xs
xsm
sm
md
lg

อย่าว่าแต่“กัญชา”บ้านละ 6 ต้นเลย แม้แต่ปลดล็อก“กระท่อม และกัญชง”ก็จะยังมีอุปสรรคที่ต้องฝ่าฟัน/ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ณ บ้านพระอาทิตย์
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

ความคาดหวังของประชาชนที่จะได้ปลูกกัญชา 6 ต้นนั้น มาจากพรรคภูมิใจไทยซึ่งได้ใช้เป็นนโยบายในการรณรงค์หาเสียงเมื่อต้นปี 2562 และส่งผลทำให้พรรคภูมิใจไทยได้เป็นพรรคการเมืองเก่าเพียงพรรคเดียวที่มีคะแนนเสียงจากการเลือกตั้งเพิ่มขึ้น และเป็นการเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด

ครั้นเมื่อพรรคภูมิใจไทยขึ้นมาเป็นรัฐบาลแล้ว อย่าว่าแต่เพียงกัญชาปลูกได้บ้านละ 6 ต้นเลย แม้แต่ “เสรีกัญชาทางการแพทย์” ยังกลายเป็นเพียงแค่ “การจำกัดการใช้อยู่เฉพาะหน่วยงานภาครัฐ” เท่านั้น

“การจำกัดการใช้อยู่เฉพาะหน่วยงานภาครัฐ” กลายเป็นอุปสรรคอันสำคัญที่ทำให้ประชาชนแทบไม่สามารถเข้าถึงยากัญชาได้ ประชาชนที่เข้ารอคิวยาวเหยียดที่คลินิกกัญชาของหน่วยงานภาครัฐ เมื่อไม่สามารถเข้าถึงยากัญชาได้ คนเหล่านั้นก็กลับไปใช้กัญชาใต้ดินที่ไม่มีใครสามารถไปคุ้มครองคุณภาพและราคาของผลิตภัณฑ์กัญชาในตลาดใต้ดินได้

เรื่องดังกล่าวข้างต้นจะไปกล่าวโทษแต่เฉพาะหมอที่ทำงานอยู่โรงพยาบาลภาครัฐไม่ได้ เพราะคนเหล่านั้นเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ส่วนใหญ่แล้วขาดประสบการณ์ในการจ่ายยากัญชาให้กับผู้ป่วยมาก่อน เมื่อถูกคำสั่งให้ใช้กัญชาย่อมต้องปฏิบัติตามตัวอักษรและขั้นตอนการวิจัยอย่างเคร่งครัด เพราะข้อบ่งใช้กัญชาเป็นไปอย่างจำกัดและมีขั้นตอนการวิจัยทางเภสัชศาสตร์และทางการแพทย์แผนปัจจุบันในการจ่ายกัญชาเต็มไปด้วยความยุ่งยากอย่างยิ่ง

และสำหรับแพทย์แผนปัจจุบันส่วนใหญ่ขอเลือกจำหน่ายยากัญชาตามตัวอักษรและการคัดกรองที่เชื่อมั่นว่าปลอดภัย ซึ่งย่อมต้องผ่านการวิจัยในหลอดทดลอง สัตว์ทดลอง และในมนุษย์ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นข้อบ่งใช้ที่มีการวิจัยและจดสิทธิบัตรการใช้กัญชาของบริษัทยาข้ามชาติมาแล้วทั้งสิ้น

ในความเป็นจริงแล้ว แม้ว่า ฝิ่น กัญชา โคคา จะเป็นพืชที่ถูกกำหนดให้เป็นยาเสพติดให้โทษตามอนุสัญญาเดี่ยวว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ค.ศ. 1961 โดยไม่เคยการห้ามให้นำมาใช้ในทางการแพทย์และการวิจัยเลย แต่สำหรับประเทศไทยได้มีการยกเลิกตำรับยาไทยทั้งหมดที่มีฝิ่นและกัญชาเป็นส่วนผสมอยู่ และให้หมอแผนปัจจุบันเท่านั้นที่มีสิทธิใช้มอร์ฟีนที่สกัดมาจากฝิ่นเพียงกลุ่มเดียวมาหลายสิบปี

เช่นเดียวกับ “กระท่อม” ซึ่งไม่เคยอยู่ในบัญชียาเสพติดให้โทษตามอนุสัญญาเดี่ยวให้โทษ ค.ศ. 1961 ประเทศไทยจึงเป็นประเทศแรกและประเทศเดียวในโลกที่กำหนดให้ “กระท่อม” เป็นยาเสพติดให้โทษ และยกเลิกตำรับยาไทยที่มีกระท่อมเป็นส่วนผสมทั้งหมด

แต่นับว่าโชคดีอยู่บ้างที่ว่า การแก้ไข พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 เกิดการเคลื่อนตัวของประชาชนที่ผลักดันแก้ไขกฎมายทวงคืนกัญชาให้กลับมาให้แพทย์แผนไทยได้กลับมาให้มีโอกาสใช้ตามภูมิปัญญาเดิม ทำให้ไม่ติดกับดักอยู่กับข้อบ่งใช้เฉพาะตามที่มีการจดสิทธิบัตรสารสกัดสำคัญจากกัญชาของบริษัทจากต่างชาติของการแพทย์แผนปัจจุบันแต่เพียงอย่างเดียว

ตำรับยาในการแพทย์แผนไทยและหมอพื้นบ้านซึ่งมีข้อบ่งใช้ในการจ่ายกัญชามากกว่ายาในแผนปัจจุบัน แต่นโยบายภาครัฐกลับจำกัดการใช้ในหน่วยงานภาครัฐต่อไป ทั้งๆที่ อนุสัญญาเดี่ยวว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ค.ศ. 1961และ พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 กฎกติกาไม่ได้มีการให้ผูกขาดเกือบทุกกิจกรรมเอาไว้เฉพาะภาครัฐอย่างที่ทำกันอยู่ทุกวันนี้เลย

ผู้ที่มีประสบการณ์ในการเป็น “หมอยา” หรือแม้แต่เคยมีประสบการณ์จากองค์ความรู้ตามใบประกอบโรคศิลปะตามวิชาชีพก็คือ แพทย์แผนไทย แพทย์แผนไทยประยุกต์ และหมอพื้นบ้าน ซึ่งคนที่มีประสบการณ์เหล่านั้นส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมด “อยู่ภาคเอกชน” ไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐ

เหตุผลที่เกิดขึ้นเช่นนี้เพราะอัตราตำแหน่งแพทย์แผนไทยในโรงพยาบาลภาครัฐส่วนใหญ่นั้น อยู่ภายใต้การบริหารของแพทย์แผนปัจจุบัน แพทย์แผนไทยจึงมีบทบาทน้อย เจริญเติบโตได้ช้า และไม่สามารถสั่งสมประสบการณ์เป็น “หมอยา” ได้เต็มประสิทธิภาพขององค์ความรู้ในการแพทย์แผนไทย แพทย์แผนไทยประยุกต์

นอกจากนั้นหมอแผนไทยในภาครัฐจำนวนไม่น้อยถูกให้ปฏิบัติหน้าที่เป็นเพียง “หมอนวด” หรือไม่ก็กลายเป็นเจ้าหน้าที่ทางธุรการ หรือถูกใช้ในทางวิชาการ ที่ไม่ได้ใช้ความรู้ความสามารถตามวิชาชีพในการรักษาผู้ป่วยได้เต็มประสิทธิภาพมากนัก

หรือแม้การจ่ายยาของหมอแผนไทยในสถานพยาบาลภาครัฐหลายแห่งก็ถูกจำกัดการจ่ายยาเดี่ยวของโรคพื้นฐานตามที่ถูกหนดในโรงพยาบาลเท่านั้น ไม่ได้มีโอกาสที่จะรักษาด้วยตำรับยาที่มีความสลับซับซ้อนได้มากมายนัก หรือแม้จะมี “หมอยา”บางคนที่มีประสบการณ์และมีความสามารถอยู่ในโรงพยาบาลภาครัฐบางแห่ง ก็ต้องรองรับคนไข้จำนวนมาก ไม่สามารถจะเสียเวลาที่มีขั้นตอนยุ่งยากในการใช้ยากัญชาได้เช่นกัน

แต่เมื่อยากัญชาถูกจำกัดอยู่เฉพาะหน่วยงานภาครัฐเท่านั้นย่อมเป็นการ “ผิดฝาผิดตัว” คนที่มีความรู้ในการใช้และพร้อมใช้กลับไม่มีกัญชาให้ใช้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ในขณะที่กัญชามีอยู่ที่หน่วยงานภาครัฐแต่กลับจ่ายกัญชาได้น้อยมาก

หากยังไม่มีการแก้ไข ยากัญชาที่ผลิตออกมาก็กำลังจะเริ่มหมดอายุลงในเดือนกรกฎาคม 2563 งบประมาณที่ลงไปก็จะเกิดประโยชน์กับการรักษาผู้ป่วยและการวิจัยได้น้อยมากจนน่าเสียดายยิ่ง

ความไม่คืบหน้าดังที่กล่าวมาข้างต้น ทำให้ประชาชนและผู้ป่วยจำนวนมากต้องเดือดร้อน เพราะนอกจากจะต้องเสี่ยงคดีความในฐานะคนที่ยังใช้หรือยังครอบครองกัญชาอยู่โดยที่เคยขึ้นทะเบียนนิรโทษกรรมกัญชาก่อนหน้านั้นและหมดช่วงเวลานิรโทษกรรมไปแล้ว ยังต้องหาซื้อกัญชาที่ไม่มีใครสามารถตรวจสอบคุณภาพได้และราคาแพงขึ้นอีกด้วย

และนี่คือสาเหตุว่าทำไมประชาชนจำนวนมากเร่ิมทวงสัญญา เสรีกัญชาทางการแพทย์ บ้านละ 6 ต้นมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะให้เวลากับรัฐบาลนานพอสมควรแล้ว

และต้องไม่ลืมว่า “ก่อนหน้านี้” ด้วยความมุ่งมั่นในการผลักดันนโยบาย “เสรีกัญชาทางการแพทย์” รวมถึง “การแบน 3 สารพิษทางการเกษตร พาราควอต ไกลโฟเซต และคลอไพริฟอส” ได้ทำให้ผลสำรวจประชาชนมีความพอใจในผลงานของนายอนุทิน ชาญวีรกูล แซงหน้า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชามาแล้ว

ดังนั้นไม่ว่าจะจัดงานเลี้ยงฉลองเสริมสร้างสัมพันธภาพระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลมากเท่าไหร่ก็ตาม หากทั้งเรื่องเสรีกัญชาทางการแพทย์และการแบน 3 สารพิษล้มเหลว ก็ย่อมเป็นประโยชน์ต่อพรรคการเมืองอื่นๆทุกพรรค ที่ไม่ใช่ “พรรคภูมิใจไทย” ดังที่“นายอนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้เคยประกาศ เมื่อครั้งเป็นประธานเปิดสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “กัญชาเสรีเพื่อการแพทย์”ของพรรคภูมิใจไทย ที่โรงแรมรามาการ์เดนส์ เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2562 ความว่า

“ขอขอบคุณทุกภาคส่วนสนับสนุนและดูแลผลักดัน วันนี้ถือเป็นการบีบบังคับว่า ถ้าเราทำนโยบายนี้ไม่ได้ เราสูญพันธุ์อย่างแน่นอน

เมื่อกัญชายังไม่มีความคืบหน้า ทำให้ดูเหมือนว่ากระทรวงสาธารณสุขกำลังจะหาทาง ปลดล็อก “กัญชง” ในขณะที่กระทรวงยุติธรรมก็ประกาศว่าจะปลดล็อก “กระท่อม” ให้เป็นผลงานเร็วที่สุด (และอาจจะเร็วกว่าการปลดล็อกกัญชงด้วย) เพื่อบรรเทาแรงกดดันทางการเมืองจากประชาชนจำนวนมากที่ตามทวงสัญญาปลูกกัญชาบ้านละ 6 ต้นอย่างต่อเนื่อง

โดยเฉพาะเรื่อง “กระท่อม” นั้นสมควรจะปลอดล็อกออกจากบัญชียาเสพติดให้โทษได้ทันที เพราะนอกจาก “กระท่อม” ไม่เคยอยู่ในบัญชียาเสพติดให้โทษตามอนุสัญญาเดี่ยวว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ค.ศ. 1961 มาก่อนแล้ว ยังได้รับการสนับสนุนจากรายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาผลดีและผลเสียของการบริโภคพืชกระท่อมออกจากยาเสพติดให้โทษ ประเภท 5 ตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษหรือไม่ ของวุฒิสภา ฉบับวันที่ 15 ตุลาคม 2546 ที่สรุปความตอนหนึ่งว่า

“กระท่อม มีสรรพคุณทางยาแผนโบราณ รักษาโรคบิด แก้ปวด มวนท้อง ปวดเบ่ง ท้องเสีย ท้องเฟ้อ ท้องร่วง ทำให้นอนหลับ และระงับประสาท มีค่าใช้จ่ายน้อย สามารถช่วยลดการถอนยา อาการปวดเมื่อย และรักษาอาการถอนยาจากการติดฝิ่นหรือเฮโรอีนได้ อีกทั้งยังมีข้อดีกว่ามอร์ฟีนหลายประการ เช่น ไม่กดทางเดินหายใจ การติดยา การอยากยาก ความทรมานน้อยกว่ามอร์ฟีน​ ฯลฯ”

คณะกรรมาธิการวิสามัญชุดดังกล่าว ของวุฒิสภา ยังได้ตรวจสอบไปถึง “เบื้องหลัง” ที่ทำให้ “กระท่อมเป็นยาเสพติดครั้งแรกในประเทศไทย” ก็เพราะ “พระราชบัญญัติพืชกระท่อม พ.ศ. 2486” ซึ่งปรากฏบันทึกรายงานคำอภิปรายของ พลตรีพิณ อมรวิสัยสรเดช สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดลำปาง เกี่ยวกับการพิจารณาก่อนลงมติรับร่าง “พระราชบัญญัติกระท่อม พ.ศ. 2486” ความว่า:

“ฝิ่นนั้นมีภาษีมาก แต่พืชกระท่อมไม่มีภาษี เมื่อฝิ่นแพงคนก็หันไปสูบกระท่อมแทนฝิ่น ทำให้การค้าของรัฐบาลลดหย่อนลงเช่นนี้ เพื่อให้ต้องตามวัฒนธรรมอันดีแล้ว จึงเห็นว่าฝิ่นสำคัญกว่าควรจะยกเลิก (กระท่อม)”

นอกจากนั้น ยังพบหลักฐานยืนเพิ่มเติมจาก กฎหมายร่วมสมัยอีกฉบับหนึ่งคือ พระราชบัญญัติฝิ่น (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2485 อันเป็นการแก้ไข พระราชบัญญัติฝิ่น พ.ศ. 2477 ซึ่งเดิมมีวัตถุประสงค์ป้องกันและปราบปราบฝิ่น แต่การแก้ไขครั้งนั้นกลับเป็นการเชิญชวนให้คนสูบฝิ่นมากขึ้น โดยการขยายเวลาให้คนไปขึ้นทะเบียนเสพฝิ่นเพิ่มเติมได้ และมีเหตุผลในกฎหมายฉบับที่แก้ไขครั้งนั้นด้วยว่า

“การจดทะเบียนโดยไม่มีโอกาสขยายกำหนดเวลา และทั้งให้เป็นการทำคราวเดียวนั้น คนติดฝิ่นจะไม่สามารถขึ้นทะเบียนได้หมดสิ้น คนเหล่านั้นก็จะมีความเดือดร้อนเพราะเขาสูบฝิ่นรัฐบาลในส่วนฝิ่นมิได้”

คณะกรรมาธิการวิสามัญชุดดังกล่าว ของวุฒิสภา ได้สรุปว่า

“แม้ฝิ่นจะเป็นสิ่งเสพติดให้โทษที่รุนแรงแต่กลับอนุญาตให้เสพได้ตามกฎหมาย เพราะรัฐบาลเป็นผู้ผูกขาดผลิตฝิ่นสุก ฝิ่นดิบ จำหน่ายเพียงผู้เดียว การผูกขาดการค้าฝิ่นก่อให้เกิดรายได้ในรูปภาษีฝิ่น และใบอนุญาตในรูปแบบต่างๆ เป็นเงินจำนวนมาก แต่เนื่องจากฝิ่นมีราคาแพง คนที่ติดฝิ่นจำนวนหนึ่งไม่มีเงินไปซื้อฝิ่นมาสูบหรือต้องการยกเลิกสูบฝิ่น จึงหันไปบริโภคพืชกระท่อมที่มีฤทธิ์คล้ายฝิ่น ทำให้รายได้ของรัฐน้อยลง จึงเป็นเหตุผลที่แท้จริงของการออกพระราชบัญญัติพืชกระท่อม พ.ศ. 2486”

และเนื่องจากทั้ง “กัญชา” และ “กระท่อม” เป็นยาแก้ปวดที่มีสถานะเป็นคู่แข่งทางการค้าที่อาจกระทบต่อธุรกิจของ “มอร์ฟีน” ซึ่งเป็นยาที่มีผลประโยชน์อย่างมหาศาล โดยในปี 2560 พบว่าภาระค่าใช้จ่ายของโรงพยาบาลในใช้โอปิออยด์ (มอร์ฟีน) มูลค่าถึง 91,731 ล้านบาท ซึ่งผู้ป่วยโรคมะเร็งมีความจำเป็นต้องใช้ยากลุ่มนี้อย่างมาก การปลดล็อก “กัญชาและกระท่อม” จึงย่อมเผชิญหน้ากับผลประโยชน์ทางธุรกิจของบริษัทยาอย่างแน่นอน

ประเทศไทยได้ให้ “กระท่อม”เป็นยาเสพติดเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ตำรับยาของการแพทย์แผนไทยที่เคยใช้โดยมี “กระท่อม” เป็นส่วนผสมก็ถูกห้ามใช้ทั้งหมดเช่นเดียวกับฝิ่นและกัญชา แต่แพทย์แผนปัจจุบันกลับเป็นกลุ่มวิชาชีพที่ผูกขาดการใช้มอร์ฟีนแต่เพียงกลุ่มเดียว และนี่คืออุปสรรคอันสำคัญที่น่าจะอยู่เบื้องหลังทำให้ “แพทย์แผนไทย แพทย์แผนไทยประยุกต์ และหมอพื้นบ้าน” ไม่สามารถใช้ ฝิ่น กัญชา และกระท่อม เพื่อปรุงยาเฉพาะรายได้จนถึงทุกวันนี้

ดังนั้นการปลดล็อกกระท่อมและกัญชาให้สามารถนำมาใช้ได้จริงต้องอาศัยทั้งการรู้เท่าทันและความกล้าหาญเท่านั้นจึงจะทำให้มีโอกาสฝ่าฟันในเรื่องนี้ได้

และคำประกาศกลางสภาผู้แทนราษฎร ของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม จากพรรคพลังประชารัฐ เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2562 ชัดเจนว่าจะเร่งดำเนินการปลดล็อกกระท่อมให้ออกจากบัญชียาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 อย่างแน่นอน และอาจจะกลายเป็นผลงานที่มาก่อนกัญชาและกระท่อมของพรรคภูมิใจไทยเสียด้วยซ้ำ

ส่วนการปลดล็อก “กัญชง” ซึ่งอาจคาดการณ์กันว่าอาจจะมาช่วยลดแรงกดดันทางการเมืองในการที่ประชาชนเรียกร้องการปลูกกัญชาบ้านละ 6 ต้นนั้น มีคำถามอยู่ว่ากัญชงที่ประชาชนจะได้มานั้นจะถูกกำหนดให้เป็นสายพันธุ์แบบไหนกันแน่ และจะเป็นพืชที่มีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจจริงมากน้อยเพียงใด

เพราะถ้าสนใจนิยามเพียงแค่ว่า “กัญชง” คือพืชที่มีสาร THC ต่ำกว่า 1% ของน้ำหนักแห้งแต่เพียงอย่างเดียว ย่อมเกิดคำถามว่าพันธุ์ที่ประเทศไทยจะเดินหน้าไปนั้นเน้นการปลูกที่มีไฟเบอร์สูงๆหรือไม่ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นก็ยังมีพืชชนิดอื่นๆที่มีไฟเบอร์สูงๆเป็นคู่แข่งที่ราคาถูกกว่าอีกหลายชนิด แน่ใจหรือว่าความคาดหวังของประชาชนจะได้ดังที่คิดเอาไว้

ในขณะเดียวกันหากเป็นสายพันธุ์ที่มีน้ำมันที่จะผลิตสาร “แคนนาบิไดออล” หรือ “CBDได้น้อยๆ”ด้วยแล้ว กัญชงเหล่านั้นจะคุ้มค่าทางเศรษฐกิจจริงหรือไม่ เพราะในปัจจุบันมีการพัฒนา “ผสมข้ามสายพันธุ์”ไปไกลมากแล้วเพื่อให้ได้ CBD สูงๆ เพื่อที่จะเป็นสารสำคัญที่สร้างมูลค่าสูงที่สุดในพืชกัญชง

แต่การกำหหนดในระดับสายพันธุ์ย่อยระเอียดกว่าสปีชีส์ว่าเป็น Cannabis sativa L. Subsp. Sativa ว่าเป็นกัญชงเท่านั้น ตามมาตรา 26/2 (2)ของ พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 นอกจะมีข้อสงสัยในเรื่องการล็อกสเปกสายพันธุ์ว่าจะเป็นพืชเศรษฐกิจได้จริงหรือไม่แล้ว ยังมีข้อสงสัยในเรื่องขั้นตอนที่ยุ่งยากว่าทุกใบอนุญาตจะต้องผ่านด่าน 27 คนในคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษอยู่ดี จะติดอุปสรรคพะรุงพะรังเพียงใด

และข้อสำคัญคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษระหว่างประเทศ ในเวทีองค์การสหประชาชาติ ที่คาดการณ์กันว่าจะมีการปลดล็อกสาร CBD ในเดือนมีนาคม 2563 นั้น เป็นการปลดล็อกที่ผลิตภัณฑ์ในขั้นตอนการสกัดสาร CBD ของอุตสาหกรรมกลางน้ำ และการผสม CBD เป็นผลิตภัณฑ์สุดท้ายในอุตสาหกรรมปลายน้ำ กลับไม่เคยมีการกำหนดล็อกสเปกพันธุ์พืชที่ต้นทางอย่างที่ประเทศไทยกำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้เลย คำถามมีอยู่ว่าประเทศไทยเดินมาถูกทางแล้วจริงหรือไม่?

ถ้าประเทศไทยยังช้าต้วมเตี้ยม เต็มไปด้วยกติกาที่ยึดแน่น และมีความคลุมเครืออยู่แบบนี้ ในปี 2563 หลายชาติในภูมิภาคนี้แม้มาทีหลังแต่คงจะแซงหน้าไทยไปอย่างแน่นอน

จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าวันที่ 6 มกราคม 2563 ฤกษ์งามยามดี นายอนุทิน ชาญวีรกูล จะได้ประกาศ #ทลายทุกข้อจำกัด ในเรื่องกัญชาและกัญชงให้เห็นเป็นรูปธรรมเสียที

ด้วยความปรารถนาดี
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต



กำลังโหลดความคิดเห็น