ป้อมพระสุเมรุ
ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ผ่านพ้นไปแบบหืดขึ้นคอ
การประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาญัตติด่วนขอให้สภาฯตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาการใช้ศึกษาผลกระทบจากประกาศคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และการใช้อำนาจของหัวหน้า คสช. ตามมาตรา 44 หรือ “กมธ.เช็กบิล คสช.” ที่ “ค้างเติ่ง” อยู่ในวาระการประชุม
เนื่องจากเกิดความเข้าใจไม่ตรงกันระหว่างคำว่า “นับคะแนนใหม่” หรือ “ลงคะแนนใหม่” หลังฝ่ายค้านชนะโหวตด้วยวิธีกดบัตร ไปด้วยคะแนน 234 ต่อ 231 เสียง เมื่อสัปดาห์ก่อน จากนั้นฝ่ายรัฐบาลก็งัดข้อที่ 85 ของข้อบังคับการประชุมสภาฯเพื่อให้มีการนับคะแนนใหม่ในกรณีที่คะแนนเสียงห่างกันไม่เกิน 25 เสียงขึ้นมาใช้
จนเกิดการประท้วงกันวุ่นวาย ฝ่ายค้านเลือกวอล์กเอาท์ไม่สังฆกรรมด้วย เป็นเหตุให้ “สภาล่ม” ไปถึง 2 ครั้งซ้อนๆ ทำให้ “เฮียยักษ์” วิรัช รัตนเศรษฐ ประธานคณะกรรมการประสานงาน (วิป) พรรคร่วมรัฐบาล โดน “ผู้ใหญ่” ตำหนิอย่างแรง
กลับมาประชุมใหม่สัปดาห์นี้ ก็จับตามองกันว่าฝ่ายรัฐบาลจะไปเอาเสียง ส.ส.ที่ไหนมาเติบให้ได้ครบองค์ประชุม เนื่องจากจำนวนเต็มของรัฐบาลขณะนี้อยู่ในสภาวะ “ปริ่มน้ำ” ที่ 254 จาก 500 เสียงเท่านั้น
ซ้ำร้ายยังมี ส.ส.ลาป่วย-ลากิจ รวมไปถึงถูกสั่งให้งดปฏิบัติหน้าที่อีกจำนวนหนึ่ง นับให้ตายอย่างไรก็ไม่มีทางครบองค์ประชุม หากฝ่ายค้านไม่ให้ความร่วมมือ
อาวุธลับอย่าง “กองทัพงูเห่า” ที่ซุ่มเลี้ยงไว้ จึงได้คิวต้องออกโรงเสียที
ท่ามกลางข่าวลือหนาหูตั้งแต่ก่อนวันประชุมว่ามี “ดีลลับ” ขอให้ ส.ส.ฝ่ายค้านไม่น้อยกว่า 10 ชีวิต ช่วยเสียบบัตรเป็นองค์ประชุมให้ที่ประชุมสภาฯเดินหน้าต่อไปได้
ถึงเวลาจริงก็ตรงเป๊ะตามกระแสข่าว เมื่อตรวจสอบองค์ประชุมแล้วมีถึง 261 เสียง ถือว่าเกินครึ่งของที่ประชุม ทำให้กรลงมติสามารถดำเนินไปได้ โดยผลออกมา 244 ต่อ 5 เสียง งดออกเสียง 6 เสียง ไม่ให้ตั้ง “กมธ.เช็กบิล คสช.” ญัตติที่ “จารย์ป๊อก” ปิยะบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ เสนอไว้
ในจำนวนองค์ประชุม 261 เสียง ปรากฏชื่อ ส.ส.ฝ่ายค้าน 10 ชีวิต ร่วมเป็นองค์ประชุมให้รัฐบาล ในขณะที่เพื่อนสมาชิกฝ่ายค้านเลือกวอล์กเอาท์หวังให้ “สภาล่ม” อีกครั้ง
โดย 10 รายชื่อของ ส.ส.ฝ่ายค้านที่ “ผ่าทางตัน” และถูกขนานนามในทันทีว่าเป็น “งูเห่า” ในครั้งนี้ประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย 3 คน ได้แก่ ขจิตร ชัยนิคม ส.ส.อุดรธานี , “มาดามก้อย” พรพิมล ธรรมสาร ส.ส.ปทุมธานี และ “เสี่ยเอก” พลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ ส.ส.กทม.
พรรคอนาคตใหม่ 2 คน ได้แก่ “เฮียรึก” จารึก ศรีอ่อน และ “สารวัตรต๊อก” พ.ต.ท.ฐนภัทร กิตติวงศา ส.ส.จันทบุรี
พรรคเศรษฐกิจใหม่ 4 คน ได้แก่ มนูญ สิวาภิรมย์รัตน์ หัวหน้าพรรค, สุภดิช อากาศฤกษ์, ภาสกร เงินเจริญกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และ มารศรี ขจรเรืองโรจน์ ซึ่งเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อทั้งหมด
และ พรรคประชาชาติ 1 คน คือ อนุมัติ ซูสารอ ส.ส.ปัตตานี
แน่นอนว่าการ “ล้มมติ” ตั้ง “กมธ.เช็กบิล คสช.” ได้นั้น ถือว่าสร้างความพึงพอใจให้แก่ “บิ๊กรัฐบาล” ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็น “บิ๊ก คสช.” มาก่อน ด้วยสามารถทำตาม “ใบสั่ง” ที่ว่าหัวเด็ดตีนขาดอย่างไรก็ให้ตั้ง กมธ.ชุดนี้ไม่ได้ ได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น
เพราะ “บิ๊กรัฐบาล” รู้ว่า “10 งูเห่า” ที่ได้มาช่วยนั้น “ลงทุนสูง” พอสมควร แลกมากับปฏิบัติการแก้ผ้าเอาหน้ารอด จึงไม่ได้มอบความดีความชอบให้ใครเป็นพิเศษ
อีกทั้งความพึงพอใจระดับหนึ่งนั้น ก็มลายหายไปสิ้น เมื่อยังปรากฏว่า 6 ส.ส.ประชาธิปัตย์ ประกอบด้วย “เสี่ยตาล” สาทิตย์ วงศ์หนองเตย, “เสี่ยคึก” เทพไท เสนพงศ์, “เสี่ยหนุ่ม” พนิต วิกิตเศรษฐ์ และ “แบวา” อันวาร์ สาและ ขณะที่ “มาดามมด” กันตวรรณ ตันเถียร ส.ส.พังงา และ “กุมารจีน” ชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ ส.ส.ตาก เลือกที่จะไม่ลงคะแนนเสียง
ความดื้อรั้นของ 6 ส.ส.ประชาธิปัตย์ ยิ่งทำให้ “บิ๊กรัฐบาล” เดือดดาลหนักขึ้นเป็นเท่าตัว
เพราะทั้ง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ, “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและพี่ใหญ่รัฐบาล กระทั่ง “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ถึงขั้นเอ่ยปากกับแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ ทั้ง “อู๊ดด้า” จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรค และ “เสี่ยต่อ” เฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรค เพื่อให้ควบคุมการลงมติของลูกพรรค
เรียกว่าย้ำแล้วย้ำ ทั้งในระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) และในช่วงงาน “มีตติ้งหูฉลาม” ที่เลี้ยงสังสรรค์พรรคร่วมรัฐบาล สโมสรราชพฤกษ์ เมื่อวันที่ 3 ธ.ค.แล้ว
“ถ้าผมอยู่ไม่ได้ พวกท่านก็อยู่ไม่ได้เหมือนกัน เบาก็ปรับ ครม. หนักก็ยุบสภา” คำกล่าวอ้างที่ “นายกฯตู่” พูดโพล่งกลางที่ประชุม ครม. ต่อเนื่องมาถึงงานเลี้ยงช่วงค่ำ ที่ “บิ๊กรัฐบาล” พร่ำพูดจนลิ้นพันกันเลยทีเดียว
ขั้นแยกเขี้ยวขู่ฟ่อว่า ถ้าพรรคร่วมรัฐบาลคอนโทรล ส.ส.ในสังกัดไม่ได้ ก็อาจต้องยุบสภาเพื่อแก้ปัญหา
ขู่กันขนาดนี้ “ค่ายสีฟ้า” ยังปล่อยให้ ส.ส.แหกคอกอีก ก็เชื่อแน่ว่า “บิ๊กรัฐบาล-บิ๊ก พลังประชารัฐ” คงปล่อยไว้ไม่ได้ และคงต้องมีการต่อยอด “กองทัพงูเห่า” ที่รอบนี้เลือกใช้เพียง “ขนาดหย่อมๆ” เพื่อแก้ปัญหาเสถียรภาพทางการเมือง รวมทั้ง “ดัดหลัง” ความดื้อด้านของพรรคร่วมรัฐบาล
บอกเลย “10 งูเห่า” รอบนี้เป็น “หนังตัวอย่าง” ที่เปิดหัวไว้รอ “หนังใหญ่” ฉายจริง
ด้วย “งูเห่าการเมือง” ที่แกนนำรัฐบาลหลายคนซ่องสุมเอาไว้มีอีกหลายสิบชีวิต มีทั้ง ส.ส.ที่อยู่ในพรรคการเมืองใหญ่ ที่เรียกกันว่า “งูเห่าฝากเลี้ยง” แอบทำข้อตกลงไว้ตั้งแต่ก่อนเลือกตั้งแล้วว่า หลังจากได้เป็น ส.ส.แล้ว หากมีความจำเป็นต้องขอให้ฝืนมติพรรค โหวตสวนกับฝ่ายค้าน โดยมีการ “ป้อนกล้วย” กันมาตลอด
อีกกลุ่มคือ “งูเห่าไฟต์บังคับ” กลุ่มนี้จะเป็นพวกที่มีตัวเองหรือคนใกล้ตัวติดคดีความ ที่จำเป็นต้องใช้ “ตัวช่วย” ให้รอดโทษทัณฑ์ เหมือนที่แซวๆ กันว่ามี “โปรย้ายค่าย” อีกเพียบ
อย่างไรก็ดี การใช้บริการ “งูเห่า” ลักษณะนี้ ยังไม่สามารถ “อุ่นใจ” ได้ ด้วยแต่ละคนต่างหวังเป็นแค่ “ไซด์ไลน์” รับงานเป็นจ๊อบๆ เพื่อไม่ให้กระทบภาพลักษณ์-ฐานเสียงในพื้นที่ ซึ่งต้องอยู่ตรงข้าม “รัฐบาลทหาร” เท่านั้น
ตามรูปแบบยุทธวิธีของ “ทอปบูต” แล้ว การเดินเกมทางการเมืองย่อมปล่อยให้มี “ความเสี่ยง” ไม่ได้ ด้วยท่องเป็นสรณะว่า “พลาดตาเดียว แพ้ทั้งกระดาน”
การปล่อยให้พวกที่พร้อม “โหวตสวน-แหกมติ” ทิ้งเชื้อไว้ในรัฐบาลย่อมไม่เป็นผลดี แต่ก็ติดที่รัฐบาลยังมีเสียงปริ่มน้ำหากขาดเสียงใดเสียงหนึ่ง หรือพรรคใดพรรคหนึ่งไป กลายเป็น “รัฐบาลเสียงข้างน้อย” แบบที่เดินยังไม่พ้นปากซอยก็คงโดนสอยซะแล้ว
แนวคิด “ปรับ ครม.” เพื่อเฉดหัว “พวกคุยไม่รู้เรื่อง” แล้วดึงแนวร่วมที่ “ไม่กล้าเบี้ยว” หรือทำเป็นแอคอาร์ตโชว์หล่ออ้างหลักการประชาธิปไตย แบบที่ “พรรคเก่าแก่” ทำให้เจ็บใจมาหลายหนเข้ามาแทนที่
ว่ากันว่าขณะนี้กำลังมี “บิ๊กเนม” ของรัฐบาล-ฝ่ายค้าน ที่เคยเกรียงไกรร่วมกันในนาม “กลุ่ม 16” กำลังเจรจา “ดีลใหญ่พิเศษใส่ไข่” กันอยู่
ว่ากันอีกว่า “10 งูเห่า” แค่น้ำจิ้ม ของจริงเป็นหนังใหญ่ในท้องเรื่อง “พลิกข้าง-สลับขั้ว”
ฉายจริงเมื่อไร ทั้งกองเชียร์ ทั้งคนดู มีหวัง “ตกเก้าอี้” เอาง่ายๆ.