ยังไม่ทันสิ้นปี การเมืองเริ่มแสดงให้เห็นความคึกคักด้วยกิจกรรม ความเคลื่อนไหวทั้งการจัดเวทีเสวนาในห้องประชุม และ “ลงถนน” ทั้งฝ่ายลุง และไม่เอาลุง โดยมีฝ่ายสังเกตการณ์แสดงเจตนารมณ์อยู่บนภูดูแต่ละฝ่ายห้ำหั่นในการเมืองแบบเผชิญหน้า
พวกรักโลกสงบ โลกสวย ต้องการทำมาหากินอย่างเดียว อาจมองว่ากลุ่มกิจกรรมต่างๆ จะก่อความวุ่นวายในบ้านเมืองอีกหรืออย่างไร เพิ่งเงียบสงบสยบให้คณะ 3 ลุงมานานกว่า 5 ปี แต่นั่นเป็นสภาพการเมืองแบบน้ำนิ่ง การเมืองตายซาก
น้ำนิ่งย่อมเป็นน้ำเน่า ถ้าเน่าอยู่แล้วจะเน่ากว่าเดิม ดังนั้นการเคลื่อนไหวคือการถ่ายเทไหลเวียน เปลี่ยนสภาพ การแสดงออกทางการเมืองทำให้ประชาชนมีทางเลือกในการแสดงความคิดเห็นให้ผู้บริหารบ้านเมืองรับรู้สภาพแท้จริงว่าเป็นไง
จะปิดกั้นโดยอาศัยกฎหมาย แต่บ้านเมืองไม่มีอะไรดีขึ้น เศรษฐกิจตายซาก ดังที่เป็นอยู่ ชาวบ้านมาเรียกร้องให้ช่วยถึงทำเนียบรัฐบาลผู้นำก็เมิน ให้ข้าราชการออกไปรับเป็นหนังหน้าไฟ ดูแล้วเป็นการปฏิบัติต่างจากพวกบันเทิงเริงรมย์ต่างๆ
หรือพวกเจ้าสัวเศรษฐีมีทรัพย์กลิ่นกายไม่สาบระคายจมูกด้วยคราบเหงื่อไคลเหมือนรากหญ้าจากท้องไร่ท้องนา จึงได้รับการดูแลอย่างดี แทบจะยกก้นมาให้นั่งเก้าอี้รับแขกอ่อนนุ่ม พูดแต่เรื่องเงินทอง ความมั่งคั่ง สบายใจกว่าฟังเรื่องความทุกข์
กลุ่มเครือข่ายพรรคส้มประกาศเริ่มด้วย “แฟลชม็อบ” ซึ่งจะเป็นปรากฏการณ์ใหม่ในวงการเมืองไทย คนมีใจตรงกัน มารวมตัวกันโดยไม่ต้องนัดหมาย ไม่มีแกนนำ มาร่วมกิจกรรมต่างๆ เสร็จก็แยกย้ายกันกลับ ไม่ปักหลักพักค้างเหมือนรุ่นก่อนๆ
ยุคพันธมิตรฯ ยุคเสื้อแดง ยุคลุงกำนันนกหวีด ต้องใช้เวลานาน ทุนก้อนมหาศาลจากการบริจาคปักหลักเป็นแห่ง สลับกับยุทธการดาวกระจาย ส่งผลกระทบทั้งดีและไม่ดี พ่อค้าแม่ค้าขายสินค้าได้ง่าย คนสัญจรมีปัญหาจราจร
แน่นอน คนกุมอำนาจไม่ปรารถนาให้เกิดความวุ่นวาย ความรุนแรง หรือห้ำหั่นกันด้วยอาวุธสงคราม ทำให้คนบาดเจ็บล้มตาย กลายเป็นส่วนเกินเลยของระบอบประชาธิปไตย คนเดือดร้อน มีความเสี่ยงกับการบาดเจ็บล้มตาย ถ้ามีปะทะ
แต่เมืองไทยก็ผ่านมาได้ในวงจรอุบาทว์ ทั้งเผด็จการทหาร การเมืองกุมอำนาจผ่านรัฐสภาและรูปแบบอื่นๆ มีผลตรงกันคือ “บ้านเมืองไม่ได้พัฒนาก้าวหน้าไปไหน”
ดังนั้น การขายตัว การเปลี่ยนพรรค ย้ายค่าย ยุคนี้เขามีคำอ้างว่า “เพื่อให้บ้านเมืองเดินหน้าไปได้” แม้จะต้องทรยศหักหลัง หรือตระบัดสัตย์ก็ตาม ไม่ยอมรับคือพฤติกรรมเช่นนั้นเป็นเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง ชาวบ้านไม่ได้อะไร
ดังนั้น กิจกรรม “วิ่งไล่ลุง” “เดินตามลุง” “การรณรงค์ต่อต้านคนชังชาติ” ย่อมเป็นสิทธิของทุกฝ่าย ถ้าไม่เกิดความรุนแรง ทำร้ายร่างกายผู้อื่น จะทำได้แค่ไหนขึ้นอยู่กับความใจกว้างของผู้กุมอำนาจรัฐ ถ้าไม่ใช่วัวสันหลังหวะ ก็ไม่ต้องห่วง
การเอากฎหมายควบคุมการชุมนุมมาใช้กับประชาชนภายใต้คำอ้างว่าเพื่อเป็นการจัดระเบียบให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อยนั้น ไม่มีเหตุผลถ้าผู้กุมอำนาจรัฐมีที่มาที่ไปไม่ถูกต้องตามกระบวนการรัฐธรรมนูญประชาธิปไตย ไม่ใช่รูปแบบ “กูว่าเอง”
ถ้า “แฟลชม็อบ” กำหนดไว้ที่สยามสแควร์ ปทุมวัน มีคนเข้าร่วมมากพอสมควร จะเป็นหัวเชื้อสำหรับทำกิจกรรมอื่นๆ อีกต่อเนื่อง เริ่มจากครั้งแรกใช้เวลาไม่นาน ครั้งต่อไปอาจนานกว่าเดิมแล้วขยายวงไปสู่จุดอื่นๆ อีก ทั้งมีความถี่มากกว่าเดิม
สภาพแบบนี้แหละ เป็นไฟลามทุ่ง มีคนเข้ามาผสมโรงเยอะ มีข้อเรียกร้อง กลไกกฎหมายจะห้ามไม่อยู่ แรงกดดันจะมีมากขึ้น จนถึงขั้นขับไล่รัฐบาลก็เป็นได้
และก็ต้องเป็นไปตามครรลองนี้แหละ เพราะคนส่วนหนึ่งอัดอั้นมานานกับสภาวะเศรษฐกิจตายซาก พึ่งพาใครไม่ได้ มีช่องทางขายสินค้าก็ไม่มีใครซื้อ บอกกันแต่เพียงว่า “คนระดับล่างไม่มีเงิน คนร่ำรวย ชนชั้นกลางไม่ใช้เงิน เพราะไม่รู้อนาคต”
ขบวนการวิ่งไล่ลุงและแฟลชม็อบเป็นสาเหตุหนึ่งที่พรรคส้มอ้างว่าเมื่อถูกสกัดกั้นโดยอำนาจรัฐและกระบวนการต่างๆ ก็จำเป็นต้องออกไปหาประชาชน หาทางทำกิจกรรมร่วมกัน จุดนี้แหละที่ชาวบ้านอยากรู้ว่าจะมีคนมาเข้าร่วมมากน้อยเพียงใด
เป็นการวัดความนิยมของพรรคส้มด้วยว่าจะยังแรง มีศักยภาพหรือไม่ ถ้าถูกยุบโดยอำนาจศาลแล้วจะมีแตกทัพ แหกค่ายออกไปซบกับพรรคอื่นที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าหรือไม่ เพราะการเมืองยามนี้ปากท้องสำคัญกว่าอุดมการณ์
ถ้ามาน้อย หรือจุดไม่ติด รัฐบาลคงรู้สึกโล่งอก แต่ถ้าส่อเค้าคึกคัก และมีกลุ่มอื่นๆ ขอเข้ามาร่วมผสมโรงด้วย นั่นแหละคือความลำบากของผู้กุมอำนาจที่จะต้องอธิบายว่าทำไมตัวเองถึงอยากอยู่ต่อทั้งๆ ที่ผลงานที่ผ่านมาก็ไม่เข้าตาชาวบ้าน
จะอ้างว่าเป็นความล้มเหลวของรัฐบาลก่อน นอกจากพูดได้ไม่เต็มปากแล้ว ยังจะถูกมองว่าสิ้นท่า ต้องแก้ผ้าเอาหน้ารอด ขอยื้ออยู่ให้นานที่สุดหวังรอให้สภาพรวมดีขึ้น ทุกวันนี้เริ่มมีคนมองแล้วว่าเศรษฐกิจจะกระเตื้องขึ้น ไม่เลวร้ายเสียทีเดียวนัก
เศรษฐกิจมหภาคคงจะดี ถ้าวัดด้วยตัวเลขจีดีพี ซึ่งตัวเลขมาจากความสำเร็จของผู้ประกอบการขนาดใหญ่ แต่ระดับรายได้น้อยทั้งในเมืองและชนบท ยังคงซึมลึก แม้กระทั่งการฆ่าตัวตายหนีความคับแค้นทางเศรษฐกิจยุคนี้ มีมากกว่าทุกรัฐบาล
เมื่อกลุ่มต่างๆ ออกมาจัดกิจกรรม เปิดหูเปิดตาประชาชน คนกังวลแต่เพียงว่าจะถึงขั้นต้องเปิดศึกด้วยกำลัง แทนวาทกรรมร้อนๆ หรือไม่ การเมืองเลือดเข้าตา ถ้าให้มีกิจกรรมประชาธิปไตย ชีวิตการเมืองของคณะ 3 ลุงจะไม่เหงาหงอยเหมือนเดิม