xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

เช็กอาการ “เรือเหล็กลุงตู่” ร้าวกันลึกๆ หรือแค่ร้าวเล็กๆ “ปชป.-ภท.”เอาจริง หรือแค่ดึงราคา

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เกิดอาการ “เครื่องสะดุด” เหมือนกัน ตามธรรมชาติ “รัฐบาลผสม”

รัฐนาวา “เรือเหล็ก” ของ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่มีรายการ “ขบเหลี่ยม” ภายในพรรคร่วมรัฐบาล ให้ “กองแช่ง” ได้มีลุ้นเล็กๆ หลังจากหวังอะไรไม่ได้กับพรรคร่วมฝ่ายค้านที่ยังทำงานไม่เข้าเป้า

แต่เป็น “ปัจจัยภายใน” เองที่ทำให้ได้เสียว ทั้งจากกรณีญัตติตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาหลักเกณฑ์และวิธีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 (กมธ.ศึกษาแก้ไขรัฐธรรมนูญ) ที่จ่ออยู่ในวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่ยังไม่ทันไร “ค่ายสะตอ” พรรคประชาธิปัตย์ ก็ “ชิงเหลี่ยม” โยนชื่อ “เดอะมาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตหัวหน้าพรรค คั่วเก้าอี้ประธาน กมธ.ชุดดังกล่าว

ทำให้แกนนำรัฐบาลอย่าง “ค่ายลุงตู่” พรรคพลังประชารัฐ ต้องออกมาเบรกเพื่อนร่วมรัฐบาลจนล้อปัด

มาถึงกรณีที่ “ค่ายเซราะกราว” พรรคภูมิใจไทย “ชักธงรบ” กับ “สื่อดังค่ายบางนา” ที่ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค ออกมากระแทกเสียงดังๆไปถึง “มือที่มองไม่เห็น” ว่ารู้ตัวแล้วว่า เห็นทั้งหน้า ทั้งมือ ทั้งหัว ของคนที่อยู่เบื้องหลังขบวนการดิสเครดิตรัฐมนตรีพรรคภูมิใจไทย โดยเฉพาะการพุ่งเป้าไปที่ “เสี่ยโอ๋” ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ซึ่งอยู่ในลิสต์ต้นๆที่จะถูก “ซักฟอก” ในการยื่นญัตติขออภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจที่ฝ่ายค้านล็อกคิวไว้ช่วงกลางเดือน ธ.ค.นี้

แม้ “เสี่ยหนู” จะไม่เฉลยว่า “มือที่มองไม่เห็น” คือใคร แต่จับคำพูดแล้วก็พอถอดรหัสได้ว่า ไม่ใกล้ไม่ไกลเป็น “คนในรัฐบาล” ด้วยกัน

รอยร้าวของรัฐบาล อาจรวมไปถึง “ซีนเล็กๆ” ในงานฉลองวันคล้ายวันเกิดครบรอบ 76 ปีของ “เสี่ยชัช เตาปูน” ชัชวาล คงอุดม หัวหน้าพรรคพลังท้องถิ่นไท ที่มีการสถาปนา “กลุ่มนักชน” ของ “5 พรรค (เล็ก) ร่วมรัฐบาล” ที่ไปร่วมตัวกันวันนั้น พร้อมประกาศว่า 8 ส.ส.ในกลุ่มจะทำงานในเชิง “ฝ่ายค้านอิสระ” โหวตสวนมติรัฐบาลทุกเมื่อหากเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง แต่เรื่องที่เป็นประโยชน์ก็พร้อมสนับสนุน

แต่ไม่ทันไรสมาชิก “กลุ่มนักชน” ก็ทยอยถอนตัวจนเหลือเพียงหยิบมือเท่านั้น

อย่างไรก็ดี ทั้งหลายทั้งปวง ก็กลายเป็นปมร้าวภายในพรรคร่วมรัฐบาล ที่น่ากลัวจะทำให้ “เรือเหล็กลุงตู่” แล่นไม่ฉลุยอย่างที่คิด

  “ค่ายสะตอ” เอาจริง แต่ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร
อันที่จริงความสัมพันธ์ระหว่าง พรรคประชาธิปัตย์ กับ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หรือที่มาในรูปพรรคพลังประชารัฐ นั้นถือเป็น “น้ำกับน้ำมัน” กันมาตลอด โดยเฉพาะในช่วงการหาเสียงเลือกตั้ง ที่ขณะนั้น “อภิสิทธิ์” ยังเป็นหัวหน้าค่ายสีฟ้าอยู่ และมีจุดยืนไม่รับรัฐธรรมนูญ 2560 และไม่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจของ คสช.

แล้วยังมีช็อตชี้เป็นชี้ตายอย่างการประกาศแบบ “ชัดๆ เลยนะครับ ผมจะไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ต่อแน่นอน” อีกด้วย

อีกทั้งในระหว่างการเจรจาร่วมรัฐบาล “ค่ายสะตอ” ที่หมดรูปจากผลการเลือกตั้ง กลับมาไล่ขี่พรรคพลังประชารัฐ จนต้องมีการเจรจากันหลายตลบ แบบที่ “พรรคลุงตู่” ต้องยอมแล้วยอมอีก ตั้งเก้าอี้ประธานสภาผู้แทนราษฎรที่ประเคนให้ ชวน หลีกภัย อย่างเสียไม่ได้ แม้จะผิดธรรมเนียมทางการเมือง หรือ “กระทรวงเกรดเอ” ทั้งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รวมทั้งกระทรวงพาณิชย์ ที่ “แกนนำพลังประชารัฐ” จับจองอยู่ก็ต้องสละให้กับพรรคประชาธิปัตย์เช่นกัน

แม้จำต้อง “กลืนเลือด” ไปหลายอึก แต่หลังตั้งรัฐบาลแล้ว ก็ดู 2 พรรคปรับจูนอารมณ์ประคองกันไปได้ด้วยดี

แต่ด้วยความที่ “ค่ายสีฟ้า” ยังมีเป้าหมายสำคัญในการ “ฟื้นศรัทธา” คืนมา หลังจากตกต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์จากผลการเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562 ทั้งการสูญเสียฐานที่มั่นในภาคใต้หลายต่อหลายแห่ง กระทั่งเขต 1 จ.ตรัง ของ “นายหัวชวน” ก็ยังรักษาไม่ได้ หรือเสียหายที่สุดกับการสูญพันธุ์ใน “เมืองหลวง” ทั้งที่มีฐานะเป็น “แชมป์เก่า”

ทุกจังหวะย่างก้าวของพรรคประชาธิปัตย์ จึงมี “ปัจจัยทางการเมือง” เข้ามาร่วมตัดสินใจ หมุดหมายก็เพื่อหาทาง “กู้ศรัทธา” คืนมาให้ได้

ขณะที่ “อดีตนายกฯมาร์ค” ที่แสดงสปิริตลาออกจาก ส.ส. ก็ไม่ได้คิดจะหันหลังจำเป็นต้องหาทาง “ยูเทิร์น” กลับเข้าลู่เลนทางการเมืองด้วยเช่นกัน

ประจวบเหมาะกับวาระสำคัญทางการเมือง ที่ทางฝ่ายค้านเร่งจังหวะให้มีการปูพรมเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 โดยชง “ญัตติด่วน” พิจารณาแต่งตั้ง กมธ.ศึกษาแก้ไขรัฐธรรมนูญ เข้าสู่วาระการประชุมของสภาผู้แทนราษฎร แม้จะยังไม่มีการประชุมใดๆ แต่ตามกระแสแล้วคงไม่พ้นต้องตั้ง กมธ.ดังกล่าวขึ้น เพราะรัฐบาลเองก็บรรจุเรื่องอยู่ในนโยบายรัฐบาลเช่นกัน

อีกทั้งยังกะเกณฑ์กันเรียบร้อยว่า กมธ.ศึกษาแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะมีทั้งหมด 49 ชีวิต แบ่งเป็นส่วนของรัฐบาล 12 คน พรรคร่วมรัฐบาล 18 คน และฝ่ายค้าน 19 คน

ไม่ทันไร พรรคประชาธิปัตย์ ผู้แก่กล้าเชิงการเมืองกว่าใครในสยามประเทศ ก็ส่ง “เสี่ยคึก” เทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช ผู้เคยทำหน้าที่โฆษกประจำตัว “อภิสิทธิ์” มาก่อน ออกมาโยนชื่อ “เดอะมาร์ค” ให้เป็นประธาน กมธ.ศึกษาแก้ไขรัฐธรรมนูญ พร้อมทั้งใช้ “มติพรรค” เพิ่มน้ำหนักเข้าไปอีกแรง

โดยโฆษณาว่า “อภิสิทธิ์” มีความเหมาะสมทั้งเรื่องวัยวุฒิ-คุณวุฒิ โดดเด่นในฐานะ “คนนอก -คนกลาง” ที่ไม่ถือเป็นคนของรัฐบาล และมีมุมมองไม่เห็นด้วยกับรัฐธรรมนูญ 2560 เฉกเช่นพรรคร่วมฝ่ายค้าน

ถือว่าชูจุดขายได้ดี จนตัวแทนพรรคร่วมฝ่ายค้านหลายคนก็เห็นดีเห็นชอบกับชื่อ “อภิสิทธิ์” คู่รักคู่แค้นไปด้วย อีกทั้งยังได้ที “เสี้ยม” ให้เกิดความหวาดระแวงในพรรคร่วมรัฐบาลไปในตัว

กลับกันในฐานะแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล “ซุ้มพลังประชารัฐ” ยอมรับไม่ได้ กับการให้ “คนอื่น” มาเป็นหัวโต๊ะ กมธ.ชุดสำคัญ แล้วยังจับได้ไล่ทันว่า “ซุ้มประชาธิปัตย์” คิดเช่นไร อย่าลืมว่าที่พรรคพลังประชารัฐได้เป็นแกนนำตั้งรัฐบาล ที่อาจจะหืดจับไปบ้าง แต่อานิสงค์ก็มาจากความตกต่ำของพรรคประชาธิปัตย์นั่นเอง

หากปล่อยให้ “ค่ายสะตอ” เดินตามเกม ก็ไม่ต่างจาก “ปล่อยเสือเข้าป่า” ด้วยรู้ดีว่า พรรคประชาธิปัตย์ จะใช้เวทีแก้ไขรัฐธรรมนูญในการกู้ชื่อกลับมา คู่ขนานไปกับการถล่มคนเขียนรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ย่อมต้องกระทบชิ่งมาโดน “นายกฯประยุทธ์” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เป็นเหตุให้ พรรคพลังประชารัฐ จำต้องหา “คู่เทียบ” เพื่อมาเบียด “อภิสิทธิ์” ให้ตกลู่ หวยไปออกที่ “เฮียตี๋” สุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ที่ถือดีกรี ส.ส. 9 สมัย เทียบเท่า “อภิสิทธิ์” แต่ที่เหลื่อมอยู่นิดๆก็ด้วยมีสถานะเป็น “ผู้แทนราษฎร” ในฐานะ ส.ส.เขต 3 จ.ฉะเชิงเทรา ในขณะนี้ด้วย

เมื่อจับท่าทีก็ดูเหมือนว่า “สุชาติ” จะไม่เล่นด้วยเท่าที่ควร ทั้งในแง่ของผู้เป็นประธานหรือรองประธานสภาฯ มาเป็นประธาน กมธ.ของสภาฯ ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน และยังรู้ดีหากโดดลงไปเล่นตามแรงยุ ย่อมต้องเจอ “งานหยาบ” แน่นอนในการรับมือกับพรรคร่วมฝ่ายค้าน

แต่ที่ “สุชาติ” ต้องยอมแบ่งรับแบ่งสู้ ก็เพื่อค้ำสถานการณ์ไปพลาง เพื่อให้รัฐบาลสามารถหาผู้ที่มีความเหมาะสมมาเป็น “คู่เทียบ” กับระดับอดีตนายกฯ อย่าง “อภิสิทธิ์” ให้ได้เสียก่อน

เมื่อญัตติตั้ง กมธ.ศึกษาแก้ไขรัฐธรรมนูญ ถูกประวิงออกไป ความไม่ลงรอยกับของ 2 พรรค ก็ยิ่งเด่นชัดมากขึ้น จากทั้งกรณีของ สิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ กับ “เทพไท” ของค่ายประชาธิปัตย์ ที่ตอบโต้กันผ่านหน้าสื่อเลยเถิดไปเปรียบกันแรงๆ “ไม่เล่นกับหมา หมาเลียปาก” ทำให้ “สิระ” ขู่ที่จะแจ้งความว่าฝ่ายหลังหมิ่นประมาท

ไม่เพียงเท่านั้นยังมี “ความไม่ปกติ” เกิดขึ้นในระหว่างที่ “บิ๊กตู่” นำคณะไปลงพื้นที่และประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) ที่ จ.ราชบุรี และ จ.กาญจนบุรี ปรากฏว่า ที่ “เวทีใหญ่” จ.กาญจนบุรี รัฐมนตรีจากพรรคประชาธิปัตย์ที่มีอยู่ถึง 7 หน่อ กลับไม่โผล่ไปร่วมเวทีกับ “นายกฯประยุทธ์” แม้แต่รายเดียว จนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า น่าจะมาจากความเห็นที่ไม่ลงตัวในเรื่องประธาน กมธ.ศึกษาแก้ไขรัฐธรรมนูญ

ทว่าเมื่อพิเคราะห์ลงลึกไป ก็เชื่อว่าแม้ พรรคประชาธิปัตย์ จะพลาดหวังจากการเสนอชื่อ “อภิสิทธิ์” จริง ก็คงไม่ถึงกับ “ชักใบให้เรือเสีย” ก่อหวอดให้แตกหักกันจริงจัง ที่ไม่ต่างจาก “ทุบหม้อข้าว” ตัวเอง เพราะหากแตกหักจนรัฐบาลไปไม่ได้ขึ้นมา คำถามมีว่า “อะไรจะเกิดขึ้น”

ที่สำคัญลึกๆแล้วก็เชื่อว่า “อู๊ดด้าจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรค ที่กำลังเอนจอยกับการทำงานที่ “อาณาจักรสนามบินน้ำ” กระทรวงพาณิชย์ อย่างมาก คงยังไม่อยากให้ “พี่มาร์ค” หาทาง “ยูเทิร์น” ได้เร็วนัก เพราะย่อมส่งผลถึงเสถียรภาพของเก้าอี้หัวหน้าพรรคของตัวเองเช่นกัน

กระทั่ง “เทพไท” ที่เชื่อว่ารับใบสั่งออกมาชงชื่ออดีตลูกพี่อย่าง “อภิสิทธิ์” ก็คงไม่อยากให้กรณีนี้เป็น “น้ำผึ้งหยดเดียว” กระเทือนความเป็นไปของรัฐบาลเช่นกัน จึงมีภาพปรับความเข้าใจกับ “สิระ ณ สามมิตร” โดยมี สมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม เป็นกาวใจ ไปเป็นที่เรียบร้อย

ท้ายที่สุดฟันธงล่วงหน้าได้เลยว่า ไม่ว่าอย่างไรประธาน กมธ.ศึกษาแก้ไขรัฐธรรมนูญ ต้องเป็นคนที่ พรรคพลังประชารัฐ เป็นผู้กำหนดอย่างแน่นอน

ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ ถึงจะ “เอาจริง” แต่ “ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร” ค่อยรอจังหวะเหมาะๆต่อไปดีกว่า

  ภท.แทงหวย “ลูงตู่อยู่ยาว” ไม่โง่บู๊แหลกจนแตกหัก
ที่ร้อนแรงกว่าน่าจะเป็นกรณีของ “ค่ายเซราะกราว” พรรคภูมิใจไทย ที่ประกาศ “ชักธงรบ” กับ “เครือเนชั่น” สื่อดังย่านบางนา หลัง “เสี่ยโอ๋-ศักดิ์สยาม” เลขาธิการพรรค ในฐานะ รมว.คมนาคม ถูกพาดพิงผ่านรายการทีวีของเครือเนชั่นอย่างหนักหน่วง โดยมีการสั่งการให้ ส.ส.ภูมิใจไทย แยกย้ายไปแจ้งความดำเนินคดีกับ “3 ผู้ดำเนินรายการ” ทั่วประเทศ

ฐานให้ข้อมูลไม่ตรงกับข้อเท็จจริง สร้างความเสียหายให้แก่ “ศักดิ์สยาม” และพรรคภูมิใจไทย เข้าข่ายทั้งความผิดเกี่ยวกับ พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ และการหมิ่นประมาท

ทาง “เครือเนชั่น” เองก็หาได้ “ลดราวาศอก” สวนกลับทันที โดยใช้หน้าแฟนเพจรายการเนชั่นสุดสัปดาห์ประชาสัมพันธ์ ขอให้ประชาชน ข้าราชการทั่วประเทศที่พบเห็นพฤติกรรมของ “ผู้แทนพรรคภูมิใจไทย” เข้าข่ายแทรกแซงหรือสั่งการโดยไม่ชอบ ให้ร้องเรียนมายังรายการโดยตรง

โดยเน้นเฉพาะ “ผู้แทนพรรคภูมิใจไทย” เรียกว่าเปิดหน้าชนกันจังๆ

ก่อนที่ “เสี่ยหนู-อนุทิน” ในฐานะหัวหน้าค่ายเซราะกราว จะออกมาเปิดประเด็น “มือที่มองไม่เห็น” ให้ใครต่อใครจินตนาการไปว่าเป็น “บิ๊กรัฐบาล” อีกระลอก

“ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับนายศักดิ์สยามก็ต้องเอาผมออกไปด้วย เรามาด้วยกันก็ต้องไปด้วยกัน” คือคำประกาศของ “อนุทิน” ที่คล้ายกับส่งสัญญาณ “พร้อมตีจาก” รัฐบาลหากถูกกระทำไม่เลิก

ที่มาที่ไปความเกรี้ยวกราดรุนแรงของ “ค่ายเซราะกราว” ครั้งนี้ ก็เพราะมองว่า “เครือเนชั่น” ถือเป็นสื่อที่ค่อนข้างมีสัมพันธ์อันดีกับ “รัฐบาลประยุทธ์” ตั้งแต่สมัย คสช. จนมาถึงรัฐบาลเลือกตั้ง ทั้งยังมีส่วนสำคัญกับความสำเร็จในการเลือกตั้งของพรรคพลังประชารัฐอีกด้วย

สะท้อนให้เห็นเส้นสายคอนเนกชั่นที่พาดผ่านกันอยู่ระหว่าง “รัฐบาลลุง” กับ “เครือเนชั่น” ที่ค่อนข้างแจ่มชัดอยู่

เมื่อ “ศักดิ์สยาม” และ “ผู้แทนภูมิใจไทย” ตกเป็นเป้าของสื่อค่ายดังกล่าว ก็หลีกเลี่ยงไม่พ้นที่จะคิดว่า “มือที่มองไม่เห็น” นั้นอยู่ใน “รัฐบาลพลังประชารัฐ” ด้วยกันนั่นเอง

และแทบไม่ต้องถอดรหัสกับการลุกขึ้นหารือในที่ประชุมสภาฯของ “เดอะบัง” ศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย ที่หารือในหัวข้อ “การเมืองแทรกแซงสื่อ” หรือ “สื่อแทรกแซงการเมือง” ระบุถึงข่าวที่ว่า ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จํากัด (มหาชน) หรือ “เครือเนชั่น” แถลงข่าวว่า มี กลุ่มการเมืองแทรกแซงการประชุมผู้ถือหุ้นใหญ่ โดยได้ข่มขู่กลุ่มผู้ถือหุ้นบางกลุ่มในการคัดค้านการเพิ่มทุนที่เป็นวาระสำคัญในการประชุมที่จะมีขึ้น จนต้องประกาศเลื่อนการประชุมออกไป

พร้อมชงให้ “ประธาสภาฯ” ทำหนังสือสอบถามไปว่า “ฝ่ายการเมือง” ที่ถูกกล่าวอ้างถึงคือใคร เพราะการอ้างลอยๆ ทำให้ “นักการเมือง” เสียหาย

และชั่วข้ามวัน “เดอะบัง” ก็ “ของขึ้น” อีกครั้ง จนต้องออกมาโวยวายรายการของเครือเนชั่นที่มีการนำเสนอข่าว คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดกรณีสินบนก่อสร้างโรงไฟฟ้าขนอม จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งมี “ผู้บริหาร” ของ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ “ซิโน-ไทยฯ” รวมอยู่ด้วย แต่กลับมีการนำภาพของ “อนุทิน” ไปขึ้นประกอบ ถือเป็นการบิดเบือน ทำให้เกิดความเสียหาย

ทำท่าจะศึก 2 ค่ายที่อิงอยู่กับฝ่ายรัฐบาลด้วยกันจะ “บานไม่หุบ” จนน่าหวาดหวั่นว่าจะกระทบความสัมพันธ์ภายในรัฐบาลให้เกิดรอยร้าวขึ้นได้

ถือว่าเป็นความขัดแย้งที่น่าจะส่งผลกระทบมากกว่ากรณีของพรรคประชาธิปัตย์ด้วยซ้ำ จนน่าจะถึงเวลาที่ “บิ๊กรัฐบาล” จะลงมาหย่าศึกให้จบโดยเร็ว

เพราะการที่ “สื่อ” ปูพรมถล่ม “พรรคร่วมรัฐบาล” นั้นย่อมไม่เป็นผลดีกับองค์รวมของรัฐบาล ยิ่งเท่ากับเปิดแผลให้ “ฝ่ายตรงข้าม” อีกต่างหาก

เอาเข้าจริง “ข้อกล่าวหา” ที่ “ศักดิ์สยาม” ถูกถล่มอยู่นั้น ทางพรรคฝ่ายค้านที่ฮึ่มจะยื่นขอซักฟอก รมว.คมนาคม ยังไม่มีข้อมูลอยู่ในมือด้วยซ้ำไป เมื่อถูกนำมาโพนทะนาออกสื่อ ก็ง่ายที่ฝ่ายค้านจะ “ลอกข้อสอบ” เพื่อนำไปใช้ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ

สำคัญที่มันไม่ได้จะซวยแค่ “ศักดิ์สยาม” หรือ “ค่ายภูมิใจไทย” เท่านั้น ยังอาจมีลูกหลงไปถูก “ผู้นำรัฐบาล” โทษฐาน “ปล่อยปละละเลย” อีกด้วย

แม้จะเล่นกันแรง-เล่นกันไม่เลิกก็จริง แต่ในระหว่างบรรทัดของ “คนภูมิใจไทย” ฝ่ายที่เสียหายก็พร้อมที่จะจบ เพื่อไม่ให้กระเทือนเสถียรภาพของรัฐบาล

จับได้จาก “ระหว่างบรรทัด” ของ “เดอะบัง - ศุภชัย” ที่ว่า “เรื่องเล็กๆ ไม่เป็นอะไร ขอกันกินมากกว่านี้”

หรือของ “หมอหนู” ที่พูดไว้น่าคิดว่า “ผมคิดว่าเรื่องของเรื่องเกิดจากทิฐิกันมากกว่า ผู้ดำเนินรายการทั้ง 3 คน เรารู้จักกันหมด และรักกันด้วย แต่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมามีการออกรายการ ผมคิดว่าแรงเกินไป และออกมาจัดหนักนายศักดิ์สยาม ซึ่งข้อมูลหลายข้อมูลจากความสัมพันธ์ที่มีกัน ผมสามารถอธิบายให้เขาได้เข้าใจได้”

“ขอกันกินมากกว่านี้-สามารถอธิบายให้เขาได้เข้าใจได้” น่าจะเป็น “คีย์เวิร์ด” สำคัญ ที่แสดงให้เห็นถึง “ความใจกว้าง” สไตล์ “นักเลงภูธร” ของ “ค่ายเซาะกราว”

ขึ้นอยู่กับว่า “ฝ่ายสื่อ” จะ “ลดธง” ลงเมื่อใดเท่านั้น

เพราะใช่ว่าผลกระทบที่เกิดขึ้น พรรคภูมิใจไทย จะเสียหายฝ่ายเดียว “เครือเนชั่น” เองก็จำเป็นต้องเลื่อนประชุมเพิ่มทุน เพราะ “ขาใหญ่” ไม่ปลื้มกับท่าทีของเครือฯ ที่ไปโจมตีกระทบไปถึงพันธมิตรร่วมธุรกิจ

ขณะที่ “พลังประชารัฐ-ภูมิใจไทย” ก็ถือว่าได้ร่วมหัวจมท้ายมาด้วยกันมา การโผมาร่วมรัฐบาลก็ทำเอา “เสี่ยหนู” ที่ปอปปูลาร์ในโลกออนไลน์ไม่น้อยหน้านักการเมืองคนอื่น ถูก “แซะ” มาอย่างต่อเนื่องเหมือนกัน และจริงๆ “ภูมิใจไทย” เป็น “เด็กดี” ในสายตาของ “บิ๊กรัฐบาล” มากกว่า “ประชาธิปัตย์” ด้วยซ้ำ

ช่วงตั้งรัฐบาล 2 พรรคก็เคยกระแทกกันแรงๆ กันมาหนแล้ว เมื่อครั้งที่ช่วงชิงเก้าอี้ รมว.คมนาคม ที่สุด “จบแล้ว จบกัน” ไม่มีอะไรติดใจ

เรื่องนี้น่าจะจบไม่ยาก เหตุผลก็คงไม่ต่างจากกรณีของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ต้องไม่ลืมว่า “ค่ายบุรีรัมย์” ได้ตามที่ร้องขอทุกอย่าง ทั้งกระทรวงคมนาคม-กระทรวงสาธารณสุข-กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา เรียกว่าเข้าล็อกซะยิ่งกว่าพรรคประชาธิปัตย์ หรือพรรคพลังประชารัฐเสียอีก

ยิ่งแทงหวย “ลูงตู่อยู่ยาว” ด้วยแล้ว ครั้นจะบู๊แหลกให้แตกหักกันไปข้าง ก็คงไม่เข้าทีเช่นกัน

  “กลุ่มนักชน” หรือจะสู้ “กองทัพงูเห่า”
อย่างที่เกริ่นไปข้างต้นในจังหวะที่ “พรรคใหญ่” ในรัฐบาลซัดกันนัวเนียไปหมด “พรรคเล็ก” ก็ถือโอกาสชิงพื้นที่สื่อประกาศศักดาผ่านงานฉลองวันคล้ายวันเกิดครบรอบ 76 ปีของ “เสี่ยชัช เตาปูน” หัวหน้าพรรคพลังท้องถิ่นไท ที่มีการสถาปนา “กลุ่มนักชน” ของ “5 พรรค (เล็ก) ร่วมรัฐบาล” ที่ไปร่วมตัวกันวันนั้น พร้อมประกาศว่า 8 ส.ส.ในกลุ่มจะทำงานในเชิง “ฝ่ายค้านอิสระ” โหวตสวนมติรัฐบาลทุกเมื่อหากเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง แต่เรื่องที่เป็นประโยชน์ก็พร้อมสนับสนุน

เป็นย่างก้าวที่ “ไม่ใหม่” และต้นคิดคงไม่พ้นคู่หูต่างวัย พิเชษฐ สถิรชวาล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาธรรมไทย และ “เสี่ยเต้” มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์

ที่ก่อนหน้านี้เคยประกาศตั้ง “ฝ่ายค้านอิสระ” โดย “เสี่ยเต้” ตั้งตัวเองเป็นผู้นำฝ่ายค้านอิสระในสภาฯ และให้ “ป๋าพิเชษฐ” เป็นประธานที่ปรึกษาฝ่ายค้านอิสระ

และเหมือนจะเหงาเล่นกันอยู่ 2 คน คราววันเกิด “เสี่ยเต้” ก็เคยชวนพรรคอื่นในรัฐบาลไปร่วมงานสังสรรค์วันคล้ายวันเกิดครบรอบ 38 ปี ทั้ง “เสี่ยชัช” หัวหน้าพรรคพลังท้องถิ่นไท เจ้าของ 3 ที่นั่งในสภาฯ และ “เดอะเอี้ยง” ดำรงค์ พิเดช หัวหน้าพรรครักษ์ผืนป่าประเทศไทย เจ้าของ 2 ที่นั่งในสภาฯ รวมทั้ง “ป๋าพิเชษฐ”

และประกาศผนึกกำลังเป็นฝ่ายค้านอิสระที่มี 7 เสียงมารอบแล้ว

สำหรับงานเลี้ยงวันเกิด “ป๋าชัช” ได้แนวร่วมมาเพิ่ม อย่าง ปรีดา บุญเพลิง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคครูไทย รวมเป็น 8 เสียงและประกาศตั้ง “กลุ่มนักชน” ขึ้นมา พร้อมโวลั่นว่าจะเป็นตัวแปรที่ชี้เป็นชี้ตายรัฐบาลในการอภิปรายไม่ไว้วางใจเสียด้วย

ชั่วข้ามวัน “ครูปรีดา” ก็ประกาศไม่รู้เห็นกับ “กลุ่มนักชน” ใดๆยังคงสนับสนุนรัฐบาลอยู่เหมือนเดิม เช่นเดียวกับ “หมอระวี” นพ.ระวี มาศฉมาดล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคพลังธรรมใหม่ ที่ไปร่วมงานด้วยก็ปฏิเสธการมีส่วนร่วมเช่นกัน

กลายเป็น “ตลกโอละพ่อ” อีกครั้งของ “เสี่ยเต้-มงคลกิตติ์” ที่นับวันบทบาทชัก “เข้ารกเข้าพง” หลังจากที่สร้างชื่อผ่านการอภิปรายที่ฉะฉานได้สาระเป็นที่ยอมรับได้ช่วงสั้นๆ ก่อนมา “รู้เท่าไม่ถึงการณ์” หอบสารตั้งต้นระเบิดเข้าสภาฯ เพื่อทดสอบเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิดของสภาฯ รวมทั้งกรณี “พระปลอม” ในการแจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช. ที่อาจนำไปสู่การถูกชี้มูลว่า “แจ้งเท็จ” ได้

ขณะที่ “ป๋าพิเชษฐ” ก็ยังติดหล่มชี้แจง “เส้นทางการเงิน” ภายหลังการเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562 ไม่นาน ที่เงินจำนวน 1 ล้านบาทจากบัญชีของเขาไปโผล่อยู่ในบัญชีของ “ผู้แทนฯ 3 วัน” พีระวิทย์ เรืองลือดลภาค หัวหน้าพรรคไทรักธรรม และอดีต ส.ส.ที่ถูกริบเก้าอี้หลังเป็น ส.ส.ได้แค่ 3 วันจากผลพวงของการคำนวณคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ใหม่ หลังเลือกตั้งซ่อมที่เขต 8 จ.เชียงใหม่ 

โดย “พี่ศรี” ศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้เข้ายื่นคำร้องต่อ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ไว้แล้ว

เรียกว่า “เสี่ยเต้ - ป๋าพิเชษฐ” อยู่ในสภาวะ “ลูกผีลูกคน” หากถูกฟันว่ามีความผิดอาจต้อง “ตกประป๋อง” อย่างไม่คาดคิดก็เป็นได้

การรวบรวมสมัครพรรคพวกตั้งกลุ่มก๊วนก็ไม่พ้นความพยายามสร้าง “พลังต่อรอง” บางประการ หรือหากเดชะบุญรอดปลอดภัยก็ใช้ “กลุ่มนักชน” ขับเคลื่อนการเมือง แต่ก็คงไม่พ้นครหาว่าเป็น “กลุ่มนักตบ...” มากกว่า

คำถามมีว่าฝ่ายรัฐบาลให้ราคา “กลุ่มนักชน” หรือไม่

ในแง่ “รัฐบาลปริ่มน้ำ” ที่มีเสียงเกินครึ่งหนึ่งของสภาฯ เพียงเล็กน้อยย่อมต้องแคร์ หรือให้ความสำคัญ ประมาณ “ทุกเสียงมีค่า”

แต่ต้องไม่ลืมถึงเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า ฝ่ายรัฐบาลยังมีกองกำลังแฝงที่ขนานนามกันว่า “กองทัพงูเห่า” อยู่ไม่ต่ำกว่า 20-30 ชีวิต

และว่ากันอีกว่า มีการนัดหมายเปิดตัวแกรนด์โอเพนนิ่ง “กองทัพงูเห่า” ที่ตามประวัติศาสตร์การเมืองไทยถือเป็น “ภาค 3” ในช่วงการลงมติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ปลายปีนี้

เมื่อ “กองทัพงูเห่า” ออกโรงเมื่อใด “กลุ่มนักชน” ก็กลายเป็น “เด็กน้อย” ในสายตา “บิ๊กรัฐบาล” ทันที

ดีไม่ดีไม่ใช่แค่ “พรรคเล็ก” จะไร้ราคาค่างวดเท่านั้น “พรรคใหญ่ร่วมรัฐบาล” ราคาก็อาจตกฮวบ จนต่อรองอะไรไม่ได้อย่างที่ผ่านมาด้วย.


กำลังโหลดความคิดเห็น