ข่าวปนคน คนปนข่าว
**"ทักษิณ"ชนไวน์"เฉลิม"และพวก งานโชว์บารมี"นายใหญ่" ผู้มีอำนาจเหนือหัวหน้าพรรคและประธานยุทธศาสตร์พรรค สยบเพื่อไทยร้าว ยังไงนาทีนี้ "หญิงหน่อย" สุดารัตน์ ยังไปต่อ
มีภาพถ่ายปรากฏเป็นเครื่องยืนยันล่าสุดว่า "ทักษิณ ชินวัตร" และ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" สองศรีพี่น้องนักโทษหลบหนีคดี อยู่กับส.ส.เพื่อไทยจำนวนหนึ่ง ที่นำโดย "ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง" และ "วัน อยู่บำรุง" ลูกชายบรรยากาศสนุกสนานชนแก้วไวน์กันเฮฮาปาร์ตี้ ทักษิณก็ยังเป็นทักษิณ ขณะที่นักการเมืองห้อมล้อม ก็รอ “ท่านสั่ง” กระทั่งจะกระดกไวน์เข้าปากยังต้อง“แล้วแต่ท่านสั่ง”
ดูแล้วทั้งสองคน โดยเฉพาะทักษิณ ยังอยู่ดีมีสุขกับการเป็นผู้มีอำนาจบารมีเหนือนักการเมืองในสังกัดเพื่อไทย และ แน่นอนว่าย่อมหมายถึงอำนาจการสั่งการพรรคด้วย
ว่ากันว่า การเจอกันของ "นายและลูกน้อง" อย่างร.ต.อ.เฉลิม และพวกครั้งนี้ มีขึ้นหลังกระแสข่าว ลูกพรรคสายอีสานกว่า 60 คน บินไปเยี่ยมทักษิณที่ดูไบก่อนนี้ โดยมีความขัดแย้งครั้งใหม่ แต่เรื่องเดิมที่จะเสนอให้นายใหญ่ เปลี่ยนตัว“หญิงหน่อย”สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรค มาเป็น“เฉลิม”
เฉลิมเจอทักษิณที่ฮ่องกง ยิ่งตอกย้ำเรื่องนี้ แต่คลื่นลมคนเพื่อไทย ก็ใช่ว่าจะยอมรับเฉลิมทั้งหมด มีทั้งกองเชียร์และกองแช่ง และต้องไม่ลืมว่า“กองหนุน”ของ"หญิงหน่อย" ก็มีไม่น้อย โดยเฉพาะกทม.ฐานสำคัญของทุกพรรคการเมือง
ทักษิณไว้วางใจ ให้ “หญิงหน่อย”ทำหน้าที่ ประธานยุทธศาสตร์พรรค ก็เหมือนตัวแทนของตัวเอง ปัญหาที่เกิดในพรรคหลายครั้งถ้าเหลือบ่ากว่าแรง หญิงหน่อย ก็สายตรงบินดูไบไปหารือกับนายใหญ่ได้ตลอดเวลา ดูอย่างช่วงที่มีปัญหาเรื่องส่งตัวเลือกลงชิงผู้ว่าฯ กทม.หลัง“ชัชชาติ สิทธิพันธุ์”ชิ่งลงเดี่ยวก็ครั้งหนึ่งที่ ทักษิณ โชว์พาวหนุน"หญิงหน่อย" สยบความเคลื่อนไหวลูกพรรค
บวกกับความเป็นนักการเมืองหญิงที่เก๋าเกม ขับเคลื่อนงานยุทธศาสตร์ของพรรค ลงพื้นที่หาเสียง จับกระแสเรื่องที่สังคมสนใจ ประสานงาน ติดต่อ พูดคุยกับแกนนำพรรคร่วม ภาษีของหญิงหน่อยในสายตาของทักษิณ ย่อมขี่ เฉลิม อยู่หลายช่วงตัว หากจะให้เปลี่ยนตัว“นอมินี” ดูแลพรรคในชั่วโมงนี้ก็ไม่น่าจะเกิดขึ้น
ส่วน "เฉลิม" แม้ไม่ได้เป็นคนดูแลพรรคแทนนายก็ไม่ใช่เรื่องเสียหน้าเสียศักดิ์ศรีตามแรงยุส่ง เพราะแค่อยู่ในฐานะเป็น“คนสนิท” ของทักษิณ และตระกูลชินวัตร ก็น่าพอใจ นึกอยากเจอ"ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์" เมื่อไหร่ก็ได้ แค่นี้บารมีที่จะส่งผลต่อคนในพรรคให้เกรงอกเกรงใจแบบนี้ไปเรื่อยๆ เฉลิมและพวกก็น่าจะพอใจมากกว่า “คุมพรรค”เองให้เหนื่อย และปวดหัวไปเปล่าๆ
ยิ่งเห็นสถานการณ์การเมืองของฝั่งรัฐบาลวันนี้ พรรคร่วมดูจะไม่ค่อยร่วมกันสักเท่าไหร่ มีประเด็นให้สื่อจับเป็นประเด็นแตกแยก แตกร้าวกันอยู่แทบจะทุกวัน ผ่านการโหวตในสภาฯ ที่ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร คุมกันไม่อยู่ พรรคเล็ก พรรคน้อย ก็กลายเป็นต้องพึ่งพา“งูเห่า”ที่ยังเอาแน่เอานอนไม่ได้ แถมต้องล็อบบี้กันปาดเหงื่อเพื่อให้อยู่รอดไปทีละเกมๆ
ดูจากภาพชนไวน์กับลิ่วล้อของทักษิณ น่าจะส่งสัญญาณให้กองเชียร์พลพรรคคนรักทักษิณสบายใจได้ว่า "สุดารัตน์" ยังได้ไปต่อ "เฉลิม" ยังเป็นคนสำคัญ พรรคเพื่อไทยไม่ได้มีความขัดแย้งที่จะถึงขั้นพรรคแตก
เรื่อง สร้างภาพ-สร้างเรตติ้ง ขอให้วางใจ ทักษิณ ส่วนหลังชนไวน์ชนแก้วกันแล้ว คนที่ชนกะนายใหญ่มาชะตากรรมเป็นอย่างไร อันนี้ลองทำนายกันเล่นๆ ดู .
**"ธนาธร" คอพาดเขียง!! จากกรณีปล่อยเงินกู้พรรคอนาคตใหม่ กกต.คิกออฟพรุ่งนี้ ตั้งธงพิจารณา 2 ประเด็น โทษถึงยุบพรรค กรรมการบริหารพรรคมีสิทธิ์ติดคุก !!
กรณี "ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ" ให้พรรคอนาคตใหม่ กู้ยืมเงินจำนวน 191 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในช่วงเลือกตั้ง กำลังเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งการลุ้นระทึก เพราะขณะนี้เลยกำหนด "เดดไลน์" ที่ กกต.ได้ขีดเส้นให้พรรคอนาคตใหม่ ส่งเอกสารหลักฐาน สำเนาบัญชี ที่เกี่ยวข้องกับการกู้เงิน ภายในวันที่ 2 ธ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งพรรคอนาคตใหม่ได้ขอขยายเวลาการส่งเอกสารหลักฐานดังกล่าวออกไปอีก 120 วัน โดยอ้างว่าเอกสารหลักฐานมีเยอะมาก ... แต่ทางกกต.ไม่อนุญาต เพราะเห็นว่าเจตนา "ถ่วงเวลา"
"อิทธิพร บุญประคอง" ประธาน กกต. ยังออกมาสำทับว่า เมื่อเลยกำหนดเวลาที่ให้พรรคอนาคตใหม่ยื่นชี้แจงแล้ว ก็ถือว่าพรรคไม่ติดใจ พร้อมสั่งการให้คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนของสำนักงานกกต. ส่งผลสรุปรายงานผลการตรวจสอบเท่าที่มี ให้ที่ประชุมใหญ่กกต. พิจารณาในวันที่ 11 ธ.ค.นี้ ... ส่วนผลการพิจารณาชี้ขาด จะได้ข้อยุติออกมาในวันนั้นเลยหรือไม่ เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ทั้งนั้น ...
ในแง่มุมของกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกรณี "เงินกู้"นี้ ที่กกต.จะยกมาพิจารณามี 2 ประเด็น คือ 1. การกู้เงินดังกล่าว ถือเป็นการบริจาคของบุคคลเกินกว่า 10 ล้านบาทต่อปี ตามที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ และ 2. การกู้เงินดังกล่าวถือว่าเป็นเงินที่ได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และเข้าข่ายเป็น "นิติกรรมอำพราง" หรือไม่ ...
ตามข้อกฎหมาย มาตรา 62 พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง ปี 2560 ที่ใช้อยู่นี้ ไม่เปิดโอกาสให้พรรคการเมืองกู้ยืมเงิน มาดำเนินกิจการพรรคการเมืองได้ ซึ่งต่างจาก พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง ปี 2550 ที่กำหนดให้พรรคการเมืองสามารถมีรายได้อื่น และพรรคการเมืองในขณะนั้นก็มีการกู้เงิน และนำมาลงบัญชีในหมวดรายได้อื่น
เมื่อพิจารณา "ข้อเท็จจริง" ตามเอกสารหลักฐานที่พรรคอนาคตใหม่ส่งมาให้นั้น ระบุว่า สัญญาเงินกู้ฉบับแรก ระหว่างพรรคอนาคตใหม่กับ"ธนาธร" ทำเมื่อวันที่ 2 ม.ค.62 วงเงิน 161,200,000 บาท และตามสัญญาระบุว่า พรรคจะมีการชำระเงินคืนภายใน 3 ปี โดยในปีแรก 80 ล้านบาท ปีที่สอง 40 ล้านบาท และปีที่สาม 41 ล้านบาท...
พรรคอนาคตใหม่ได้รายงาน กกต.ว่า ปัจจุบันเงินกู้ดังกล่าวได้มีการชำระไปแล้ว 26.8 ล้านบาท แบ่งเป็น 5 งวด ห่างกันครั้งละ 10 วัน และชำระเป็นเงินสดทั้งหมด... ซึ่งตรงจุดนี้มีประเด็นชวนให้สงสัยว่า พรรคไปเอาเงินมาจากไหนในทุกๆ 10 วัน เป็นเงินของใคร เบิกถอนมาจากไหน และเอาเข้าบัญชีใคร ... หรือถ้านำเงินที่เป็นรายได้ของพรรค ตามกฎหมายพรรคการเมือง มาตรา 62 มาชำระ ก็จะถือว่า "ผิดกฎหมาย" ชัดเจน เพราะกฎหมายมาตราดังกล่าว กำหนดที่มารายได้ของพรรคไว้ 7 ประการ ซึ่งไม่มีหมวด "รายได้อื่น" และไม่ให้นำรายได้เหล่านี้ ไปใช้เพื่อการอื่นใด นอกจากการดำเนินกิจการของพรรค หากมีการนำรายได้ของพรรคไปจ่ายหนี้เงินกู้...ตรงนี้กรรมการบริหารพรรค ก็จะมีความผิดตาม กฎหมายอาญา มีสิทธิ์ติดคุก !!
ส่วนโทษ "ยุบพรรค" ที่บรรดาแกนนำพรรคอนาคตใหม่ พยายามออกมาบอกว่า เรื่อง"เงินกู้" ถึงอย่างไรก็ไปไม่ถึงยุบพรรค แต่ก็มีความพยายามพูดกัน เพื่อดิสเครดิตทางการเมือง ทำให้สมาชิกพรรคระส่ำระสาย
แต่ในแง่มุมกฎหมายที่ กกต.จะนำมาพิจารณานั้น จะต้องดูถึงรายรับ รายจ่าย ของพรรคว่ามีการลงบัญชีเงินจำนวนนี้ไว้ในหมวดไหน การรับบริจาค ที่หากนำเงินบริจาคไปชำระคืน จะกระทบต่อยอดเงินบริจาคหรือไม่ รวมถึงความสามารถของพรรคในการชำระหนี้ ... เพราะตัวเลขรายงานงบการเงินของพรรคอนาคตใหม่ ในรอบปี 2561 ที่มีการรายงานต่อกกต.นั้น ปรากฏว่า... เมื่อเดือน เม.ย.62 ก็ยังมีค่าใช้จ่ายสูงกว่ารายได้ อยู่เลย...
ดังนั้น การให้พรรคกู้เงิน จึงอาจจะเข้าข่ายของการเป็น "นิติกรรมอำพราง" เป็นการได้เงินมาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่า มีแหล่งที่มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย... ซึ่งตรงนี้ก็จะเข้าข่ายตาม มาตรา 72 พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง ที่ห้ามไม่ให้พรรคการเมือง ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง รับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์อื่นใด โดยรู้ หรือควรจะรู้ว่า ได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือมีเหตุอันควร สงสัยว่ามีแหล่งที่มาไม่ชอบด้วยกฎหมาย ...ซึ่งจะมีความผิดตาม มาตรา 92 (3) เป็นเหตุให้ศาลรัฐธรรมนูญ สั่งให้ยุบพรรคการเมือง และเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ของกรรมการบริหารพรรคได้
ถ้ากกต.พิจารณาแล้วเห็นว่าพฤติกรรมการกู้เงินครั้งนี้ เข้าข้อกฎหมายตามที่ยกมาข้างต้น ก็เข้าข่ายมีโทษยุบพรรค และ กรรมการบริหารพรรคมีสิทธิ์ติดคุก
ขั้นตอนต่อไปที่ กกต.จะดำเนินการ คือ 1 . ถ้ากกต.เห็นว่าเป็นความผิดยุบพรรค ก็ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาวินิจฉัยได้เลย 2. ให้นายทะเบียนพรรคการเมืองมีความเห็น แล้วเสนอต่อกกต. เพื่อพิจารณาอีกครั้ง และ 3. มีมติให้แจ้งข้อกล่าวหา "ธนาธร และพรรคอนาคตใหม่" เพื่อให้มาชี้แจงข้อกล่าวหา เหมือนกับที่ กกต.เคยทำ ในกรณี มีมติให้ "ธนาธร" มาชี้แจงกรณีการถูกร้องเรื่องถือครองหุ้นสื่อ เพื่อดำเนินคดีอาญา ตาม มาตรา 151 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.
ซึ่งทั้ง 3 ช่องทางนี้ ก็ขึ้นอยู่กับที่ประชุมกกต. ว่าจะดำเนินการในช่องทางใด
ข้างฝ่ายพรรคอนาคตใหม่ ที่แต่เดิมพยายามจะ "เล่นเกมยื้อ" กับเรื่องนี้ ... แต่เมื่อกกต.ไม่เล่นด้วย จึงออกมาเคลื่อนไหว สร้างกระแสว่า กกต.เร่งรัดปิดสำนวนแบบผิดปกติ เหมือนจะเร่งมีมติชี้มูลในคดีนี้ให้ได้โดยเร็ว...พร้อมขู่ว่าจะฟ้องเอาผิดกกต. ทั้งคดีอาญาและคดีแพ่ง ในข้อหา เร่งรีบสอบสวนคดีเกินวิสัย
ล่าสุด "ช่อ" พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ ยังพยายามออกมาดิ้น "เบี่ยงเบน" ในทำนองว่า มีเอกสารต้องสงสัย ซึ่งอาจจะหลุดออกมาจากกกต. ระบุความเห็นของบุคคลระดับสูงในกกต. ในลักษณะที่ให้ดำเนินคดีอาญา "ธนาธร และกรรมการบริหารพรรค" ในคดีเงินกู้ จึงมีความน่าสงสัยว่า...การดำเนินการของ กกต. เป็นไปโดยมี "ธงทางการเมือง" และ "มีใบสั่งทางการเมือง" หรือไม่ เพราะได้มีการชี้นำว่าจะให้ "ธนาธร และกรรมการบริหารพรรค" มีความผิดในคดีอาญา ถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี พร้อมนำเรื่องขึ้นสู่ศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อนำไปสู่การยุบพรรคให้ได้ด้วย
เรื่อง "เงินกู้" และชะตากรรมของพรรคอนาคตใหม่ จะเดินไปอย่างไร สิ้นสุดที่ตรงจุดไหน วันพรุ่งนี้เริ่ม ”คิกออฟ”แล้ว !!