ช่วงระหว่างนี้...คงหนีไม่พ้นต้องตามไป “เกาะติด” รายการประท้วง ที่ทำให้แทบทั้งโลก ต้องตกอยู่ในเปลวเพลิงกันต่อไปอีกนั่นแหละทั่น จะด้วยเหตุเพราะ “ดวงโลก” หรือ “ดวงเมือง” ของประเทศต่างๆ ถูกอิทธิพลของดาวเสาร์ ดาวมฤตยู หรือราหง ราหู ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรก็แล้วแต่ หรือไม่ อย่างไร ก็มิอาจทราบได้ มันเลยส่งผลให้เกิดการ “จุดไฟในนาคร” ขึ้นมา ณ ที่โน่น ที่นั่น ที่นี่ชนิดไม่เว้นแต่ละวัน...
“ฮ่องกง” นั้น...ร่วม 6 เดือนเกือบ 7 เดือนเข้าไปแล้ว บรรดา “กะปอมฮ่องกง” หรือ “กุมารฮ่องกง” ก็ยังไม่ได้ออกอาการหัวตก หรือเหี่ยวปลายลงไปเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม...กลับเพิ่มแรงฮึด เพิ่มความดุเดือดรุนแรงหนักยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่แค่ไล่ทุบ ไล่ถีบ ไล่แทง รุมกระทืบ เอาก้อนอิฐปาหัว หรือเผาสด ย่างสด ฯลฯ บรรดาใครก็ตามที่ไม่เห็นควรด้วยกับตัวเองเท่านั้น ล่าสุด...ถึงขั้นจำแลงแปลงกายเป็นพระนารายณ์ เป็นอรชุน ออกมา “แผลงศร” ใส่ตำรวจ ตามด้วยระเบิดขวด หนังสติ๊กยักษ์ ฯลฯ ปลุกกระตุ้น ปลุกระดม ให้บรรดาเด็กๆ ทั้งหลาย “ตื่นแต่เช้า-กำหนดเป้าหมาย-ออกมาบดขยี้เศรษฐกิจฮ่องกงเพื่อเพิ่มแรงกดดัน” เอาเลยถึงขั้นนั้น...
ส่วน “ปารีส” หรือฝรั่งเศส...ที่พวก “เสื้อกั๊กเหลือง” เคยกรูออกมาสร้างความปั่นป่วนวุ่นวาย เพราะเรื่องการขึ้นภาษีน้ำมัน แต่แม้รัฐบาลของ “มาครง คนหนุ่ม” ที่ไม่คิดจะดูตาม้า-ตาเรือ จะตัดสินใจยกเลิกมาตรการดังกล่าวไปนานแล้วเป็นปีๆ แต่ช่วงครบรอบ 1 ปีแห่งการประท้วงของพวก “เสื้อกั๊กเหลือง” เมื่อช่วงวันอาทิตย์ (17 พ.ย.) ที่ผ่านมา ก็ยังอุตส่าห์มี “มวลชน” ที่พร้อมสวมเสื้อกั๊กออกมา “จุดไฟในนาคร” นับเป็นหมื่นๆ จะ 20,000 หรือ 40,000 ตามตัวเลขของทางการ หรือของผู้ประท้วงก็แล้วแต่ แต่ก็ส่งผลให้กรุงปารีส กลายเป็นทะเลเพลิงไปเป็นหย่อมๆ ด้วยการปาระเบิดขวด จุดไฟเผารถ ทุบอาคาร ร้านค้า ธนาคาร โรงแรม ฯลฯ พังพินาศกันไปเป็นแถบๆ แม้ว่าการร่วมประท้วงในเมืองอื่นๆ อย่างมาร์เซย์, บอร์โดซ์, ตูลูส, ลียง ฯลฯ จะไม่ถึงกับมีอะไรรุนแรง แต่ก็ถือเป็นภาพสะท้อน ว่ามันคงยังมี “เงื่อนไข” และ “เหตุปัจจัย” ที่ทำให้เกิด “ปัญหา” อย่างมิอาจปฏิเสธ...
“เลบานอน” ก็คงไม่ได้ต่างไปจากกัน...แม้ว่าการยกเลิกภาษีอินเทอร์เน็ต หรือ “WhatsApp Tax” อันเป็นเงื่อนไขเบื้องต้น จะถูกยกเลิกไปนานแล้ว แถมนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอีก 4 ราย ตัดสินใจ “ลาออก” กันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่การเรียกร้องของบรรดาผู้ประท้วง กลับยกระดับไปถึงขั้น “การปฏิวัติ” หรือการปลุกเร้า ปลุกระดม ให้เปลี่ยนระบบและระบอบการปกครอง เศรษฐกิจ การบริการ ฯลฯ เอาเลยถึงขั้นนั้น ดังนั้น...แม้ว่าบรรยากาศ “ความรุนแรง” ดูจะลดลงไปบ้าง แต่ในแง่ของ “เงื่อนไข” หรือ “ข้ออ้าง” มันคงหาทางจบได้ลำบากเต็มที...
สำหรับ “อิรัก” ที่ตายกันไปแล้วประมาณ 300 ราย นับตั้งแต่เกิดประท้วงเมื่อช่วงต้นเดือนที่แล้ว มาถึงบัดนี้...ก็ยังหาจุดลงตัวกันไม่ได้ มิหนำซ้ำยังเกิดอาการบานปลาย ปลายบาน เกิดการแพร่ “โรคติดต่อ” เข้าไปถึงประเทศเพื่อนบ้านอย่าง “อิหร่าน” จนได้ จนต้องปิดพรมแดนติดต่อระหว่าง 2 ประเทศ เมื่อเกิดการลุกฮือของลูกหลานโคมัยนี ขึ้นมาในช่วงวันเสาร์ (16 พ.ย.) ที่ผ่านมา หลังจากองค์กรผลิตและแจกจ่ายน้ำมันอิหร่าน(The National Iranian Oil Products Distribution Company-NIOPDC) ประกาศจะขึ้นราคาน้ำมัน จาก 10,000 เรอัลต่อลิตร ไปเป็น 15,000 เรอัลต่อลิตร หรือจากลิตรละ 0.13 ดอลลาร์ ไปเป็น 0.50 ดอลลาร์เท่านั้นเอง แต่ก็เล่นเอาบรรดาลูกหลานโคมัยนีและพระเจ้าชาห์ อดรนทนไม่ได้ ต้องออกมา “จุดไฟในนาคร” ในเมืองต่างๆ ไม่ว่าในกรุง Tehran, Khuzestan, Fars, Kermanshah ฯลฯ เผาอาคารไปแล้วไม่ต่ำกว่า 100 แห่ง ร้านค้าอีก 57 แห่ง โดยเฉพาะที่เมือง Kermanshah ที่ติดกับพรมแดนอิรักถึงกับบุกสถานีตำรวจ ฆ่าตำรวจตายไป 1 ราย จนต้องปิดพรมแดนเพื่อกักกัน “โรคติดต่อ” หรือเพื่ออะไรก็แล้วแต่...
ส่วนที่หนักยิ่งไปกว่านั้น...เห็นจะเป็นสวนหลังบ้านของอเมริกา อย่างประเทศ “โบลิเวีย” ที่ผู้นำรัสเซีย ประธานาธิบดี “วลาดิมีร์ ปูติน” ท่านเพิ่งออกมาเตือนว่า ใกล้จะคล้ายๆ กับ “ลิเบีย” เข้าไปทุกที แม้ว่าการอาศัย “มวลชน” เป็นเครื่องมือ จะสามารถนำไปสู่ “การรัฐประหารแบบสมบูรณ์แบบ” สามารถเล่นงานผู้นำประเทศที่ครองอำนาจมานานถึง 14 ปี อย่างประธานาธิบดี “อีโว โมราเลส” จนต้องเผ่นออกไปตั้งหลักนอกประเทศถึงเม็กซิโกโน่นเลย จะสำเร็จเสร็จสิ้นชนิด “เรียบโร้ยย์ย์ย์โรงเรียนอเมริกา” ไปแล้วก็ตาม แต่บรรดาคนยาก คนจน หรือบรรดาชาวพื้นเมืองโบลิเวีย ที่ยังรัก ปักใจ ต่อแนวทางสังคมนิยมและประชานิยมของ “อีโว โมราเลส” ก็กลับก่อการลุกฮือขึ้นมาในเมือง Cochabamba ฐานที่มั่นเดิมของอดีตผู้นำโบลิเวีย เมื่อช่วงวันศุกร์ (15 พ.ย.) ที่ผ่านมา ส่งผลให้ประธานาธิบดีชั่วคราว หรือผู้สถาปนาตัวเองขึ้นเป็นประธานาธิบดี โดยการสนับสนุนและรับรองของอเมริกา อย่าง “นางJeanine Anez Chavez” เลยต้องสั่งให้กำลังทหาร ตำรวจ ที่ร่วมก่อการรัฐประหารรัฐบาล “โมลาเรส” ออกไปไล่ทุบไล่ถีบ ไล่กระทืบ บรรดาผู้ประท้วงตายไปแล้ว 9 ราย บาดเจ็บอีกไม่น้อยกว่า 115 ราย แถมยังมีแนวโน้มว่าอาจนำไปสู่การปะทะระหว่าง “มวลชนต่อมวลชน” หรือระหว่างคนยาก คนจน ที่สนับสนุน “โมลาเรส” กับคนรวยและคนชั้นกลางที่สนับสนุนเศรษฐกิจเสรีตามแบบฉบับอเมริกา อีกไม่ช้า-ไม่นานนับจากนี้ ชนิดเล่นเอาหน่วยงานสิทธิมนุษยชนขององค์การสหประชาชาติ ต้องออกมาเตือนเอาไว้ล่วงหน้า ว่าสถานการณ์ความรุนแรงและการละเมิดสิทธิมนุษยชนในโบลิเวีย อาจลุกลามบานปลายไปถึงขั้น “ควบคุมไม่ได้” เอาเลยก็ไม่แน่หรืออาจกลายสภาพเป็น “น้องๆ ลิเบีย” อย่างที่ผู้นำรัสเซีย ว่าไว้แล้วนั่นเอง...
สรุปรวมความแล้ว...ต้องถือเป็นอะไรที่คงต้องเฝ้าติดตามกันต่อไปเป็นระยะๆ ไม่ว่าในแง่สาเหตุ เงื่อนไข ไปจนถึงกระบวนการคลี่คลายของแต่ละประเทศ ว่าจะนำไปสู่อะไร หรือนำมาใช้เป็นอุทาหรณ์สอนใจใดๆ ได้บ้าง เพราะภายใต้ฉากสถานการณ์ประมาณ 3 ประการด้วยกัน ที่มันไหลเข้ามาบรรจบกันโดยมิได้นัดหมาย ไม่ว่า 1. ภาวะความเสื่อมโทรม ตกต่ำทางเศรษฐกิจในระดับทั่วทั้งโลก 2. ปัญหา “กับดักรายได้” ที่อุบัติขึ้นมาในหมู่ชนชั้นกลาง ไปจนถึงชนชั้นล่าง อันเป็นตัวตอกย้ำให้เห็นถึงสภาวะ “ความเหลื่อมล้ำ” ที่ชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ และ 3. การแทรกแซงจากต่างประเทศ ที่หันมาอาศัย “มวลชน” ภายในประเทศนั้นๆ เป็นเครื่องมือ แทนที่จะอาศัยการรุกรานอย่างเปิดเผย ทั้ง 3 ประการที่ว่านี้นี่แหละ...ที่บรรดาประเทศต่างๆ พึงต้องระมัดระวังเอาไว้ให้ดี เพราะมันสามารถนำไปสู่การ “จุดไฟในนาคร” ขึ้นมาในประเทศตัวเองเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ แม้แต่ประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา ก็เถอะ!!! ใช่ว่าจะอยู่รอดปลอดภัย หรือ “อยู่-เย็น-เป็น-สุข” ไปได้โดยตลอด แม้บรรดาพวกเด็กๆ ประเภท “อยู่-ไม่-เป็น” ทั้งหลาย เขายังไม่ถึงกับ “ดุ” มากมายสักเท่าไหร่ ยังออกไปทาง “ดรามา” หรือออกไปทาง “หัวใจของเราถูกโบยตีด้วยความอยุติธรรม” หรือ “ด้วยวี-ลัค มีเดีย” อะไรก็แล้วแต่ แต่ยังไงๆ...ก็น่าจะระวังๆ เอาไว้มั่ง โดยเฉพาะการหยิบเอาปมประเด็นในเรื่องเศรษฐกิจ มาทำให้เป็น “ปัญหา” โดยไม่ได้คิดหน้า-คิดหลัง เอาไว้ก่อนล่วงหน้า...