xs
xsm
sm
md
lg

กกต.เตรียมพิจารณากรณี"ธนาธร"ให้พรรคอนาคตใหม่กู้เงิน 11 ธ.ค.นี้

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะพิจารณารายงานผลการตรวจสอบของคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนของสำนักงาน กกต. กรณีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ให้พรรคอนาคตใหม่กู้ยืมเงินจำนวน 191 ล้านบาท ในวันที่ 11 ธันวาคมนี้ และเป็นที่น่าจับตาว่าในการประชุมครั้งนี้ กกต. จะมีมติชี้ขาดเลยหรือไม่ว่า กกต. ตั้งประเด็นพิจารณาตามคำร้อง 2 ประเด็น คือ 1. การกู้เงินดังกล่าวถือเป็นการบริจาคของบุคคลเกินกว่า 10 ล้านบาทต่อปี ตามที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ 2. การกู้เงินดังกล่าวถือว่าเป็นเงินที่ได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และเข้าข่ายเป็นนิติกรรมอำพรางหรือไม่ โดยเห็นว่าเมื่อพิจารณาข้อกฎหมาย มาตรา 62 พ.ร.ป. พรรคการเมือง ไม่เปิดโอกาสให้พรรคการเมืองกู้ยืมเงินมาดำเนินกิจการพรรคการเมืองได้ เช่นเดียวกับ พ.ร.ป. พรรคการเมือง ปี 2550 ที่จะกำหนดให้พรรคมีรายได้อื่นและพรรคการเมืองในขณะนั้นก็มีการกู้เงินและนำมาลงบัญชีในหมวดรายได้อื่น

ขณะที่ในส่วนข้อเท็จจริงหากบอกว่าเงินดังกล่าวเป็นเงินบริจาค ซึ่งกฎหมายกำหนดให้บริจาคได้เพียง 10 ล้านบาท หากจะบอกว่าที่เหลือเป็นการบริจาคเกินก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ และจากเอกสารหลักฐานที่พรรคอนาคตใหม่ส่งมาส่วนหนึ่งระบุว่าสัญญาเงินกู้ฉบับแรก เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2562 ที่พรรคอนาคตใหม่ทำสัญญากู้ยืมเงินจากนายธนาธรจำนวน 161,200,000 บาท และตามสัญญาระบุว่าพรรคจะชำระเงินภายใน 3 ปี โดยในปีแรกจะชำระเงินกู้จำนวน 80 ล้านบาท ปีที่สอง 40 ล้านบาท และปีที่สาม 41 ล้านบาท พรรคได้รายงานว่าปัจจุบันเงินกู้ดังกล่าวได้ชำระแล้ว 26.8 ล้านบาท แบ่งเป็น 5 งวด ห่างกันครั้งละ 10 วัน และชำระเป็นเงินสดทั้งหมด ซึ่งยังมีข้อน่าสงสัยว่าเงินดังกล่าวเป็นเงินของใคร เบิกถอนมาจากไหน และเอาเข้าบัญชีใคร หรือถ้านำเงินที่เป็นรายได้ของพรรคตามกฎหมายพรรคการเมืองมาตรา 62 มาชำระ จะถือว่าผิดกฎหมาย เพราะกฎหมายกำหนดเรื่องที่มารายได้ของพรรคไว้ 7 ประการ และไม่ให้นำรายได้เหล่านี้ไปใช้เพื่อการอื่นนอกจากการดำเนินกิจการของพรรค หากนำรายได้ของพรรคไปจ่ายหนี้เงินกู้ จะมีความผิดตามกฎหมายอาญา กรรมการบริหารพรรคมีสิทธิติดคุก

ขณะเดียวกัน ต้องพิจารณารายรับรายจ่ายของพรรคว่าลงบัญชีเงินจำนวนนี้ไว้ในหมวดใด การรับบริจาคที่หากนำเงินบริจาคไปชำระคืนกระทบต่อยอดเงินบริจาคหรือไม่ และความสามารถของพรรคในการชำระหนี้ เพราะจากรายงานงบการเงินของพรรคอนาคตใหม่ในรอบปี 2561 ที่รายงานต่อ กกต. เมื่อเดือนเมษายน 2562 ยังมีค่าใช้จ่ายสูงกว่ารายได้ ดังนั้น การให้พรรคกู้เงินจึงอาจจะเข้าข่ายของการเป็นนิติกรรมอำพราง เป็นการได้เงินมาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีแหล่งที่มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งจะเข้าข่ายตามมาตรา 72 พ.ร.ป. พรรคการเมือง ที่ห้ามพรรคการเมือง ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองรับบริจาคเงิน ทรัพย์สินหรือผลประโยชน์อื่นใด โดยรู้หรือควรจะรู้ว่าได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีแหล่งที่มาไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งจะมีความผิดตามมาตรา 92 (3) เป็นเหตุให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ยุบพรรคการเมืองและเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรคได้

ทั้งนี้ เรื่องการกู้ยืมเงินเป็นกฎหมายเอกชน ยืมเงินมาต้องใช้ แต่พรรคอนาคตใหม่จะเอาเงินที่ไหนมาใช้เมื่อกฎหมายห้ามนำเงินรายได้ของพรรคไปใช้อย่างอื่น นอกเหนือจากเพื่อการดำเนินกิจการทางการเมืองของพรรค ซึ่งเงินกู้ไม่ถือเป็นกิจการทางการเมืองของพรรค กกต. จึงสงสัยว่าจะเป็นนิติกรรมอำพราง ขณะที่กฎหมายปี 2550 เปิดช่องให้พรรคมีรายได้อื่นๆ พรรคจึงกู้เงินจากคนที่เป็นนายทุน บุคคลนอกพรรค แล้วก็เกิดปัญหาการครอบงำโดยบุคคลคนเดียว ดังนั้น กฎหมายในปี 2560 จึงแก้ไขและตัดเรื่องรายได้อื่นๆ ออก เพื่อให้พรรคไม่ใช้เงินเกินตัว โดยกำหนดว่าให้ใช้เงินจากทุนประเดิม ค่าสมาชิกพรรค เพราะไม่ต้องการให้เกิดการครอบงำจากบุคคลคนเดียวแล้วทำให้การเมืองผิดเพี้ยน เมื่อตัดออกแล้ว แต่พรรคอนาคตใหม่ก็ยังทำเช่นนี้

ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาเรื่องดังกล่าว หาก กกต. เห็นว่าเข้าข่ายมีความผิด ตามกฎหมายมีช่องทางที่ กกต.ดำเนินการได้ 3 ช่องทาง คือ 1. กรณีเป็นความปรากฏต่อ กกต. ซึ่งหาก กกต. เห็นว่าเป็นความผิดยุบพรรค สามารถเสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้เลย เช่น กรณียื่นให้ยุบพรรคไทยรักษาชาติ และให้วินิจฉัยสถานภาพ ส.ส. ของนายธนาธร ที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยยืนยันว่าการใช้อำนาจในการยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ในกรณีที่เป็นความปรากฏอยู่ในอำนาจที่ กกต. ดำเนินการได้ 2.ให้นายทะเบียนพรรคการเมืองมีความเห็นแล้วเสนอต่อกกต.เพื่อพิจารณาอีกครั้ง และ 3. มีมติให้แจ้งข้อกล่าวหานายธนาธร และพรรคอนาคตใหม่ เพื่อให้มาชี้แจงข้อกล่าวหา เช่นเดียวกับที่ กกต. เคยทำในกรณีมีมติให้นายธนาธร มาชี้แจงการถูกร้องเรื่องถือครองหุ้นสื่อเพื่อดำเนินคดีอาญาตามมาตรา 151 ของ พ.ร.ป. ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ซึ่งขึ้นอยู่กับที่ประชุม กกต. ว่าจะดำเนินการช่องทางใด