ปี 2562 กำลังจะจากไปด้วยความทรงจำของประชาชนที่อยู่ในสภาพแตกต่างกัน ทั้งยากดีมีจนข้นแค้นแสนสาหัส เป็นปีของการดิ้นรนเพื่อให้อยู่รอดของคนรายได้น้อย และสถานภาพไม่มั่นคง มีพนักงานภาคเอกชนถูกเลิกจ้าง เจ้าของธุรกิจปิดกิจการ
ปี 2562 จะจากไปพร้อมกับคำเตือนว่าเป็นปีแห่งการ “เผาจริง” และปีใหม่นี้เป็นปีสำหรับการเก็บกระดูกและลอยอังคาร นั่นเป็นความเห็นของคนที่ได้รับรู้ความยากลำบากในการดำรงชีพ เห็นความมั่งคั่งของผู้ยังมีรายได้ต่อเนื่อง ไม่อัตคัดขัดสน
ประเทศไทยอยู่ในสภาพที่ได้รับรู้ความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ติดอันดับต้นๆ ของโลก และระดับนำในประเทศอาเซียน พร้อมปัญหาสารพัด ความเสื่อมโทรมด้านโครงสร้างการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ธรรมชาติสิ่งแวดล้อม แผ่นดินมีแต่สารพิษ
เป็นสารพิษมากับขยะนำเข้าเกือบ 1 ล้านตันในยุคคณะ 3 ลุง ยังไม่มีวี่แววว่าจะลดลง ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านมีความห่วงใยสภาพแวดล้อม สุขภาพของประชาชนซึ่งโดนกระหน่ำโดยขยะนำเข้าสารพิษเคมีเกษตร อุตสาหกรรม อากาศพิษ
เป็นสภาพที่ไม่ควรจะมี ถ้าผู้บริหารบ้านเมืองแต่ละยุคไม่ลืมมรดกแผ่นดิน ลืมกำพืด ปล่อยให้พ่อค้า นายทุนใหญ่กำหนดนโยบายเศรษฐกิจของประเทศต่อเนื่อง เป็นนายทุนให้นักการเมือง ขุนทหารการเมือง เป็นผู้อยู่หลังฉากการกุมอำนาจรัฐ
นักการเมือง ขุนทหารการเมือง เป็นเพียงตัวแทน นายหน้าของนายทุนในการครอบงำระบบเศรษฐกิจของประเทศ และเป็นที่รู้กันว่าเศรษฐกิจและความมั่งคั่งในแผ่นดินนี้อยู่ในกำมือของมหาเศรษฐี กลุ่มธุรกิจเพียงไม่กี่ตระกูล รายใหม่เกิดยาก
แต่ละปีในยุคคณะ 3 ลุง จะเห็นทั้งมหาเศรษฐีหน้าเดิมและหน้าใหม่จากธุรกิจพลังงานไฟฟ้า ติดอันดับความมั่งคั่ง ไต่จากหมื่นล้านเป็นแสนล้านบาท ยังไปไม่หยุด ระบบโครงสร้างอำนาจได้เอื้อและอวยประโยชน์ให้กลุ่มผูกขาดความมั่งคั่งเต็มที่
คำปฏิเสธของคณะขุนทหารการเมือง 3 ลุงผู้กุมอำนาจรัฐว่าบ้านเมืองไม่มีปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ เศรษฐกิจไม่ถึงขั้นวิกฤต แต่ตัวเลขต่างๆ ที่ปรากฏ ช่างย้อนแย้งกับคำอ้าง นอกจากโครงสร้างที่อวยกลุ่มธุรกิจใหญ่ยังมีพวกรวยใหม่
พวกรวยใหม่เป็นกลุ่มอิงกับอำนาจคณะขุนทหาร ตัวตวงผลประโยชน์จากอำนาจเผด็จการอย่างเต็มบ้องในช่วง 5 ปี เป็นเครือข่ายฐานอำนาจของคณะ 3 ลุง
เป็นความมั่งคั่งแฝงเร้น ไม่มีใครกล้าตรวจสอบ ถ้าไม่เกรงว่าจะถูกตรวจสอบเสียเอง ยิ่งนักการเมืองมีแผลรอบตัวแล้ว ก็ยิ่งไม่กล้า เพราะไม่มีอำนาจ จำเป็นต้องโผผวาเข้าซบอำนาจ เปลี่ยนท่าทีจุดยืน ไม่เห็นหัวประชาชน มีคำอ้างอุบาทว์
“เพื่อให้บ้านเมืองเดินหน้าต่อไปได้” ดังนั้นต้องสยบต่ออำนาจของบรรดาขุนทหารซึ่งหนุนโดยกองทัพ ซึ่งควรมีหน้าที่ปกป้องอธิปไตย ความมั่นคงของชาติ แต่ถูกใช้เป็นฐานกำลังให้ขุนทหารทั้งเกษียณและรอการก้าวหน้าได้สืบทอดผลประโยชน์
การสืบทอดอำนาจมีให้เห็นผ่านการเมืองน้ำเน่าและทุนนิยมสามานย์ เป็นฐานเพื่อสืบทอดผลประโยชน์ เพื่อยังคงโอกาสสำหรับกอบโกยความมั่งคั่งอย่างต่อเนื่อง ความรวยของกลุ่มรวยใหม่แทบไม่ต้องปิดบัง เพราะความผยองอำนาจ
ประเทศไทยจึงได้เป็น “รัฐกล้วย” หรือ “Banana Republic” โดยสมบูรณ์แบบ โดยพฤตินัยและสภาพ ไม่ใช่เป็นคำล้อเลียนกลุ่มประเทศละตินอเมริกาอีกต่อไป เพราะนักการเมือง นายทุน ขุนศึก ศักดินา ได้กินรวบอำนาจ ผลประโยชน์หมดสิ้น
จะไม่ให้เป็น “รัฐกล้วย” ได้อย่างไร เมื่อนักการเมืองอดอยากปากแห้งถูกกล่าวหาผ่านคำร่ำลือว่าต้องรับการ “แจกกล้วย” ให้คงสภาพความเป็นทาสน้ำเงิน และพวกลากตั้ง แต่งตั้งยินยอมเป็น “ตรายาง” มีหน้าที่เป็น “ฝักถั่ว” ตามใบสั่ง
สภาพเศรษฐกิจของชาติมุ่งเน้นนโยบายประชานิยมจมไม่ลง ถมไม่เต็ม ต้องอัดฉีดเงินหลายแสนล้านบาทเพื่อกระตุ้นให้พ้นจากสภาพตายซาก ส่วนหนึ่งเป็นการปิดปากชาวบ้านไม่ให้โวยวายเรื่องความทุกข์อกไหม้ไส้ขม มีกฎหมายคุมการชุมนุม
ทั้งหนี้สินแผ่นดินเพิ่มขึ้นกว่า 2 ล้านล้านบาท และปีใหม่นี้ยังจะกู้อีกเกือบ 5 แสนล้าน มองไม่เห็นว่าคณะขุนทหาร 3 ลุงจะมีปัญญาทำให้งบประมาณสมดุลได้อย่างไร เมื่อทำตัวเป็นนักกู้สิบทิศ อีกไม่นานจะเป็นนักกู้ยอมจ่ายดอกเบี้ยแพง
หนี้ครัวเรือนขยายตัวทั้งแนวตั้งและแนวราบ อยู่ในระดับเกือบ 80 เปอร์เซ็นต์ของตัวเลขจีดีพีซึ่งนักบริหารเศรษฐกิจคณะ 3 ลุงคลั่งไคล้ ใช้เป็นเสมือนมนตราวิเศษใช้เยียวยาถอนพิษเศรษฐกิจตายซากได้ ฐานรากหญ้าเป็นเหมือนหญ้าแห้งคอยฝน
คณะขุนทหาร 3 ลุง เครือข่ายบริวารคนรวยใหม่ และกลุ่มทุนใหญ่อยู่เบื้องหลังนโยบายผ่องถ่ายเงินงบประมาณ ภาษีประชาชน สู่กระเป๋าเจ้าสัวไม่กี่ตระกูล นักการเมืองลากตั้ง เลือกตั้ง จึงเป็นกลุ่มที่มีความสุขเต็มเปี่ยมในแผ่นดิน
จัดงานเลี้ยงฉลอง ร้องรำทำเพลงในความสำเร็จในการประสานผลประโยชน์และกระชับฐานอำนาจ เพื่อกอบโกยความมั่งคั่งจากทรัพย์สินแผ่นดินต่อไป เป็นความผยองของอำนาจ ซึ่งประชาชนธรรมดาไม่มีโอกาสได้ร่วมแบ่งปันความสุข
มีแต่เศษเนื้อข้างเขียงที่คณะขุนทหารเจียดให้ โดยผ่านสู่กระเป๋านายทุนใหญ่ และจะเป็นอย่างนี้ต่อเนื่อง ตราบใดที่คณะกุมอำนาจกลุ่มนี้ยังอยู่ต่อไป แต่ยิ่งถ้าอยู่ต่อนานๆ เศรษฐกิจย่ำรอยเดิม หรือเผชิญวิกฤต ความหายนะมาเยือนได้เช่นกัน
ครั้งนี้จะทำให้วิกฤตต้มยำกุ้งเป็นเรื่องจ้อย เพราะประชาชนจะไม่ยอมอีกแล้ว!
ก็ได้แต่หวังว่าจะไม่มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น แล้วแต่วาสนาชะตากรรมของแผ่นดิน