xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

พี่น้อง 3.ป “ฮึกเหิม” ประกาศศักดาคุมการเมืองอยู่หมัด จับตาช่วย “เอ๋” - เกี๊ยะเซียะ 3 สารพิษ ระวังเรือเหล็ก 2 มาตรฐานชนหินโสโครก

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสุปดาห์ - สะท้อนว่า ร้าวกันลึกๆ ชนิดปล่อยเลยตามเลยไม่ได้อีกต่อไป

จนต้องจัด “มีตติ้งสมานแผล” ระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน เพื่อปรับจูนแนวทางการทำงานระหว่างกัน หลังจากช่วง “ฮันนีมูนสวีท” เริ่มแรกของ “รัฐบาลประยุทธ์ เฟส 2” เต็มไปด้วยอารมณ์ “น้ำผึ้งขม” มีจังหวะขบเหลี่ยมปีนเกลียวกันภายในโดยตลอด ทั้งอารมณ์ค้างจากเมื่อครั้ง “แบ่งเค้ก” เก้าอี้รัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ ที่แต่ละก๊วน-แต่ละพรรค ปล่อยของใส่กันน่าดู จนดูเหมือนแต่ละพรรคจะ “คาใจ” กันมาถึงตอนนี้

อีกทั้งต้องยอมรับว่า “จุดอ่อน” ของ “รัฐบาลปริ่มน้ำ” มันออกอาการเร็ว และหนักกว่าที่คาด มีทั้งญัตติที่ฝ่ายรัฐบาลแพ้โหวต หรือบางญัตติที่ไปต่อกันไม่ได้ เนื่องจากองค์ประชุมไม่ครบ เพราะฝ่ายค้านงัดเกม “วอล์กเอาท์” ขึ้นมาเล่น โดยเฉพาะญัตติขอให้ตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญเพื่อศึกษาผลกระทบจากการกระทำ ประกาศ และคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และการใช้อำนาจของหัวหน้า คสช. ตามมาตรา 44 ที่มีทั้ง “โหวตแพ้-สภาล่ม” จนไปกันต่อไม่ได้

กลายเป็น “ฟางเส้นสุดท้าย” ที่ต้องเรียก “บิ๊กพรรคร่วมรัฐบาล” มาเคลียร์กันให้รู้เรื่อง

“บิ๊กรัฐบาล” รู้ดีว่า เรื่องแบบนี้ขืนปล่อยไว้ อาจจะเจ๊งกันเอาง่าย เพราะไม่เพียงเป็น “เรื่องในสภา” ว่าด้วยเสถียรภาพของเสียงรัฐบาลในสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น ยังกระเทือนมาถึงเสถียรภาพของฝ่ายบริหารอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากเข้า “วาระชี้เป็นชี้ตาย” อย่าง “กฎหมายสำคัญ” หรือ “กฎหมายการเงิน” ที่มีกติกาว่า ถ้ารัฐบาลแพ้โหวตก็จำต้อง “ยุบสภา - ลาออก” เพื่อรับผิดชอบ

งานนี้ก็เลยต้องมีรายการปิดจุดอ่อน ก่อนที่ไฟไหม้ฟางบานปลายไปมากกว่านี้

 เมื่อ 3 ป.ต้องลงจากหอคอยงาช้าง
ตอกย้ำความหนักหน่วงของปัญหา คือ ช็อตที่ “พี่น้อง 3 ป.” ได้แก่ “ป.ประยุทธ์” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม, “ป.ป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ “ป.ป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่เคยพยายาม “ลอยตัว” อยู่เหนือ “ฝ่ายการเมือง” มาโดยตลอด ต้องลงมาร่วมงานเลี้ยงเมื่อช่วงค่ำวันที่ 3 ธันวาคม 2562 ที่ผ่านมาด้วย

กรณีของ “บิ๊กป้อม” อาจจะคุ้นเคยกับการไปมาหาสู่ของบรรดานักการเมือง เนื่องจากคุ้นชินมาตั้งแต่สมัยเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลของ “นักเลือกตั้ง” มาก่อน อีกทั้งสมัยรับราชการจนกระทั่งเกษียณอายุ ก็ปักหลักใช้ออฟฟิศมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัดฯเป็น “วอร์รูม” เปิดให้คนจากทุกวงการเข้าพบ ตามประสาคนมากเพื่อน หลากคอนเนกชั่น

มาเด่นชัดอย่างมากก็ช่วงตั้งไข่พรรคพลังประชารัฐ ต่อเนื่องไปถึงช่วงหาเสียงเลือกตั้ง และเจรจาจัดตั้งรัฐบาล ก็ใช้ “วอร์รูมพี่ใหญ่” เป็นที่ปิดดีลแทบทั้งสิ้น ด้วยรู้กันว่า “ท่านป้อม” คือ “ผู้จัดการรัฐบาล” ตัวจริงเสียงจริง

แต่สำหรับ 2 ป. คือ “ป.ประยุทธ์” กับ “ป.ป๊อก” เป็นประเภท “การ์ดสูง” มีเส้นแบ่ง หนักไปทางแอนตี้นักการเมืองเสียด้วยซ้ำ เพิ่งจะมาหย่อนๆ ในช่วงหลังๆ มานี้ ลงมาร่วมดินเนอร์ใต้แสงจันทร์ในฤดูหนาว คือท่าทีที่ชัดเจน

เพราะการบริหารจัดการภายในพรรคร่วมรัฐบาลไม่ได้ในวิสัยที่จะให้บรรดามือทำงานในพรรคไปเคลียร์กันเองได้อีกแล้ว บรรดาบิ๊กๆ โดยเฉพาะ “บิ๊กตู่” ในฐานะผู้มีอำนาจสูงสุดทางนิตินัย ต้องลงมาขันน็อตด้วยตัวเอง

ต้องยอมรับว่า ก่อนหน้านี้ “บิ๊กตู่” อยู่ในอาการลอยตัว ทำแต่งานบนดิน ส่วนงานใต้ดินโยนไปให้ “พี่ใหญ่พลังประชารัฐ” อย่าง “บิ๊กป้อม” รับผิดชอบหมด
       
 จุดอ่อนคือ ไม่มีปฏิสัมพันธ์กับบรรดาแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล ตลอดจน ส.ส.จริงๆ มีแต่กับพวกตัวแทนพรรคการเมืองที่ส่งมานั่งอยู่ในคณะรัฐมนตรี ดังนั้น เมื่อไฟลนก้นจนนั่งอยู่บน “หอคอยงาช้าง” ไม่ไหว จึงต้องเดินลงมาเป็น “รอยต่อ” สยบปัญหา ด้วยไม่มีทางให้ตีกรรเชียงหนีอีกแล้ว เพราะอยู่ในจุดต้องส่งสัญญาณและแสดงท่าที โดยเฉพาะกับบรรดาพรรคร่วมรัฐบาลที่ทำตัวเป็นปูจ้องจะออกจากกระด้ง

ยิ่งใช้ปฏิบัติการน้ำเย็นลูบ ยิ่งทำให้แนวร่วมทำตัวเหลิง เพราะตายใจคิดว่า “บิ๊กรัฐ บาล” เกรงใจไม่กล้าเขี่ยใครออก เนื่องจากจำเป็นต้องพึ่งเสียงประคองเรือเหล็กไม่ให้ล่ม

ถึงจุดบีบบังคับให้ต้องใช้ “น้ำร้อน” เพื่อกระตุกให้บรรดาปูในกระด้งทั้งหลาย พึงสังวรไว้ว่า ไพ่ยังอยู่ในมือของ “3 ป.” แม้จะไม่ใช่รัฐบาลทหาร หรือมีอำนาจตามมาตรา 44 ก็ตาม

แม้ปัจจุบันเสียงจะปริ่มน้ำ ชนิดเอ่อไปถึงจมูก แต่ “3 ป.” ยังเหนือกว่าบรรดาพรรคการเมือง นักการเมืองทั้งหลาย ไม่เว้นแม้แต่ “ประชาธิปัตย์” ที่สอบตกเรื่องจิตพิสัย ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล

ตามคิวกุมไม้เรียว กำหนด “ทัณฑ์บน” ไม่ใช่ “กฎเหล็ก” สำหรับพรรคร่วมรัฐบาล หากปล่อยให้ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรล่มรอบ 3 ขั้นเบาสุดคือ ปรับคณะรัฐมนตรี ส่วนร้ายแรงสุดคือ “ยุบสภา”

 จับสัญญาณขู่ฟ่อ “ปรับ ครม.” กับ “ยุบสภา” มันแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจของ “บิ๊กรัฐบาล” ว่า ตอนนี้นักการเมือง ไม่ว่าฟากไหน จะฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน ต่างยังไม่พร้อมถ้าจะเลือกตั้งใหม่ในเร็ววัน เพราะยังล้าๆ และหาน้ำเลี้ยงไม่ทัน

ขณะที่ “ทัณฑ์บน” ปรับ ครม. ช็อตนี้ น่าจะพุ่งเป้าไปที่ “ประชาธิปัตย์” ที่ดื้อสุดๆ ในบรรดาพรรคร่วมรัฐบาล เหมือนเป็นการโต้ตอบกลับ อย่าคิดว่า ง้อทุกเรื่อง แล้วจะไม่กล้าทำ

เพราะที่ผ่านมาบรรดาท็อปบูตเองก็รู้นิสัย “ค่ายสีฟ้า” ดีว่า เป็น “ม้าพยศ” ที่ยากจะทำให้เชื่องมือ เลยมีการประสานข้ามขั้ว “เลี้ยงต้อย” ศัตรู กว่า 20 ชีวิต ไว้ยามคับขั

ขณะเดียวกัน ใน “ประชาธิปัตย์” เองก็ไม่ได้เป็นเอกภาพ มีทั้งขั้วอำนาจเก่า-ใหม่ ที่สำคัญ ยังมีไข่ของ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” อดีตเลขาธิการ กปปส.เหลืออีกเยอะ

หากวันหนึ่ง “ค่ายสีฟ้า” ถูกเฉดหัว หรือคิดจะแยกตัว ย่อมไปไม่ยกยวง 2 กลุ่ม ผสมผสานแล้วพอถูไถ ใช้การได้ในการลงมติในญัตติของรัฐบาล หรือรับศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ

เป็นการ “ปล่อยสูตร” กระตุก “ค่ายเก่าแก่” ให้เห็นว่า ใครกันแน่ที่เหนือกว่านาทีนี้!

โดยเฉพาะฉากจบก่อนร่ำลากันที่สโมสรราชพฤกษ์คืนนั้น ที่ “บิ๊กตู่” ควง 2 พี่ชายสุดที่เลิฟประกาศศักดาขึงขัง 

“นี่คือ 3 ป. มีปัญหาอะไรหรือเปล่า ไม่มี 3 ป. เราจะทำอะไรได้ สองคนนี้คือลูกพี่ฉัน สอนฉันให้เป็นคนดี สอนฉันให้ทำหน้าที่เพื่อชาติบ้านเมือง จะทำหน้าที่เพื่อบ้านเมือง ถ้าไม่มีพี่ทั้งสองคนพี่ป๊อก และพี่ป้อม ฉันก็มีวันนี้ไม่ได้ ทุกอย่างไม่มีเพื่อตัวฉัน แต่เพื่อประเทศไทยเข้าใจหรือยัง ทุกพรรค ไม่ว่าจะเป็นพรรคเล็กพรรคน้อยทั้งหมดจะเดินหน้าเพื่อประเทศไทย”

คล้ายเป็นรีวิวสั้นๆว่า ภายในงานเลี้ยงที่ปิดลับ ไม่ให้คนนอกเข้านั้น ไม่ได้หวานชื่นอย่างที่คิด แต่เป็นทำนอง “ตบ-จูบ” สไตล์หนังรักซาดิสม์ อารมณ์ตบซ้าย - ตบขวาพรรคร่วมรัฐบาล หรือแม้แต่ “ฝ่ายค้าน” ที่ห้าวเป้ง

ในอารมณ์ “ขาใหญ่” ปิดซอยเพื่อเช็กโจทย์รายตัวว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า บอกเป็นนัยว่า “แถวนี้ใครคุม” ส่งสัญญาณถึงทุกขั้ว ทุกกลุ่ม และทุกฝ่ายว่า แผงอำนาจในประเทศยังเป็น “3 ป.” อยู่เช่นเดิม และยังเข้มขลัง-เหนียวแน่นเสียด้วย

“ฝ่ายการเมือง-นักเลือกตั้ง” ที่มีสัญชาตญาณจมูกไวกว่าใครเพื่อน ย้อนรู้ดีว่าสัญญาณนี้หมายถึงอะไร!



บรรยากาศอันชื่นมื่นของพรรคร่วมรัฐบาลหลังดินเนอร์สมานรอยร้าวที่สโมสรราชพฤกษ์เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2562 ที่ผ่านมา


บทสรุปของงานมีตติ้งพรรคร่วมรัฐบาล ไม่พ้นการประกาศศักดาว่า ไม่เพียงอำนาจการต่อรองจะยังอยู่ในมือของ “3 ป.” แต่เสบียงกรัง ยังคงอุดมสมบูรณ์ บรรดาลิงทั้งหลายที่งอแง ทำตัวตีจาก เมื่อได้รับกล้วยไปอุดปาก ก็กลับมาพับเพียบเรียบร้อย

โดยเฉพาะบรรดาพรรคเล็กที่ตบเท้าเข้าไปแสดงตัวกันพร้อมหน้าในวงมีตติ้ง แม้แต่ “เต้ พระราม7” มงคลกิตติ์ สุขสินธรานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยศรีวิไลย์ และ “เฮียหมา” พิเชษฐ สถิรชวาล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธรรมไท ที่ตั้งตนเป็น “ฝ่ายค้านอิสระ” ยังกลายสภาพจาก “เสือ” เป็น “แมว” ในพริบตาเดียวได้

หรือขนาด “อู๊ดด้า” จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ทำที “ดึงเชง” ติดภารกิจ ยังต้องวิ่งแจ้นมาร่วมงานทันทีที่ “นายกฯตู่” ถามหา

ดังนั้นหากมองในเชิงสถานการณ์การเมืองวันนี้ ยังอยู่ในสถานะที่ “พี่น้อง 3 ป.” ยัง “เอาอยู่” หมัดด้วย “ไม้แข็ง”

 ระวังพังเพราะทำ 2 มาตรฐาน
ช่วย “เอ๋” - ลอยตัว “สารพิษ”
อย่างไรก็ดี ต้องไม่ลืมว่า การประคองเสถียรภาพรัฐบาลไม่ใช่ปัญหาใหญ่ของประเทศ เพราะเรื่องนี้เป็นเพียง “ศึกใน” ของรัฐบาล แต่ “ศึกนอก” นั้นของจริง ที่ต่อให้ “พี่น้อง 3 ป.” จะแกร่งทั้งแผ่น คุมอำนาจเอาไว้ได้เหนียวแน่นแค่ไหน หากลุกลามบานปลายก็ “เอาไม่อยู่” ได้ง่าย

กรณีการช่วยพวกพ้อง-สองมาตรฐาน ก็กำลังพุ่งเข้าหาอย่างไม่หยุด โดยเฉพาะเรื่องที่ดิน ภบท.5 ของ “หนูเอ๋ รักลุงตู่” ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ บุตรแห่ง “ทวี ไกรคุปต์” อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมคนดังเมืองโอ่ง

มีความพยายามช่วย “ปารีณา” จนออกนอกหน้า ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ “ผู้กองมนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ ที่ดูจะรวบรัดตัดตอน โทษ “คุก” ให้เหลือแค่ “ยึด” แบบค้านสายตาประชาชน

มีความพยายามฟันธงว่า ที่ดินกว่า 600 ไร่ จากที่แจ้ง ป.ป.ช. 1,700 ไร่ ของ “ปารีณา” เป็นเพียงความเข้าใจผิด ไม่ได้แจ้งบัญชีทรัพย์สินเท็จ รวมทั้งยังชี้ว่า ที่ดินพิพาทเป็น “ที่ดิน ส.ป.ก.” เพื่อให้โทษเหลือเพียงยึดที่ดินคืนรัฐ ไม่ให้ต้องโดนคดีอาญา

โดยยกแผนที่ของ ส.ป.ก.มาใช้ ซึ่งเป็นคนละฉบับกับ “กรมป่าไม้” ที่รัฐเข้าไปแทรกแซงช่วยเหลือไม่ได้ เพราะเป็นหน่วยงานที่ค่อนข้างเป็นเอกเทศ ไม่ได้ทำตามสั่งทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องทรัพยากรธรรมชาติ ที่ถูกปลูกฝังกันมา

ในขณะที่ชาวบ้านตาดำๆ ซึ่งมีความผิดลักษณะคล้ายกัน หนำซ้ำ ยังจำนวนน้อยกว่า กลับต้องติดคุกติดตะราง ส่วน “ปารีณา” ที่เป็น ส.ส.รัฐบาล เป็นเด็กปั้น “บิ๊กป้อม” กลับกำลังจะลอยหน้าลอยตา โดยไม่มีความผิดใดๆ เลย

สังคมโจษจัน ด่าทอกันเยอะ ถึงความพยายามช่วยเหลือพวกพ้อง ทำให้คนที่ยอมศิโรราบก้มหัวให้กับรัฐบาล กลายเป็นบุคคลที่มีเอกสิทธิ์ความเป็น “เด็กเส้น” อยู่เหนือเงื่อนไขและบทบัญญัติใดๆ ทั้งปวง

แม้จะถูกไล่จี้ ไล่กดดัน มีการเปิดเผยความไม่ชอบมาพากลออกมาเพื่อเป็น “ใบเสร็จ” มัด “ปารีณา” ไม่ให้อภินิหารใดๆ มาช่วย แต่พฤติกรรมในการที่จะเข้าไปช่วยของบรรดาผู้หลักผู้ใหญ่ก็ยังมีให้เห็น

กรณีนี้ ไม่ใช่แค่ฝ่ายค้าน ฝ่ายตรงข้าม ที่ตั้งเป้าโจมตีกัดไม่ปล่อย แม้แต่ฝ่ายมวลชนที่สนับสนุนรัฐบาลก็ยังส่ายหน้า หากจะมีการ “ฟอกขาว” เพราะมันเห็นกันอยู่ตำตาว่า ไม่ถูกต้อง

น่าสนใจว่า นอกจากคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ป้องกันและปราบปรามการทุจริต สภาผู้แทนราษฎร ที่มี “บิ๊กตู่ตำรวจ” พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวช หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย เป็นประธาน จะหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นวาระในการสอบข้อเท็จจริง เพื่อย้อนเกล็ดฝ่ายรัฐบาลที่ส่ง “ปารีณา” มาป่วนใน กมธ.แล้ว

องคาพยพอื่นของฝ่ายค้านกลับ “นิ่งผิดปกติ” ในกรณี “น้องเอ๋ รุกป่า”

มองผิวเผินอาจเพราะกลัวของเข้าตัว เพราะพอเรื่อง “เอ๋ โพธาราม” แดงขึ้นมา ก็มีรายชื่อผู้แทนฯรัฐบาล-ฝ่ายค้าน อีกเป็นสิบชีวิตที่ถือครองที่ดินลักษณะเดียวกัน

แต่ถ้ามองให้เหนือชั้น ก็เป็นการอุบไต๋เก็บข้อมูลไปเรื่อย รอดูท่าทีรัฐบาลว่า หากอุ้มสมกันอย่างที่เดา เป้าหมายไม่ใช่แค่ “เจ๊เอ๋” ส.ส.เสียงเดียว แต่ล็อกเป้ารัฐมนตรี ล่อไปถึงนายกฯ ในการอภิปรายไม่ไว้วาง เอากันให้ถนัดถนี่ไปเลย

และอย่าตายใจว่า เมื่อเรื่องซาเรื่องเงียบไปแล้วจะเป่าให้ เพราะเมื่อไรที่มีความเคลื่อนไหวในคดี ผู้คนย่อมให้ความสนใจเหมือนเดิม เพราะนี่คือ “ปารีณา” ที่เข้าสภาฯรอบนี้สร้างวีรกรรมจนชื่อเสียงโด่งดังไปร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ

ที่ผ่านมารัฐบาลอาจให้การช่วยเหลือพวกพ้องแบบเนียนๆ แต่นั่นก็เป็นประเด็นไม่ได้โจ่งแจ้ง หรือน่าเกลียดจนประชาชนรับไม่ได้ แต่กับเคสของ “ปารีณา” แห่งราชบุรี มันโจ่งครึ่ม

หากมีการช่วยเหลือ “ปารีณา” จริง นี่จะเป็นการใช้อำนาจรัฐช่วยเหลือพวกพ้อง คนกันเอง และการบิดกฎหมายที่รุนแรงที่สุดคดีหนึ่ง

เรื่องแบบนี้กระแสสังคมรับไม่ได้อย่างแรงอยู่แล้ว หยอดดรามาประเภท “ตายายเก็บเห็ดติดคุก” อีกหน่อย อิมแพ็กจะสะท้านสะเทือนในแบบที่ “3 ป.” หรือบิ๊กไหนๆก็คงเอาไม่อยู่

นอกจาก “พวกพ้อง” แล้ว อีกของแสลงของ “ผู้มีอำนาจ” ก็ไม่พ้นครหา “ผลประโยชน์” ที่เริ่มถูกค่อนแคะหนาหูว่า การบริหารราชการแผ่นดินหนักไปทางเอาอกเอาใจ “เจ้าสัว-นายทุน” โดยตลอด แม้กระทั่งเรื่องคอขาดบาดตาย สุ่มเสี่ยงสวัสดิภาพของเกษตรกรและประชาชนก็ตาม

ตามคิวที่วาระการยกเลิกสารเคมีทางการเกษตร 3 ชนิด ได้แก่ พาราควอต, คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต ถูกยื้อยุดฉุดกระชากไปมาไม่จบสิ้นเสียที ก่อนมีคณะกรรมการวัตถุอันตรายจะ “พลิกมติ” ปล่อยผีทั้ง 3 สารเคมี โดยยืดเวลาการแบนพาราควอต และคลอร์ไพริฟอส ไปอีก 6 เดือน ส่วน ไกลโฟเซต เลิกการแบน แล้วให้ใช้มาตราจำกัดการใช้แทน

เสียงลือเสียงเล่าอ้างเขาว่า สงสัยเดินไปเจอ “ตอ” กระทบบรรดาเจ้าสัว นายทุน จนรัฐบาลที่โชว์หล่อเพื่อประชาชนในช่วงแรก ต้องถอยกรูดไม่เป็นท่า

แม้กระทั่ง “บิ๊กตู่” ก็งัดท่าไม้ตาย “ลอยตัว” ให้เป็นเรื่องของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งที่มีอำนาจทุบโต๊ะชี้ซ้าย-ขวาได้ จำเลยสำคัญเลยกลายเป็น “เสี่ยต่อ” เฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ กับ “เดอะซัน” สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม ที่ท่าทีลับๆ ล่อๆ ก่อน “ทำแท้ง” มติที่ออกไปหมาดๆ เมื่อเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

แม้ “บิ๊กตู่” จะพยายามสงวนท่าทีไม่ให้ถูกโยงว่าเกี่ยวข้อง แต่เรื่องใหญ่เรื่องนี้ บรรดาเสนาบดีไม่กล้า “พลิกมติ” โดยพลการแน่

หนำซ้ำ ยังเป็นชนักให้ “สุริยะ” พิงหลังใช้ข้ออ้างเรื่องความเสียหายมาเป็นตัวประกัน ทั้งเรื่องผลกระทบเรื่องการหักดิบ ที่อาจสร้างความเสียหายมูลค่านับ “ล้านๆ บาท” เพราะยังมีสินค้าคงค้างอยู่ในมือเกษตรกรและผู้ประกอบการ รวมไปถึงการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ

นอกจากนี้ ยังอ้างว่า ยังหาสารทดแทนไม่ได้ การยกเลิกทันทีจะทำให้ “เกษตรกร” ลำบาก เพราะสารพิษดังกล่าวมีราคาถูก

ทั้งที่ในทางย้อนแย้งคือ การยกเลิกสารพิษ 3 ชนิดนี้ ก็ยังเรื่องสารอื่นๆ อีกนับร้อยยังใช้ได้ แต่รัฐบาลกลับเลือกมองข้ามสุขภาพประชาชน แต่ให้น้ำหนักที่เรื่องความเสียหายด้านงบประมาณ

ความจริงแล้ว หากไม่มีเรื่อง “เจ้าสัว-นายทุน” การยกเลิกสารพิษอันตรายดังกล่าว อาจไม่ได้ยากเย็นขนาดนี้ เพราะรัฐบาลได้แต้มต่อและคะแนนนิยมเยอะ ตามเสียงเชียร์ที่สัมผัสได้ว่าให้สนับสนุนให้แบน 3 สารพิษมากกว่า

เรื่องความเสียหายไม่ใช่เรื่องที่หยุดยั้งรัฐบาลได้ เพราะหากมองย้อนกลับไปในอดีต ถ้าเป็นเรื่องที่ได้แต้ม ได้คะแนนนิยม “บิ๊กตู่” ชนมาแล้วไม่รู้กี่เรื่อง ต่อให้โดนฟ้องเป็นพันล้าน หมื่นล้าน ยังกล้าลงมือ ทั้งที่มีเสียงทัดทาน

ยิ่งเมื่อย้อนไปถึงคิวประกาศศักดาว่า “แถวนี้ใครคุม” ทำนองว่า “บิ๊กตู่” หรือ “พี่น้อง 3 ป.” ใหญ่คับคณะรัฐมนตรี กระแอมทีเดียวบรรดารัฐมนตรีก็คงอยู่ไม่เป็นสุขแล้ว ยิ่งคณะกรรมการวัตถุอันตราย มีรัฐมนตรีจากพรรคพลังประชารัฐเป็นหัวโต๊ะเอง แนวทางก็ไม่น่าจะสวนทางกับ “บิ๊กรัฐบาล” ไปได้

กลายเป็นว่า สุดท้าย “รัฐบาลบิ๊กตู่ 2/1” ก็ “ติดหล่ม” ข้อครหาเหมือนกับรัฐบาลจากพรรคการเมืองอื่นๆ ในอดีต คือ เรื่องผลประโยชน์ โดยเฉพาะประเด็น 3 สารพิษที่ดูเหมือนจะปล่อยให้กลุ่มการเมือง-กลุ่มผลประโยชน์ “เกี๊ยเซียะ” กัน โดยไม่ดูดำดูดีความปลอดภัยของประชาชน

กระแสที่ว่ากำลัง “ตีกลับ” สู่ยอดของรัฐบาล ที่อย่าทำเป็นเล่นไป หากสถานการณ์มันอยู่ในจุดสุกงอม กราฟรัฐบาลอยู่ในช่วง “ขาลง” ประเด็นนี้อาจถูกหยิบมากระทืบรัฐบาลให้ยิ่งจมหนักกว่าเก่า
เป็น “ฟืน” ชั้นดีที่โยนใส่ไฟแล้วติดพรึ่บในเวลาอันรวดเร็ว

ลืมไม่ได้ว่า ข้อหา “อุ้มพวกพ้อง” กับ “เอื้อนายทุน” เคยล้มรัฐบาลมาแล้วหลายต่อหลายชุด โดยเฉพาะรัฐบาลที่ “บิ๊ก 3 ป.” โค่นเองกับมือ.


กำลังโหลดความคิดเห็น