"ผมยังเชื่อมั่นว่ายังมั่นคงอยู่ ผมถือว่าผมเป็นทหารเก่า ฉะนั้นถือว่าสัญญาลูกผู้ชายสุภาพบุรุษสำคัญที่สุด การเป็นพรรคร่วมรัฐบาลก็ต้องร่วมรัฐบาลจริงๆในสิ่งที่รัฐบาลทำในสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ใช่ต่อสู้กันทางการเมืองอย่างเดียว มันไม่ได้ หรือจะมองอนาคตวันข้างหน้าเรื่องการเลือกตั้ง มันยังมาไม่ถึงตอนนี้ แต่วันนี้บ้านเมืองกำลังมีปัญหาเศรษฐกิจ ความมั่นคง ความขัดแย้งของสงครามการค้า เราจะไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านี้เลยหรือ โจมตีกันไปมา มันไม่เกิดประโยชน์อะไรกับใครทั้งสิ้น แม้กระทั่งพรรคการเมืองของตัวเอง"
"ผมยังไม่มีแนวคิดเรื่องนี้ (ปรับคณะรัฐมนตรี) ต้องดูกันไประยะหนึ่งก่อน ขอให้เขาทำงานให้สำเร็จก่อน แล้วจะวัดผลงานกันอีกที"
เมื่อถามว่าจะมีการนัดแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลมาร่วมหารือกันหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กล่าวว่า "ต้องมีการทานข้าว แต่ต้องหาเวลาก่อน"
คำพูดดังกล่าวเป็นของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่พยายามเน้นย้ำให้เห็นว่า รัฐบาลกำลังเร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจกันอยู่ มีการออกมาตรการต่างๆ หลายอย่างออกมา ซึ่งทั่วโลกก็มีปัญหาแตกต่างกันไป พร้อมกันนี้ยังเรียกร้องให้นักการเมืองปรับบทบาทใหม่ให้ช่วยกันเสนอแนวทางแก้ปัญหามาให้รัฐบาลเพื่อช่วยกันแก้ปัญหา โดยเขายืนยันว่าพร้อมจะรับฟัง
คำพูดข้างต้นของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีขึ้นที่กระทรวงกลาโหม จากนั้นก็ได้มีการเน้นย้ำในเรื่องนี้อีกครั้ง ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระหว่างไปร่วมประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจที่นั่น เมื่อวานนี้( 28 พฤศจิกายน)
น่าสังเกตก็คือ เป็นคำพูดที่เขาพูดย้ำในเรื่องการแก้ปัญหาเศรษฐกิจขึ้นมาอีกครั้ง โดยที่ไม่มีสื่อได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องนี้
ขณะเดียวกันการให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกนับจากเดินทางกลับจากการไปร่วมประชุมอาเซียน-เกาหลีใต้ โดยก่อนหน้านั้น มีความเคลื่อนไหวภายในพรรคร่วมรัฐบาลบางอย่าง ที่ส่อให้เห็นถึงความขัดแย้งบางประการที่เกิดขึ้นภายใน เช่น กรณีมติของคณะกรรมการวัตถุอันตราย ที่ให้ยืดระยะเวลาการห้ามสารวัตถุอันตรายบางอย่างออกไปอีก 6 เดือน และยกเลิกการห้ามอีกบางสารวัตถุอันตราย ที่เคยห้ามก่อนหน้านี้ โดยมีความเห็นที่อาจสร้างความขัดแย้งกันระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลสามพรรค ที่กำกับดูแลแต่ละกระทรวง คือ พรรค พลังประชารัฐ พรรคภูมิใจไทย และ พรรคประชาธิปัตย์
**โดยเฉพาะความคิดเห็นและท่าทีของแกนนำพรรคภูมิใจไทย กับพรรคพลังประชารัฐ แม้ว่าในเบื้องลึกจะถูกมองว่าเป็นการ “เล่นละครทางการเมือง”เพื่อหาคะแนนเสียงกับมวลชนบางกลุ่มก็ตาม แต่ภาพที่แสดงออกมาให้เห็น มันเป็นภาพของท่าทีความขัดแย้ง
ขณะเดียวกันในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันก็มีความเห็นจาก ส.ส.บางคนในพรรคประชาธิปัตย์ เช่น นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช ได้ออกมาเคลื่อนไหวโจมตี พล.อ.ประยุทธ์ โดยตรง กล่าวหาว่ามีความล้มเหลวในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ และหลังจากนั้นพรรคพลังประชารัฐ ก็มีท่าทีไม่สนับสนุนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่นายเทพไท เป็นคนผลักดันให้เป็น ประธานคณะกรรมาธิการศึกษาแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญ จนในที่สุดก็ต้องถอนตัวออกไป
หรือก่อนหน้านั้น นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายเศรษฐกิจ ที่ออกมาระบุในทำนองว่า การขับเคลื่อนในการกระตุ้นเศรษฐกิจในเวลานี้ของรัฐบาลมีเพียงกระทรวงการคลังเท่านั้นที่ออกมาตรการกระตุ้นออกมาแบบ “เป็นเนื้อเป็นหนัง”ขณะที่กระทรวงเศรษฐกิจอื่นๆ แม้ว่าจะไม่ได้ระบุออกมาตรงๆ แต่ก็ทำให้เห็นว่าต่างคนต่างทำนั่นแหละ
**ล่าสุด ก็เกิดกรณีโหวตตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาผลกระทบจากประกาศและคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ตามมาตรา 44 ซึ่งผลปรากฏว่า ฝ่ายรัฐบาลแพ้โหวตฝ่ายค้าน และมีส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลบางคนโหวตสวนมติวิปรัฐบาลด้วย แม้ว่าในเวลาต่อมาจะมีการเสนอให้นับคะแนนใหม่ตามข้อบังคับ แต่เมื่อฝ่ายค้านวอล์กเอาต์ ก็ทำให้องค์ประชุมล่มในที่สุด แม้ว่าจะเข้าทางฝ่ายรัฐบาล เนื่องจากยังไม่สามารถตั้งคณะกรรมาธิการฯ ขึ้นมาได้ แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความเป็นเอกภาพภายในพรรคร่วมรัฐบาล หรือไม่
นอกเหนือจากนี้ ยังมีรายงานข่าวเกี่ยวกับการปรับคณะรัฐมนตรีตามสื่อบางสื่อออกมาให้เห็นตามมาอีก ทำให้ภาพรวมที่มองเห็นว่ามีร่องรอยของความขัดแย้งภายในพรรคร่วมรัฐบาลจนอาจต้องมีการปรับคณะรัฐมนตรี
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาจากภาพรวมเท่าที่เห็นมันก็พอจะเข้าเค้าเหมือนกันว่า การทำงานในกระทรวงเศรษฐกิจของรัฐบาล ยัง “จูน”เครื่องไม่เข้ากันดีนัก แม้จะไม่ถึงกับขัดแย้ง แต่ก็เริ่มมองเห็นว่าไม่เป็นเอกภาพเต็มร้อย ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องย้ำว่าต้องหาเวลาพูดคุยกับแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลในเร็วๆ นี้ ซึ่งอย่างน้อยเชื่อว่าต้องเกิดขึ้นก่อนที่ฝ่ายค้านจะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ขณะเดียวกันก็แย้มให้เห็นชัดว่า จะมีการปรับคณะรัฐมนตรีในวันข้างหน้า แม้จะยังไม่ระบุว่าเมื่อไหร่ แต่ตามรูปการณ์แล้ว น่าจะหลังการ“ซักฟอก”ของฝ่ายค้านผ่านไปแล้ว
**แม้ว่านี่เป็นเพียงแค่รอยปริ ยังไม่ถึงขั้นรอยร้าว แต่หากปล่อยไว้มันก็อาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ จึงต้องหาทางปรับจูนกันให้เข้าใจ ให้นาวาเดินต่อไปได้ ส่วนจะได้ผลหรือไม่ ต้องมาพิสูจน์กัน !!
"ผมยังไม่มีแนวคิดเรื่องนี้ (ปรับคณะรัฐมนตรี) ต้องดูกันไประยะหนึ่งก่อน ขอให้เขาทำงานให้สำเร็จก่อน แล้วจะวัดผลงานกันอีกที"
เมื่อถามว่าจะมีการนัดแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลมาร่วมหารือกันหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กล่าวว่า "ต้องมีการทานข้าว แต่ต้องหาเวลาก่อน"
คำพูดดังกล่าวเป็นของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่พยายามเน้นย้ำให้เห็นว่า รัฐบาลกำลังเร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจกันอยู่ มีการออกมาตรการต่างๆ หลายอย่างออกมา ซึ่งทั่วโลกก็มีปัญหาแตกต่างกันไป พร้อมกันนี้ยังเรียกร้องให้นักการเมืองปรับบทบาทใหม่ให้ช่วยกันเสนอแนวทางแก้ปัญหามาให้รัฐบาลเพื่อช่วยกันแก้ปัญหา โดยเขายืนยันว่าพร้อมจะรับฟัง
คำพูดข้างต้นของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีขึ้นที่กระทรวงกลาโหม จากนั้นก็ได้มีการเน้นย้ำในเรื่องนี้อีกครั้ง ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระหว่างไปร่วมประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจที่นั่น เมื่อวานนี้( 28 พฤศจิกายน)
น่าสังเกตก็คือ เป็นคำพูดที่เขาพูดย้ำในเรื่องการแก้ปัญหาเศรษฐกิจขึ้นมาอีกครั้ง โดยที่ไม่มีสื่อได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องนี้
ขณะเดียวกันการให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกนับจากเดินทางกลับจากการไปร่วมประชุมอาเซียน-เกาหลีใต้ โดยก่อนหน้านั้น มีความเคลื่อนไหวภายในพรรคร่วมรัฐบาลบางอย่าง ที่ส่อให้เห็นถึงความขัดแย้งบางประการที่เกิดขึ้นภายใน เช่น กรณีมติของคณะกรรมการวัตถุอันตราย ที่ให้ยืดระยะเวลาการห้ามสารวัตถุอันตรายบางอย่างออกไปอีก 6 เดือน และยกเลิกการห้ามอีกบางสารวัตถุอันตราย ที่เคยห้ามก่อนหน้านี้ โดยมีความเห็นที่อาจสร้างความขัดแย้งกันระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลสามพรรค ที่กำกับดูแลแต่ละกระทรวง คือ พรรค พลังประชารัฐ พรรคภูมิใจไทย และ พรรคประชาธิปัตย์
**โดยเฉพาะความคิดเห็นและท่าทีของแกนนำพรรคภูมิใจไทย กับพรรคพลังประชารัฐ แม้ว่าในเบื้องลึกจะถูกมองว่าเป็นการ “เล่นละครทางการเมือง”เพื่อหาคะแนนเสียงกับมวลชนบางกลุ่มก็ตาม แต่ภาพที่แสดงออกมาให้เห็น มันเป็นภาพของท่าทีความขัดแย้ง
ขณะเดียวกันในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันก็มีความเห็นจาก ส.ส.บางคนในพรรคประชาธิปัตย์ เช่น นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช ได้ออกมาเคลื่อนไหวโจมตี พล.อ.ประยุทธ์ โดยตรง กล่าวหาว่ามีความล้มเหลวในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ และหลังจากนั้นพรรคพลังประชารัฐ ก็มีท่าทีไม่สนับสนุนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่นายเทพไท เป็นคนผลักดันให้เป็น ประธานคณะกรรมาธิการศึกษาแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญ จนในที่สุดก็ต้องถอนตัวออกไป
หรือก่อนหน้านั้น นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายเศรษฐกิจ ที่ออกมาระบุในทำนองว่า การขับเคลื่อนในการกระตุ้นเศรษฐกิจในเวลานี้ของรัฐบาลมีเพียงกระทรวงการคลังเท่านั้นที่ออกมาตรการกระตุ้นออกมาแบบ “เป็นเนื้อเป็นหนัง”ขณะที่กระทรวงเศรษฐกิจอื่นๆ แม้ว่าจะไม่ได้ระบุออกมาตรงๆ แต่ก็ทำให้เห็นว่าต่างคนต่างทำนั่นแหละ
**ล่าสุด ก็เกิดกรณีโหวตตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาผลกระทบจากประกาศและคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ตามมาตรา 44 ซึ่งผลปรากฏว่า ฝ่ายรัฐบาลแพ้โหวตฝ่ายค้าน และมีส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลบางคนโหวตสวนมติวิปรัฐบาลด้วย แม้ว่าในเวลาต่อมาจะมีการเสนอให้นับคะแนนใหม่ตามข้อบังคับ แต่เมื่อฝ่ายค้านวอล์กเอาต์ ก็ทำให้องค์ประชุมล่มในที่สุด แม้ว่าจะเข้าทางฝ่ายรัฐบาล เนื่องจากยังไม่สามารถตั้งคณะกรรมาธิการฯ ขึ้นมาได้ แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความเป็นเอกภาพภายในพรรคร่วมรัฐบาล หรือไม่
นอกเหนือจากนี้ ยังมีรายงานข่าวเกี่ยวกับการปรับคณะรัฐมนตรีตามสื่อบางสื่อออกมาให้เห็นตามมาอีก ทำให้ภาพรวมที่มองเห็นว่ามีร่องรอยของความขัดแย้งภายในพรรคร่วมรัฐบาลจนอาจต้องมีการปรับคณะรัฐมนตรี
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาจากภาพรวมเท่าที่เห็นมันก็พอจะเข้าเค้าเหมือนกันว่า การทำงานในกระทรวงเศรษฐกิจของรัฐบาล ยัง “จูน”เครื่องไม่เข้ากันดีนัก แม้จะไม่ถึงกับขัดแย้ง แต่ก็เริ่มมองเห็นว่าไม่เป็นเอกภาพเต็มร้อย ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องย้ำว่าต้องหาเวลาพูดคุยกับแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลในเร็วๆ นี้ ซึ่งอย่างน้อยเชื่อว่าต้องเกิดขึ้นก่อนที่ฝ่ายค้านจะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ขณะเดียวกันก็แย้มให้เห็นชัดว่า จะมีการปรับคณะรัฐมนตรีในวันข้างหน้า แม้จะยังไม่ระบุว่าเมื่อไหร่ แต่ตามรูปการณ์แล้ว น่าจะหลังการ“ซักฟอก”ของฝ่ายค้านผ่านไปแล้ว
**แม้ว่านี่เป็นเพียงแค่รอยปริ ยังไม่ถึงขั้นรอยร้าว แต่หากปล่อยไว้มันก็อาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ จึงต้องหาทางปรับจูนกันให้เข้าใจ ให้นาวาเดินต่อไปได้ ส่วนจะได้ผลหรือไม่ ต้องมาพิสูจน์กัน !!