมั่นตนเองแบบล้นเกินของคนหนุ่มสาว จุดอ่อนเหล่านี้ทำให้พวกเขาพลาดในเรื่องที่ไม่ควรพลาดทางการเมือง และเมื่อพลาดก็ถูกอีกฝ่ายเปิดเกมรุกอย่างไม่หยุดยั้ง โดยอาศัยเครือข่ายอำนาจในองค์กรของรัฐทั้งหลายเป็นเครื่องมือบดขยี้อย่างไม่รั้งรอ
การพูดว่าสังคมการเมืองไทยยึดมั่นในหลักนิติรัฐและนิติธรรมในยุคสมัยนี้ หากไม่ใช่หลอกตัวเอง ก็คงไร้เดียงสาไม่ประสีประสาทางการเมือง หรือไม่ค่อยติดตามข้อมูลข่าวสารทางการเมืองอย่างใกล้ชิด หรืออาจตกอยู่ภายใต้อุปทานหมู่ที่ถูกชี้นำจากกลุ่มอำนาจ เพราะหากเปิดหู เปิดตาและเปิดใจรับข้อมูลข่าวสารอย่างรอบด้าน และวิเคราะห์โดยใช้วิจารณญาณแล้ว ก็จะเห็นความสึกกร่อนของระบบนิติธรรมดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ระบบพวกพ้องกำลังเจริญรุ่งเรืองและแผ่ขยายครอบครองเมืองทั้งเมือง
จุดแข็งที่สำคัญของกลุ่มอนุรักษ์เชิงอำนาจนิยมคือ การควบคุมกลไกรัฐและอาศัย “การเมืองของกฎหมาย” ตีความในทางที่เป็นคุณกับฝ่ายตนเอง และเป็นโทษกับฝ่ายตรงข้าม หากฝ่ายตนเองทำผิดกฎหมาย แม้หนักหนาสาหัสเพียงใด ก็จะใช้กลไกเหล่านั้นตีความปัดเป่าให้กลายเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมายเสีย ขณะเดียวกันหากฝ่ายตรงข้ามกระทำสิ่งใดที่พอจะเข้าข่ายละเมิดกฎหมายบ้าง แม้ว่าจะเบาบางหรือไม่ชัดเจนมากนัก กลไกอำนาจทั้งหลายจะเดินเครื่องอย่างเร่งรีบและร้อนแรง ดำเนินการตีความเชื่อมโยงให้กลายเป็นเรื่องหนัก และผิดกฎหมายอย่างรุนแรงได้
ดังนั้นเมื่อพรรคอนาคตใหม่พลาดและพลัดเข้ามาสู่สนามการต่อสู้ทางกฎหมาย ก็เหมือนเดินเข้าสู่ “สนามเชือด” หรือ “killing zone” โอกาสที่จะหลุดรอดออกไปอย่างปลอดภัยและปราศจากความผิด ยากยิ่งกว่าปีนบันไดขึ้นสู่สวรรค์เสียอีก ในอนาคตอันใกล้ฉากทัศน์ที่เรามีโอกาสเห็นได้มากที่สุดก็คือ กรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่คงถูกตัดสิทธิทางการเมือง หมดสิ้นสภาพการเป็น ส.ส. และ พรรคอนาคตใหม่ก็คงถูกยุบ หายไปจากเวทีการเมืองไทย แต่หากหลุดรอดไปได้ก็ถือว่าเป็นปาฏิหาริย์
ทว่า ปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นในอดีตนั้น หาได้เกิดขึ้นกับบรรดาผู้ที่ยังคงมีความคิด ความเชื่อ และการกระทำตรงข้ามกับกลุ่มอนุรักษ์เชิงอำนาจนิยมแต่อย่างใด หากแต่เกิดขึ้นกับกลุ่มที่เป็นพวกเดียวกันกับผู้มีอำนาจรัฐ และกลุ่มคนที่สยบยอมอ่อนน้อมและอยู่ภายใต้คำสั่งของพวกเขาเท่านั้น ดังนั้นหากใครคิดว่าจะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นกับพรรคอนาคตใหม่ ก็คงกำลังตกอยู่ในห้วงฝันและมองโลกสวยงามเกินความจริง
ทว่า คำถามคือ ช่วงเวลาใดที่เหมาะสมต่อการยุบพรรคอนาคตใหม่ หากเอาใจผู้มีอำนาจรัฐอย่างสุดขีด ก็คาดว่าจะเกิดขึ้นก่อนการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะทำให้เสียงของฝ่ายค้านแตกสลายและพลังในการสั่นคลอนเสถียรภาพรัฐบาลลดลงอย่างมหาศาล ทันทีที่กรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง ส.ส. จะหายไป 12 คน ส่วนที่เหลือก็จะแตกกระจาย ประมาณ 10-15 คนอาจไปอยู่กับพรรคพลังประชารัฐหรือพรรคร่วมรัฐบาลอื่น ๆ ขณะที่ 40-50 คน อาจเกาะกลุ่มและไปอยู่ร่วมกันในพรรคใหม่ เพื่อรักษาอุดมการณ์ละจุดยืนของพรรคเอาไว้
แม้ว่าการยุบพรรคอนาคตใหม่จะทำให้พลังของฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรลดลงอย่างมหาศาล ซึ่งหากมองชั้นเดียวก็อาจอนุมานว่า รัฐบาลจะมีเสียงมากพอเอาชนะการอภิปรายไม่ไว้วางใจอย่างง่ายดาย ทว่าสมการการเมืองมิได้มีชั้นเดียวเชิงเดียว หากแต่เป็นสมการเชิงซ้อน ตัวแปรที่เข้ามาเกี่ยวข้องอีกอย่างคือ ความขัดแย้งกันเองภายในพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งหากปะทุออกมาในช่วงเวลาดังกล่าว ก็อาจสร้างผลลัพธ์ที่แตกต่างออกไปได้
กระนั้นก็ตาม ไม่ว่าชะตากรรมของรัฐบาลจะเป็นอย่างไร แต่ในภาพรวมทางการเมือง ถือได้ว่า การยุบพรรคอนาคตใหม่เป็นชัยชนะทางการเมืองในสภาผู้แทนราษฎรของกลุ่มอนุรักษ์เชิงอำนาจนิยม ดังนั้นหากจะทำให้ดูเหมือนไม่เอาใจกันมากเกินไป ก็มีความเป็นไปได้ว่า การยุบพรรคจะเกิดหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ซึ่งแม้ว่าอาจมีความไม่แน่นอนต่อเสถียรภาพของรัฐบาลอยู่บ้าง แต่ภายใต้การกำกับจัดการของแกนนำผู้ทรงอิทธิพลในรัฐบาล คาดว่าคงจะผ่านพ้นไปได้
คำถามสำคัญอีกอย่างคือ สถานการณ์นอกสภาจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ผู้สังเกตการณ์ทางการเมืองบางส่วนประเมินว่า คงไม่มีอะไรเกิดขึ้นมากนัก เพราะคนไทยจำนวนมากยังคงมีความรู้สึกเหน็ดเหนื่อยและเบื่อหน่ายการชุมนุมที่เกิดขึ้นในช่วงก่อนการรัฐประหาร จนไม่มีใครอยากชุมนุมอีกต่อไป อีกทั้งคนรุ่นใหม่ที่สนับสนุนพรรคอนาคตใหม่ก็เป็นกลุ่มที่เก่งแต่เฉพาะหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือเท่านั้น หาได้มีความรู้สึกแรงกล้า มุ่งมั่นและอดทนเพียงพอลงไปต่อสู้ในการเมืองท้องถนนแต่อย่างใด ดังนั้นโอกาสจะเกิดการชุมนุมทางการเมืองจึงมีน้อย และการเมืองไทยก็ดำเนินต่อไปได้ภายใต้โครงสร้างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และกลุ่มอนุรักษ์เชิงอำนาจนิยมก็ยังคงกุมสภาพ บงการ และกำกับการเมืองไทยตามความปรารถนาของพวกเขาต่อไปอีกระยะหนึ่ง
ในขณะที่ผู้สังเกตการณ์ทางการเมืองอีกส่วนหนึ่งกลับมองอีกมุมว่า หากมีการเปิดเผยข้อมูลและกระจายข่าวสารอย่างเป็นระบบและต่อเนื่องเกี่ยวกับการกระทำที่ลุแก่อำนาจ ใช้กฎหมายโอบอุ้มพวกพ้องและรังแกฝ่ายตรงข้ามโดยไม่คำนึงถึงนิติธรรม รวมทั้งชี้ให้เห็นถึงความไร้ฝีมืออย่างสิ้นเชิงในการบริหารเศรษฐกิจของประเทศ ก็จะทำให้รัฐบาลประสบวิกฤติความชอบธรรมในการบริหารประเทศขึ้นมาได้ และนั่นคือถนนที่จะนำไปสู่การชุมนุมทางการเมืองเพื่อขับไล่รัฐบาลตามมา
หากมีการชุมนุมเกิดขึ้นจริง ผลลัพธ์ที่ตามมาจะเป็นอะไรได้บ้าง มีอย่างน้อย 3 อย่างคือ ประการแรก ผู้ชุมนุมเหนื่อยล้าและเลิกไปเอง โดยไม่อาจสร้างการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ประการที่สอง เกิดการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล มีรัฐบาลชั่วคราวและมีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ที่ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง ประการที่สาม เกิดการรัฐประหาร ประเทศเข้าสู่ยุคเผด็จการอีกครั้ง แกนนำการชุมนุมถูกจับหรือตามล่าตัว
สถานการณ์ทางการเมืองนับจากนี้ ผมคิดว่าการต่อสู้ของกลุ่มพลังทางการเมืองที่เป็นคู่ขัดแย้งจะทวีความเข้มข้นมากขึ้น และจะขยายวงออกไปในทั่วทุกสนามการเมืองในไม่ช้า