ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - วันนี้ “ครอบครัวไกรคุปต์” ตกเป็นเป้าวิพากษ์วิจารณ์ของสังคมกันอย่างสนุกปาก ทั้งตัว “ไกรคุปต์ผู้พ่อ” คือ “ทวี” และ “ไกรคุปต์ผู้ลูก” คือ “เอ๋-ปารีณา” ในคดีฟาร์มไก่ “เขาสน” บุกรุกป่าสงวนแต่งชาติ ป่าฝั่งซ้ายแม่น้ำภาชี -ป่าตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ 2484 รวมกว่า 46 ไร่เศษ หลังจาก “นายอรรถพล เจริญชันษา” อธิบดีกรมป่าไม้ ตั้งโต๊ะแถลงข่าวยืนยันความผิดเมื่อวันที่ 2 ธันวาคมที่ผ่านมา
ทั้งนี้ หลังเกิดคดีเห็นได้ชัดว่า “เอ๋-ปารีณา” ไม่ได้ปรากฏตัวให้เห็น จะมีเพียงการส่งทนายความมาแจ้งความดำเนินคดีกับ 2 นักร้องที่ออกมาปะฉะดะกับเธอคือนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงษ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม และนายวีระ สมความคิด ประธานเครือข่ายประชาชนต่อต้านคอร์รัปชัน เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาท หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา
ขณะที่การเคลื่อนไหวสำคัญกลับไปอยู่ที่นายทวีผู้เป็นพ่อซึ่งออกมาแก้ต่างแทน และเปิดเผยว่า “ไม่สามารถติดต่อลูกสาวได้” แถมยังกลายเป็นประเด็นร้อนเมื่อเกิดกรณีนายทวีไป “แย่งไมโครโฟน” ของนายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมป่าไม้ หลังแถลงข่าวเรื่องการแจ้งความดำเนินคดีกับ “เอ๋-ปารีณา”
“อยากบอกลูกสาวว่าอย่าไปฟ้องอธิบดีกรมป่าไม้ เพราะท่านทำตามหน้าที่ตามกฎหมาย อยากให้หาหลักฐานมาสู้คดีจะดีกว่าและอย่าไปฟังทนายมาก เพราะต้องจ่ายเงินให้ทนายทั้งขึ้นทั้งล่อง ให้ฟังพ่อ ผมคิดผิดที่ส่งลูกไปเรียนที่อเมริกาตั้งแต่ 11 ขวบจนจบปริญญาโททำให้เขามีความมั่นใจในตัวเองสูง คิดแบบฝรั่ง ไม่ฟังใคร แม้แต่พ่อแม่ก็ไม่เชื่อ” นายทวีขอความเห็นใจและยืนยันว่าไม่ได้ไปแย่งไมโครโฟน เพราะอธิบดีกรมป่าไม้พูดเสร็จพอดี
เรื่องราวในอดีตของนายทวีถูกขุดออกมาแบให้เห็นกันในทุกมิติ ทั้งเรื่องราวในอดีตสมัยเล่นการเมือง สมัยเป็นรัฐมนตรี และกรณียิงหมาหน้าร้านสะดวกซื้อชื่อดัง เช่นเดียวกับเรื่องราวของ “เอ๋-ปารีณา” ที่ดำเนินไปในท่วงทำนองเดียวกัน
ขณะที่ชื่อของ “อธิบดีอรรถพล” เป็นที่กล่าวขานขึ้นมาในทันที เพราะก่อนหน้านี้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันทั้งแผ่นดินว่า อาจมีมวยล้มต้มคนดู ด้วยมีแรงกดดันทางการเมืองค่อนข้างสูงด้วย “เอ๋-ปารีณา” เป็น ส.ส.สังกัดพรรคพลังประชารัฐ
กรณีรุกป่าสงวนแห่งชาติ อธิบดีกรมป่าไม้ยืนยันชัดเจนหลังมีการลงพื้นที่รังวัดเป็นครั้งที่สองว่า “เอ๋-ปารีณา” รุกป่าจริง ซึ่งพื้นที่ที่จะดำเนินคดีมีทั้งหมด 46 ไร่ 1 งาน 40 ตารางวา โดยอยู่ในป่าสงวนแห่งชาติป่าฝั่งซ้ายแม่น้ำภาชี 41 ไร่ 1 งาน 59 ตารางวา และอยู่ในเขตป่าตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 จำนวน 4 ไร่ 3 งาน 81 ตารางวา
ทั้งนี้ กรมป่าไม้ได้แจ้งความกับ “เอ๋-ปรีณา” ในข้อหาบุกรุกพื้นที่ป่าต่อกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) ในข้อหา 1.กระทำความผิดตามพ.ร.บ.ป่าไม้ พุทธศักราช 2484 มาตรา 54 ฐาน “ก่อสร้าง แผ้วถาง เผาป่า ทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการทำลายป่าเข้ายึดถือและครอบครองป่าเพื่อตนเองหรือผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต” ต้องระวางโทษตามมาตรา 72 ตรี 2.กระทำความผิดตามพ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14 “ยึดถือครอบครองทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในที่ดิน ก่อสร้าง แผ้วถางทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติโดยมิได้รับอนุญาต” ต้องระวางโทษตามมาตรา 31 3.กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9 ฐาน “เข้าไปยึดถือครอบครองก่นสร้าง เผาป่า ทำด้วยประการใด ให้เป็นการทำลาย หรือทำให้เสื่อมสภาพที่ดินในที่ดินของรัฐโดยไม่มีสิทธิครอบครอง หรือมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ และ 4. พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.2535 มาตรา 97 การกระทำหรือละเว้นกระทำด้วยประการใดโดยไม่ชอบด้วยกฏหมายอันเป็นการทำลายหรือทำให้สูญหายหรือเสียหายแก่ทรัพยากรธรรมชาติมีหน้าที่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่รัฐตามมูลค่าทั้งหมดของทรัพยากรธรรมชาติที่ถูกทำลายสูญหายหรือเสียหายไป
ก็เป็นอันว่า คดีความได้ไปอยู่ในมือของ บก.ปทส.เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งก็คงต้องติดตามกันต่อไปว่า สุดท้ายแล้วจะลงเอยอย่างไรและจะมี “ใคร” ให้การช่วยเหลือ “เอ๋-ปารีณา” หรือไม่ อย่างไร
อย่างไรก็ดี เมื่อฟังคำชี้แจงจากนายทวีก็ทำให้เข้าใจถึงสาเหตุที่อดีตรัฐมนตรีผู้นี้จำต้องออกมาแก้แทนลูกสาว ด้วยว่า ที่ดินเจ้าปัญหาเป็นตัวนายทวีเองที่ไปซื้อที่ดินผืนดังกล่าวมา ซึ่งจะว่าไปก็เข้าข่าย “พ่อแม่รังแกฉัน” อย่างไรอย่างนั้น
“ผมโอนสิทธิ ครอบครองจากชาวบ้านก่อนปี 2523 โดยซื้อจากชาวบ้านที่ทำไร่โดยไม่รู้ว่าเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติ เขตป่าไม้หรือเขต ส.ป.ก. เพราะไม่มีป้ายปักแม้แต่ป้ายเดียวว่าเป็นเขตอะไร ไม่มีหลักหมุด อยู่มา 40 ปีเศษ ไม่เห็นสิ่งเหล่านี้ ชาวบ้านทั่วไปเหมือนกับผม ไม่รู้ว่าพื้นที่ใดและที่ไปโอนสิทธิครอบครอง ไม่มีพื้นที่ป่าแม้แต่พื้นที่เดียวเป็นชุมชนไปหมด ป่าสงวนได้ประกาศตั้งนานแล้ว ตั้งแต่ปี พ.ศ.2484 แม้แต่ที่ว่าการอำเภอยังอยู่เขตป่าหมด นี่คือข้อเท็จจริง น.ส.ปารีณาไม่รู้เรื่องการซื้อที่ ไม่รู้เรื่องนี้และผมซื้อมาจากชาวบ้านก็ไม่รู้ว่าเป็นมือไหน มีใบ ภ.บ.ท.5 ก็ซื้อ และใบ ภ.บ.ท.5 ทางราชการเขาแจ้งมาว่า ใครที่ครอบครองที่ดินและใช้ประโยชน์ให้ไปเสียภาษีให้ท้องถิ่นนั้น ซึ่งผมก็เสียที่อำเภอ ช่วงหลังที่ อบต. แสดงว่าผมได้ทำประโยชน์และเสียภาษี”
จากนั้นในวันต่อมานายทวีก็เปิดแถลงข่าว โดยประเด็นสำคัญอยู่ตรงที่ว่า ที่ดินผืนดังกล่าว นายทวี “ซื้อต่อมาจากใคร” ซึ่งแม้นายทวีไม่ตอบชัดๆ แต่ก็ตอบว่า “ซื้อมาจากนายทหารคนหนึ่ง แต่นายทหารคนนั้นจะได้มาอย่างไร ผมไม่ทราบ ซึ่งเขาเล่าว่าที่ดินที่ขายนั้นเป็นมรดกตกทอดมาจากบิดา ซึ่งปู่ให้มา และใช้เป็นที่ทำการเกษตร”
ที่สำคัญคือ นายทวีประกาศกร้าวด้วยว่า “ในคดีนี้หากตรวจสอบว่าผมผิด และต้องติดคุก ผมพร้อมจะฆ่าตัวตาย เพราะผมรักศักดิ์ศรี และเรื่องนี้ผมพร้อมต่อสู้คดี จะไม่หนีคดีเหมือนอย่างนายทักษิณ และน.ส.ยิ่งลักษณ์ (ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี )จะอยู่ตามคำตัดสิน แต่ผมจะฆ่าตัวเอง การกล่าวหาว่าผมบุกรุกที่ดินถือว่าเป็นสิ่งที่สร้างความเสียหายที่สุดในชีวิตของผม ผมเป็นคนรักษาชื่อเสียงยิ่งกว่าชีวิตของผมอีก ผมไม่เสียดายชีวิตถ้าสิ่งนั้นทำให้ผมเสียชื่อเสียง”
ทว่า สุดท้ายเมื่อถูกท้วงติงว่า เป็นกดดันการทำงานของเจ้าหน้าที่ นายทวีก็ตอบว่า “งั้น ผมขอยกเลิกที่พูดไปว่าจะฆ่าตัวตาย แต่ผมยืนยันว่ารักศักดิ์ศรีของผม”
ที่น่าสนใจก็คือ ไม่เพียงกรณีดังกล่าวเท่านั้น เพราะเรื่องราวยังมีความพัวพันกับการที่นายทวีไปยึดสิทธิที่ดินของชาวบ้านผสมปนเปเข้ามาด้วย โดยนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงษ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมพา น.ส.ปราณี นำพา อายุ 49 ปี ชาว ต.ท่าเคย อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี เข้าพบ พล.ต.ต.วิวัฒน์ ชัยสังฆะ ผบก.ปทส.เพื่อให้ดำเนินคดีกับนายทวีและ น.ส.ปารีณา
นอกจากนี้ ก็ยังมีคดีที่ร้อนไม่แพ้กันนั่นคือกรณีที่ “เอ๋-ปารีณา” ไปแจ้งครอบครองที่ดิน ภ.บ.ท.5 จำนวน 1,700 ไร่ ต่อ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ซึ่งเอาเข้าจริงหลังสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม(ส.ป.ก.) ไปตรวจสอบพบว่ามีพื้นที่ราว 700 ไร่ จนเป็นเป็นที่กังขาถึงเบื้องหน้าเบื้องหลังในเรื่องนี้ว่าน่าจะไม่ธรรมดา
เพราะหลังจากนั้น “เอ๋-ปารีณา” ได้ทำหนังสือถึงประธาน ป.ป.ช.ขอแก้ไขรายการบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินเพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดการแจ้งครอบครองที่ดิน ภ.บ.ท.5 และนายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการ ป.ป.ช.ก็ยืนยันว่า ตามกฎหมาย ป.ป.ช.ผู้ยื่นสามารถขอแก้ไขได้ แต่ ป.ป.ช.จะอนุญาตหรือไม่ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของ ป.ป.ช.ชุดใหญ่เพราะ ป.ป.ช.ต้องตรวจสอบอย่างละเอียดว่า มีพฤติการณ์เชื่อว่าเจตนาหรือไม่เจตนา ก่อนจะสรุปเรื่องเสนอต่อที่ประชุม ป.ป.ช.ชุดใหญ่
รวมถึงยังมีประเด็นการแจ้งบัญชีทรัพย์สินของ “เอ๋-ปารีณา” ที่มีความผิดปกติเช่น ที่ดิน ภ.บ.ท.5 ของ น.ส.ปารีณา ได้มาเมื่อปี 2553 ทำไมไม่แจ้งในบัญชีทรัพย์สินช่วงเป็น ส.ส. ปี 2554-2557 หรือทำไมแจ้งมูลค่าที่ดิน ภ.บ.ท.5 รวม 58 ฉบับ จำนวน 1,706 ไร่เศษ แค่ 2 แสนบาท เป็นต้น
ถึงตรงนี้ แม้หลายคนจะฟันธงว่า เส้นทางชีวิตทางการเมืองของ “เอ๋-ปารีณา” ดูจะริบหรี่ลงไปทุกที เพราะยากที่จะหาช่องช่วยเหลือ เพราะยิ่งทำยิ่งเกิดคำถามเรื่อง 2 มาตรฐาน และกระทบกับภาพลักษณ์ของรัฐบาลอย่างรุนแรง ที่สำคัญคือ ประชาชนที่เชียร์ลุงตู่ก็รับไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น ดังนั้น คงถึงเวลาที่จะต้องสละ “เบี้ย” ตัวนี้
แต่เอาเข้าจริง ดูเหมือน “เอ๋-ปารีณา” จะยังไม่หมดหวังเสียทีเดียว เพราะดันมี “บุคคลสำคัญ” ไปพูดถึง “แผนที่ 1:400,000” ซึ่งตรงกับสิ่งที่นายทวียกมากล่าวอ้าง พร้อมระบุว่า คงต้องมาเทียบดูว่าตรงไหนเป็นที่ทับซ้อนเพื่อให้ทุกคนเข้าสู่กฎหมายให้ถูกต้อง
ส่วนกรมป่าไม้ที่ออกมาระบุความผิดก็ทำอะไรไม่ได้มากกว่า “แจ้งความ” เพราะหน่วยงานที่มีหน้าที่ตรวจสอบ ทำสำนวนคดีและฟ้องร้องก็คือ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.)
แหม...ดูท่าจะยื้อกันไปอีกนานเสียแล้วกระมัง...