xs
xsm
sm
md
lg

เห็นรอยปริรัฐบาล- “บิ๊กตู่”ทวงสัจจะพรรคร่วม !?

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
เมืองไทย 360 องศา


“ผมยังเชื่อมั่นว่ายังมั่นคงอยู่ ผมถือว่าผมเป็นทหารเก่า ฉะนั้นถือว่าสัญญาลูกผู้ชายสุภาพบุรุษสำคัญที่สุด การเป็นพรรคร่วมรัฐบาลก็ต้องร่วมรัฐบาลจริงๆในสิ่งที่รัฐบาลทำในสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ใช่ต่อสู้กันทางการเมืองอย่างเดียว มันไม่ได้ หรือจะมองอนาคตวันข้างหน้าเรื่องการเลือกตั้ง มันยังมาไม่ถึงตอนนี้ แต่วันนี้บ้านเมืองกำลังมีปัญหาเศรษฐกิจ ความมั่นคง ความขัดแย้งของสงครามการค้า เราจะไม่ให้ความสำคัญกับเร่องเกล่านี้เลยหรือ โจมตีกันไปมามันไม่เกิดประโยชน์อะไรกับใครทั้งสิ้น แม้กระทั่งพรรคการเมืองของตัวเอง”

“ผมยังไม่มีแนวคิดเรื่องนี้(ปรับคณะรัฐมนตรี) ต้องดูกันไประยะหนึ่งก่อน ขอให้เขาทำงานให้สำเร็จก่อน แล้วจะวัดผลงานกันอีกที”

เมื่อถามว่าจะมีการนัดแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลมาร่วมหารือกันหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา กล่าวว่า “ต้องมีการทานข้าว แต่ต้องหาเวลาก่อน”

คำพูดดังกล่าวเป็นของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่พยายามเน้นย้ำให้เห็นว่ารัฐบาลกำลังเร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจกันอยู่ มีการออกมาตรการต่างๆหลายอย่างออกมา ซึ่งทั่วโลกก็มีปัญหาแตกต่างกันไป พร้อมกันนี้ยังเรียกร้องให้นักการเมืองปรับบทบาทใหม่ให้ช่วยกันเสนอแนวทางแก้ปัญหามาให้รัฐบาลเพื่อช่วยกันแก้ปัญหา โดยเขายืนยันว่าพร้อมจะรับฟัง

คำพูดข้างต้นของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีขึ้นที่กระทรวงกลาโหม จากนั้นก็ได้มีการเน้นย้ำในเรื่องนี้อีกครั้งที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติระหว่างไปร่วมประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจที่นั่น เมื่อวานนี้( 28 พฤศจิกายน) น่าสังเกตก็คือเป็นคำพูดที่เขาพูดย้ำในเรื่องการแก้ปัญหาเศรษฐกิจขึ้นมาอีกครั้งโดยที่ไม่มีสื่อได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องนี้

ขณะเดียวกันการให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกนับจากเดินทางกลับจากการไปร่วมประชุมอาเซียน-เกาหลีใต้ ที่กรุงโชล โดยก่อนหน้านั้นมีความเคลื่อนไหวภายในพรรคร่วมรัฐบาลบางอย่างที่ส่อให้เห็นถึงความขัดแย้งบางอย่างที่เกิดขึ้นภายใน เช่น กรณีมติของคณะกรรมการวัตถุอันตรายที่ให้ยืดระยะเวลาการห้ามสารวัตถุอันตรายบางอย่างออกไปอีก 6 เดือนและยกเลิกการห้ามอีกบางสารวัตถุอันตรายที่เคยห้ามก่อนหน้านี้ โดยมีความเห็นที่อาจสร้างความขัดแย้งกันระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลสามพรรคที่กำกับดูแลแต่ละกระทรวง คือ พรรคพลังประชารัฐ พรรคภูมิใจไทย และพรรคประชาธิปัตย์

โดยเฉพาะความคิดเห็นและท่าทีของแกนนำพรรคภูมิใจไทย กับพรรคพลังประชารัฐ แม้ว่าในเบื้องลึกจะถูกมองว่าเป็นการ “เล่นละครทางการเมือง” เพื่อหาคะแนนเสียงบางมวลชนบางกลุ่มก็ตาม แต่ภาพที่แสดงออกมาให้เห็นมันเป็นภาพของท่าทีความขัดแย้ง

ขณะเดียวกันในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันก็มีความเห็นจาก ส.ส.บางคนในพรรคประชาธิปัตย์ เช่น นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช ได้ออกมาเคลื่อนไหวโจมตี พล.อ.ประยุทธ์ โดยตรงกล่าวหาว่ามีความล้มเหลวในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ และหลังจากนั้นพรรคพลังประชารัฐก็มีท่าทีไม่สนับสนุน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ นายเทพไท เป็นคนผลักดันให้เป็นประธานคณะกรรมาธิการศึกษาแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญจนในที่สุดก็ต้องถอนตัวออกไป

หรือก่อนหน้านั้น นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายเศรษฐกิจ ที่ออกมาระบุในทำนองว่าการขับเคลื่อนในการกระตุ้นเศรษฐกิจในเวลานี้ของรัฐบาลมีเพียงกระทรวงการคลังเท่านั้นที่ออกมามาตรการกระตุ้นออกมาแบบ “เป็นเนื้อเป็นหนัง” ขณะที่กระทรวงเศรษฐกิจอื่นๆ แม้ว่าจะไม่ได้ระบุออกมาตรงๆแต่ก็ทำให้เห็นว่าต่างคนต่างทำนั่นแหละ

ล่าสุดก็เกิดกรณีโหวตตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาผลกระทบจากประกาศและคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ตามมาตรา 44 ซึ่งผลปรากฏว่าฝ่ายรัฐบาลแพ้โหวตฝ่ายค้าน และมี ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลบางคนโหวตสวนมติวิปรัฐบาลด้วย แม้ว่าในเวลาต่อมาจะมีการเสนอให้นับคะแนนใหม่ตามข้อบังคับ แต่เมื่อฝ่ายค้านวอร์คเอาท์ก็ทำให้องค์ประชุมล่มในที่สุด แม้ว่าจะเข้าทางฝ่ายรัฐบาลเนื่องจากยังไม่สามารถตั้งคณะกรรมาธิการฯขึ้นมาได้ แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความเป็นเอกภาพภายในพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่

นอกเหนือจากนี้ ยังมีรายงานข่าวเกี่ยวกับการปรับคณะรัฐมนตรีตามสื่อบางสื่อออกมาให้เห็นตามมาอีก ทำให้ภาพรวมที่มองเห็นว่ามีร่องรอยของความขัดแย้งภายในพรรคร่วมรัฐบาลจนอาจต้องมีการปรับคณะรัฐมนตรี

อย่างไรก็ดีเมื่อพิจารณาจากภาพรวมเท่าที่เห็นมันก็พอจะเข้าเค้าเหมือนกันว่า การทำงานในกระทรงเศรษฐกิจของรัฐบาลยัง “จูน” เครื่องเข้ากันดีนัก แม้จะไม่ถึงขัดแย้ง แต่ก็เริ่มมองเห็นว่าไม่เป็นเอกภาพเต็มร้อย ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องย้ำว่าต้องหาเวลาพูดคุยกับแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลในเร็วๆนี้ ซึ่งอย่างน้อยเชื่อว่าต้องเกิดขึ้นก่อนที่ฝ่ายค้านจะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ขณะเดียวกันก็แย้มให้เห็นชัดว่าจะมีการปรับคณะรัฐมนตรีในวันข้างหน้า แม้จะยังไม่ระบุว่าเมื่อไหร่ แต่ตามรูปการณ์แล้วน่าจะหลังการ “ซักฟอก”ของฝ่ายค้านผ่านไปแล้ว

แม้ว่านี่เป็นเพียงแค่รอยปริ ยังไม่ถึงขั้นรอยร้าว แต่หากปล่อยไว้มันก็อาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ จึงต้องหาทางปรับจูนกันให้เข้าใจ ให้นาวาเดินต่อไปได้ ส่วนจะได้ผลหรือไม่ต้องมาพิสูจน์กัน !!


กำลังโหลดความคิดเห็น