"พ่อปารีณา" ลุยสภา ขอความเป็นธรรมสื่อ ปัดแย่งไมค์อธิบดีกรมป่าไม้ แค่ซักถาม ยกตำแหน่งในอดีตยันไม่ใช่กุ๊ย นอบน้อมถ่อมตน ลั่นคดีรุกป่าผิดจริงพร้อมฆ่าตัวตาย เหตุรักศักดิ์ศรี ไม่หนีคดีแบบ "พี่น้องชินวัตร" แย้มซื้อมาจากทหาร
วันนี้ (3 ธ.ค.) เมื่อเวลา 13.20 น. นายทวี ไกรคุปต์ บิดาของน.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ เดินทางมาที่รัฐสภา เพื่อขอความเป็นธรรมกับสื่อมวลชนประจำรัฐสภา หลังจากที่สื่อมวลชนหลายสำนักพิมพ์ พาดหัวข่าวที่สร้างความเสียหายให้กับตนเอง โดยยืนยันว่าเมื่อวันที่ 2 ธ.ค.ที่ผ่านมา ตนไม่ได้มีพฤติกรรมแย่งไมโครโฟนจากมือของนายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมป่าไม้ ที่อยู่ระหว่างแถลงรายละเอียดการบุกรุกที่ป่าของน.ส.ปารีณา ในจ.ราชบุรี แต่เป็นเพียงการซักถามในประเด็นรายละเอียดของที่ดินที่แถลงเท่านั้นเพื่อให้เกิดความชัดเจน ส่วนที่ตนไปร่วมเวทีแถลงดังกล่าว เพราะมีสื่อมวลชนร้องขอให้ตนไปชี้แจงข้อเท็จจริง
“ขอยืนยันว่า จากการที่เป็นอดีต ส.ส. และอดีตรัฐมนตรีว่า ผมไม่ใช่กุ๊ย ไม่ใช่คนกักขฬะ และไม่ได้เป็นคนแบบนั้น แต่เป็นคนนอบน้อมถ่อมตน”
ส่วนกรณีที่มีการแจ้งความเอาผิดตน และน.ส.ปารีณา กับกองบังคับการป้องกันปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) นั้น ตนจะเดินทางไปยัง บก.ปทส.เพื่อรายงานตัว และพร้อมจะตอบในทุกคำถาม
“ในคดีนี้หากตรวจสอบว่าผมผิด และต้องติดคุก ผมพร้อมจะฆ่าตัวตาย เพราะผมรักศักดิ์ศรี และเรื่องนี้ผมพร้อมต่อสู้คดี จะไม่หนีคดีเหมือนอย่างนายทักษิณ และน.ส.ยิ่งลักษณ์ (ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี )จะอยู่ตามคำตัดสิน แต่ผมจะฆ่าตัวเอง การกล่าวหาว่าผมบุกรุกที่ดินถือว่าเป็นสิ่งที่สร้างความเสียหายที่สุดในชีวิตของผม ผมเป็นคนรักษาชื่อเสียงยิ่งกว่าชีวิตของผมอีก ผมไม่เสียดายชีวิตถ้าสิ่งนั้นทำให้ผมเสียชื่อเสียง” นายทวี กล่าว
เมื่อถามว่า กรณีที่ระบุว่าจะฆ่าตัวตายหากคำพิพากษาปรากฎว่าผิด ถือว่ากดดันการทำงานของเจ้าหน้าที่หรือไม่ นายทวี กล่าวขึ้นว่า “งั้น ผมขอยกเลิกที่พูดไปว่าจะฆ่าตัวตาย แต่ผมยืนยันว่ารักศักดิ์ศรีของผม”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าระหว่างที่นายทวี แถลงต่อประเด็นแย่งไมโครโฟนของอธิบดีกรมป่าไม้ ผู้สื่อข่าวได้พยายามสอบถามข้อเท็จจริงต่อการถือครองที่ดิน และการได้มาของที่ดินโดยชอบหรือไม่ และผู้ครอบครองล่าสุด แต่นายทวี ปฏิเสธการตอบคำถามเหล่านั้น ระบุว่า “เรื่องที่อยู่ระหว่างตรวจสอบผมจะไม่ขอให้รายละเอียด ตนซื้อมาจากนายทหารคนหนึ่ง แต่นายทหารคนนั้นจะได้มาอย่างไรตนไม่ทราบ ซึ่งเขาเล่าว่าที่ดินที่ขายนั้นเป็นมรดกตกทอดมาจากบิดา ซึ่งปู่ให้มา และใช้เป็นที่ทำการเกษตร
เมื่อถามย้ำว่าในเอกสารที่จะต่อสู้คดีมีชื่อระบุชัดเจนหรือไม่ว่าใครถือครองที่ดิน นายทวี กล่าวว่า “แน่นอน ซึ่งเรื่องนี้ น.ส.ปารีณาไม่รู้ ผมเป็นคนถือครองอยู่”
เมื่อถามว่าทำไมน.ส.ปารีณา ถึงนำที่ดินในพื้นที่ไปแจ้งเป็นทรัพย์สินที่รายงานต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายทวี ปฏิเสธที่จะตอบคำถาม ระบุว่า “เดี๋ยวความจริงจะปรากฎ”