ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - “…ผมเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า 28,000 เสียงที่นครปฐม เป็นเหล็กเนื้อดี เชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า 70 ส.ส.ของพรรคอนาคตใหม่เป็นเนื้อดี การเดินทางและสถานการณ์จะทำให้เหล็กของเรากล้าแกร่งขึ้นเรื่อยๆ … เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์คนที่จะเดินไปต่อกับพรรค ถือเป็นเหล็กเนื้อดีที่ไม่มีสนิม ต่อให้เขาซื้อพวกเราทั้งหมด แต่เขาชื่อปิยบุตร กับซื้อธนาธรไม่ได้ แม้ว่าจะเหลือแค่เราสองคน เราก็จะเดินหน้าต่อ และทำงานการเมืองเพื่อให้ได้สังคมตามที่เราฝันไว้…”
รีรันอีกครั้งกับประโยคเด็ด “เสี่ยเอก” ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่กล่าวหลังรับทราบผลการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 5 จ.นครปฐม
ประจวบกับคำพูดที่ว่า หล่นออกจากปากหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ภายหลังจากที่ ส.ส.บางส่วนของพรรคลงมติ พ.ร.ก.โอนอัตรากำลังพลและงบประมาณบางส่วนของกองทัพบก กองทัพไทย กระทรวงกลาโหม ไปเป็นของหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ และร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 “สวนมติพรรค”
สำหรับ “ติ่งส้ม” ผู้นิยมชมชอบในพรรคอนาคตใหม่ หรือ “น้องฟ้า” ที่ปลื้มปริ่ม “ธนาธร” อยู่เป็นทุน ย่อมมองว่าคำพูด “เฮียเอก” ดูห้าวหาญ ฮึกเหิม และหนักแน่น แม้จะเกิดปัญหาภายในพรรคมากมายเพียงใด ราวกับเป็นการปลุกใจให้ “แฟนคลับ” อย่าท้อถอย
แต่สำหรับ “ภายนอก” คำพูด “ธนาธร” คือ การเหยียดและดูถูกคนที่แตกต่างจากพวกตัวเอง เพราะแปลความได้ว่า สมาชิกที่กำลังมีปัญหากับพรรค หรือ ส.ส.ที่สวนมติพรรคเป็น “สนิม”
เป็นคำพูดที่ยังไม่ได้มีการตรวจสอบ “ข้อเท็จจริง” ด้วยซ้ำว่า การตัดสินใจของ ส.ส.ในพรรค หรือกระทั่งความพ่ายแพ้การเลือกตั้งซ่อมที่ จ.นครปฐม เกิดขึ้นมาจากมูลเหตุใด แต่ก็ได้สรุปตีความด้วย “ความเห็นส่วนตัว” ไปแล้ว
ไม่ใช่แค่ค่อนแคะว่า “ผู้เห็นต่าง” เป็น “สนิม” ยังยกตัวเองว่าเป็น “เหล็กเนื้อดี” ซะด้วย
ถอดรหัสลึกไปกว่านั้น “เสี่ยเอก” มั่นใจว่า มีเพียงตัวเองและ “อาจารย์ป๊อก” ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคเท่านั้นที่ซื้อไม่ได้ ที่สะท้อนอีกทางว่า “ไม่ไว้ใจ” คนอื่นๆในพรรค อาจหมายรวมถึง “สาวช่อ” พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรค ที่ไม่ได้เกียรติจากหัวหน้าพรรคเอ่ยถึงในครั้งนี้
เข้าใจดีว่า “ธนาธร” ในฐานะผู้บริหารสูงสุด หรืออีกนัยคือ “เจ้าของพรรค” ย่อมต้องการกระแทก “คำแรงๆ” เพื่อตัดไฟแต่ต้นลม ในยามที่พรรคกำลังโดนกระแสถล่มซวนซัดซวนเซ จนว่ากันว่าเป็นช่วง “ขาลง” แบบกราวรูด แต่ “คำแรงๆ” ที่ว่ากลับกลายเป็นดั่ง “น้ำมัน” ที่ราดลงกองไฟให้ลุกโชนเข้าไปใหญ่ ไม่ต่างอะไรกับการตอกลิ่มความขัดแย้งที่มีอยู่เดิม
ทำให้ “คนนอก” ยิ่งข้องใจ “คนใน” เองก็ไม่สบายใจ
เพราะเสมือนเป็น “บูมเมอแรง” ที่ย้อนกลับมาถลกตัวตนของ “เสี่ยใหญ่ไทยซัมมิท” ว่า ในขณะที่มองตัวเองสูงส่ง แล้วปรายตาลงมามองคนอื่นอย่างไร
นับตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ เสาเข็มของ “ค่ายสีส้ม” ก็สั่นคลอนมาตลอด เกิดภาวะ “เลือดไหลไม่หยุด” เมื่อสมาชิกพรรค อดีตผู้สมัคร ต่างทยอยลาออกกันเป็นแถว
เสมือนหนึ่งเริ่ม “ตาสว่าง” เลิกเห็น “กงจักร” เป็น “ดอกบัว”
เมื่อเห็นว่า “เลือดไหลไม่หยุด” แทนที่จะรีบสมานแผลหรือห้ามเลือด กลับกันผู้บริหารพรรคยังกระทำในสิ่งที่ไม่ต่างจากการขยายแผลให้เหวอะขึ้น พยายามให้คนที่ยังอยู่กับพรรคประโคมกล่าวหาว่า อดีตผู้สมัคร ส.ส. และสมาชิกพรรคเหล่านี้ไม่พอใจที่ไม่ได้ตำแหน่ง
ทั้งที่ 120 ชีวิต ที่ลาออกจากพรรคอนาคตใหม่ไป มีบางคนมีตำแหน่งเป็นผู้ช่วย ส.ส.ด้วย ยิ่งตอกย้ำให้เห็นถึงพฤติกรรมและนิสัย “เหยียด” ของผู้บริหารพรรค
“สนิม” ที่ “ธนาธร” เปรียบคนเห็นต่าง และอดีตลูกพรรค ได้กลายมาเป็นจุดเริ่มต้นของการฉายให้เห็นปัญหาต่างๆ ภายใน “อนาคตใหม่” ซึ่งเป็นดัง “สนิมเกิดแต่เนื้อในตน” มากกว่า
พร้อมมีการชำแหละให้เห็นว่า “สนิม” มันเปิดจากเนื้อในอย่างไร โดย “ดร.โจ” ชาญวิทย์ ใจสว่าง อดีตผู้สมัคร ส.ส.ชุมพร พรรคอนาคตใหม่ ออกมาลากไส้เป็นข้อๆ จนเห็นเนื้อในของพรรคอนาคตใหม่อันเป็น “สนิม”
มีการแบ่งชนชั้นภายในพรรค เป็น 3 ระดับ กลุ่มแรกคือ “ชนชั้นสูง” เป็นกลุ่มเพื่อนของ “ธนาธร-ปิยบุตร-พรรณิการ์” และ “2 ต.” คือ “ต๋อม” ชัยธวัช ตุลาธน อดีตเลขาธิการสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.) เมื่อปี 2541ซึ่งปัจจุบันเป็นรองเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ และ “ติ่ง” ศรายุทธ ใจหลัก อดีตเลขาธิการ สนนท. เมื่อปี 2543 ปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการพรรคอนาคตใหม่
กลุ่มนี้จะแยกโต๊ะรับประทานอาหาร และควบคุมอำนาจและการตัดสินใจแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในพรรค ไม่รับฟังข้อโต้แย้งใดๆ จากลูกพรรค จึงไม่แปลกที่ทั้ง “แม่ศรีนวล” ศรีนวล บุญลือ ส.ส.เชียงใหม่ และ “ทนายนู้ด” กวินนาถ ตาคีย์ ส.ส.ชลบุรี เคยระบุว่า ในการประชุมพรรคเกี่ยวกับการลงมติ พ.ร.ก.โอนย้ายกำลังพลฯนั้น ในที่ประชุมมี “มติพรรค” ว่าให้ “งดออกเสียง” แต่พอถึงเวลาจริงกลับแจ้ง ส.ส.ให้ลง “ไม่เห็นด้วย”
สะท้อนว่ามี “ผู้ถืออำนาจ” ที่เหนือกว่าที่ประชุมพรรคที่มี ส.ส. ซึ่งเป็นผู้แทนราษฎร กว่า 80 ชีวิต ซึ่งในมุมของ “ดร.โจ” คงเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจาก “แก๊ง 5 คน” อันประกอบด้วย “เอก-ป๊อก -ช่อ-ต๋อม-ติ่ง”
สิ่งที่เกิดขึ้นสวนทางกับสิ่งที่ “อนาคตใหม่” เคยประกาศก่อนการเลือกตั้งว่า ยืนยันในหลักประชาธิปไตย หนีไม่พ้นคำครหา “เผด็จการในคราบประชาธิปไตย”
กลุ่มที่ 2 คือ “ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์” ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนใกล้ชิดและสนิทสนมกับ “แกนนำพรรค” มีศักดิ์เหนือกว่า “ส.ส.แบบแบ่งเขต” เพราะทระนงตัวว่าเป็น “คนคุณภาพ” ที่แกนนำพรรคเลือกมาอยู่ในบัญชีรายชื่อ
และกลุ่มที่ 3 คือ “ส.ส.สอบตก” ซึ่งมีจำนวน 320 เขต เป็น “ชนชั้นล่างสุด” เพราะถูกมองว่า เป็นเพียง “นั่งร้าน” ไม่ได้ดึงดูดคะแนนให้กับพรรค ที่พรรคให้โอกาสลงสมัคร ส.ส.แบบแบ่งเขต เพื่อหวังเพียงเป็นทางผ่านคะแนน เนื่องจาก “อนาคตใหม่” มองว่า คะแนนที่ถล่มทลายมาจาก “กระแสพ่อฟ้า” ไม่ใช่ตัวผู้สมัคร
นอกจากนี้ “อนาคตใหม่” ไม่ได้มองอดีตผู้สมัคร ส.ส.แบบแบ่งเขตเป็น “สหายร่วมรบ” เมื่อเสร็จนาจึงฆ่าโคถึก เสร็จศึกจึงฆ่าขุนพล พร้อมตีกรอบอดีตผู้สมัคร ส.ส. ที่อยากจะลงพื้นที่ทำฐานเสียงในครั้งหน้าว่า หากใครจะลงพื้นที่ต้องขออนุญาตจากศูนย์ประสานงานของพรรคตามจังหวัดต่างๆ ซึ่งมี “ส่วนกลาง” ลงไปกำกับดูแลก่อน ถ้าไม่ได้รับไฟเขียว ทุกคนหมดสิทธิ์เอาชื่อพรรคไปอ้าง
ต่างจากตอนหาเสียงที่ “กติกา” นี้ไม่เคยมี และผู้สมัครหลายคนก็ทำหาเสียงแบบตามมีตามเกิด สำคัญที่ในจำนวนนี้มีหลุดเข้ามาเป็น ส.ส.ให้ “เสี่ยเอก” คุยเขื่องว่าประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งหนที่ผ่านมาพอสมควร
อดีตผู้สมัคร ส.ส.คือ คนที่ถูกลืม และทิ้งไว้ข้างหลัง บรรดา ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ของพรรค จะดึงกลุ่มคนชั้นสูง พนักงาน และเจ้าหน้าที่พรรคที่ไว้วางใจไปเป็นสตาฟท์ทั้ง “ผู้ช่วย-ผู้เชี่ยวชาญ-ผู้ชำนาญการ” ประจำตัว ส.ส.เท่านั้น มีเพียงพวกสอบตกไม่กี่คนที่ได้ดำรงตำแหน่งดังกล่าว
สิ่งที่ตอกย้ำว่า พรรคอนาคตใหม่ “เหยียด” และ “แบ่งชนชั้น” ได้ดีที่สุดคือ กรณี “สารวัตรเพียว” พ.ต.ต.ชวลิต เลาหอุดมพันธ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่ดูถูกบุคคลที่ลาออกจากสมาชิกพรรคว่า เป็นเพียงพวก 0.02 % ในพรรค ซึ่งพรรคมีสมาชิกจำนวนทั้งสิ้น 60,000 คน
ไม่ว่าปฏิกิริยาของพรรคจะมีออกมาอย่างไรในตอนนี้ แทบจะเป็น “ดาบสองคม” ที่ย้อนไปฟันกลับทั้งหมด และยิ่งดิ้นเท่าไหร่ ยิ่งปรากฏ “รอยร้าว” ของพรรคออกมามากเท่านั้น
สถานการณ์ของ “ค่ายสีส้ม” ที่หลายคนให้นิกเนมว่า “พรรคส้มหวาน” เริ่มไม่หวานเหมือนชื่อ แถมยังเหมือน “มวยเมาหมัด” ที่ถูกต้อนจนโงหัวไม่ขึ้น แต่ละวันหนองที่อัดแน่นข้างในยิ่งปริออกมาสู่โลกภายนอกว่า ภาพลักษณ์คนรุ่นใหม่ที่เราเห็นเป็นเพียงแค่ “เปลือก”
ด้วยอาการที่ว่า จนอาจยืนระยะไม่อยู่ ยิ่งแก้ยิ่งยุ่ง ยิ่งเถียงยิ่งเปิดแผลใหม่ ทำเอา “อาจารย์ป๊อก” ผู้ซึ่งเป็นแม่บ้านพรรคต้องรีบแตะเบรก โดยขอความร่วมมือ “ลูกพรรค” ผ่านไลน์กลุ่มของพรรคว่า งดตอบโต้ทุกกรณี ความว่า
“เพื่อนสมาชิกทุกคนครับ ผมเข้าใจดีว่า หลายคนคงไม่พอใจกับการลาออกของสมาชิกแล้วเรียกนักข่าวไปทำข่าว พร้อมแสดงความเห็นไม่ตรงกับข้อเท็จจริง พวกเราหลายคนเลยออกไปตอบโต้เพื่อปกป้องพรรค อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ มีสื่อที่จ้องจับตาถล่มพรรคอย่างต่อเนื่อง เวลามีความเห็นใด ก็จะเอาไปเล่น ไปปั่น เพื่อทำลายภาพลักษณ์พรรค ผมจึงอยากขอให้พวกเราอดทน ไม่ตอบโต้ผ่านทางโซเชียลหรือให้สัมภาษณ์ใดๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกนำไปสร้างดราม่าต่อเนื่องจนไม่จบ ผมคิดว่า การตอบของธนาธรและผมน่าจะพอสมควรแล้ว เราควรปิดเกมเรื่องนี้ได้แล้วครับ ไม่งั้นข่าวของพรรคจะมีแต่เรื่องนี้ ซึ่งจะเข้าทางของฝ่ายตรงข้ามเรา ที่อยากทำให้พรรคเรามีแต่เรื่อง”
เป็นการตอกย้ำถึงสภาพ “โงหัวไม่ขึ้น” และหวาดหวั่นว่า “สนิม” ในพรรคกำลังถูกประจานต่อสาธารณชนมากขึ้น
ไม่ใช่แค่ “สนิม” จากการรูปแบบการบริหารที่ “ไม่เป็นประชาธิปไตย” เท่านั้น แต่เริ่มทะลุทะลวงให้เห็นถึง “ไม่เป็นมวย” ของการบริหารจัดการภายในพรรคอีกด้วย
อย่างเช่นเรื่องเงินบริจาคพรรคการเมือง ที่แสดงให้เห็นถึงความไม่ชอบมาพากล ในกรณีของ “คุณช่อ” ที่พบว่า บริจาคให้พรรคอนาคตใหม่ 1 ล้านบาท เงินจำนวนนี้ถือว่า ไม่มากสำหรับการบริจาคให้พรรคการเมือง หากแต่สำหรับ “พรรณิการ์” ดูไม่ปกติ
เพราะในการแสดงบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้แจ้งว่า มีทรัพย์สิน 3,319,567.78 บาท ประกอบด้วย เงินฝาก 4 บัญชียอดรวม 91,006.87 บาท (ไม่มีเงินสด) เงินลงทุน 8 รายการ 864,000.91 บาท ยานพาหนะ รถยนต์ 2 คัน ยี่ห้อ แคมรี กับ รถตู้โตยต้า อัลพาร์ด รวม 1,400,000 บาท
ทรัพย์สินอื่น อาทิ เครื่องปรับ รวม 12 รายการ 964,500 บาท หนี้สิน เบิกเกินบัญชี 24,051 บาท หนี้สินที่มีหลักฐานเป็นหนังสือ 686,461 บาท (หนี้ผ่อนรถตู้อัลพาร์ด ทำสัญญา 24 ม.ค.2560) รวมหนี้สิน 710,512 บาท มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 2,609,055.78 บาท
ทั้งนี้ ในเอกสารประกอบบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของ “คุณช่อ” มีการแจ้งแบบแสดงภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.91) เมื่อปี 2561 โดยระบุว่า มีรายได้รวม 843,008 บาท เป็นเงินเดือน ค่าจ้าง บำนาญฯทั้งหมด หักค่าใช้จ่าย 100,000 บาท หักรายการค่าลดหย่อน 225,458 บาท คงเหลือรายได้ 517,550 บาท คำนวณภาษีจากเงินได้สุทธิจำนวน 30,132 บาท หักภาษี ณ ที่จ่าย 36,884 บาท คงเหลือภาษีชำระเกิน 6,752 บาท
สรุปคือ มีรายได้รวม 843,008 บาท และมีเงินฝากเพียง 91,006 บาท แต่ “คุณช่อ” สามารถบริจาคให้พรรคได้ถึง 1 ล้านบาท?
หากจะบอกว่า เป็นเรื่อง “อุดมการณ์” ก็อ้างได้ เพียงแต่น้ำหนักที่คนจะเชื่อมีน้อยมาก และประเด็นของ “พรรณิการ์” กำลังนำไปสู่คำถามที่ว่า แท้จริงแล้วเงินบริจาคของพรรคอนาคตใหม่ทั้งหลาย เป็นเพียงการ “หลบเลี่ยง” ช่องกฎหมายหรือไม่
หรือเป็น “นอมินี” นำเงินจาก “เจ้าของพรรค” มาใส่ชื่อตัวเองหรือเปล่าด้วย
กล่าวคือ ใน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญกำหนดให้บุคคลบริจาคได้ต่อปีไม่เกินคนละ 10 ล้านบาท แต่เมื่อคนที่มีทุนทรัพย์อู้ฟู่ ยกตัวอย่าง “เจ้าของธุรกิจส่วนประกอบรถยนต์ระดับหลายหมื่นล้านบาท” ติดกรอบนี้ จึงต้องกระจายเงินบริจาค ไปใส่ชื่อคนอื่น หรือผู้บริหารพรรครายอื่นๆ เพื่อหลบเลี่ยงกฎหมาย
กรณีหากเป็นเรื่องจริง สรุปไปได้ว่า 1 ล้านบาท ไม่ใช่ของ “คุณช่อ” จริง ไม่ใช่แค่เจ้าตัวเท่านั้นจะซวย แต่หมายถึง “อนาคตใหม่” ทั้งพรรคจะแย่เหมือนกัน
เรื่องนี้ยังมีประเด็นที่ผิดวิสัยอีกจุดคือ โดยปกติเรื่องอะไรที่ไม่เป็นความจริง “คุณช่อ” จะ “เถียงคำไม่ตกฟาก” ชนิดไม่ยอมให้ใครมาแตะต้องได้
ทว่า ประเด็นนี้คุณเธอชี้แจงไม่กี่ประโยค โดยบอกว่า ได้แจ้งกับ ป.ป.ช.เพียงเท่านั้น ซึ่ง “ไม่เคลียร์”
หลายเรื่องราวประดังประเด ส่งผลเป็นสภาวะ “ภายใน” ที่หนักหน่วง ในขณะที่สภาวะจาก “ภายนอก” ก็เจียนไปเจียนอยู่ โดยเฉพาะคดีถือหุ้นสื่อ บริษัท วีลัค มีเดีย จำกัดของ “ธนาธร” ที่จะรู้ผลในวันที่ 20 พฤศจิกายนนี้
คดีถือหุ้นสื่อของ “ธนาธร” เป็นจุดที่ชี้วัดความเป็นความตายของพรรค ทั้งในกรณีที่ “ตายเดี่ยว” ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง ก็จะขาดหัวหอกคนสำคัญ หรือกรณี “ตายหมู่” ก็มีโอกาสที่ “พลพรรคส้มหวาน” จะถูก “ปิดเกม” ตั้งแต่วันดังกล่าวจากการถูก “ยุบพรรค” ไม่ว่าด้วยเหตุผลความเกี่ยวข้องใดก็แล้วแต่
ผลการถูกยุบพรรค จะทำให้กรรมการบริหารพรรค 16 ชีวิต ได้แก่ 1.นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค 2.นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค 3.น.ส.กุลธิดา รุ่งเรืองเกียรติ รองหัวหน้าพรรค 4.นายชำนาญ จันทร์เรือง รองหัวหน้าพรรค 5.พล.ท.พงศกร รอดชมภู รองหัวหน้าพรรค 6.นายรณวิต หล่อเลิศสุนทร รองหัวหน้าพรรค
7.น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรค 8.นายไกลก้อง ไวทยาการ นายทะเบียนพรรค 9.นายนิติพัฒน์ แต้มไพโรจน์ เหรัญญิกพรรค 10.นายสุนทร บุญยอด 11.น.ส.เยาวลักษณ์ วงษ์ประภารัตน์ 12.นายสุรชัย ศรีสารคาม 13.นายเจนวิทย์ ไกรสินธุ์ 14.นายชัน ภักดีศรี 15.น.ส.จารุวรรณ ศรันย์เกตุ และ 16.นายนิรามาน สุไลมาน ซึ่งเพิ่งจะทำหนังสือลาออกจากตำแหน่งกรรมการบริหารพรรค
ถูก “ตัดสิทธิ์ทางการเมือง” ซึ่งไม่รู้ว่ากี่ปี แต่ที่แน่กว่านั้นคือ คนที่เป็น ส.ส.ก็ต้องพ้นตำแหน่งไปโดยปริยาย
จับทิศทางลมแล้วอาจดูเกินจริง โดยเฉพาะข้อหาถือหุ้นสื่อที่เป็น “ความผิดเฉพาะตัว” แต่เชื่อหรือไม่ว่า แม้แต่คนในพรรคอนาคตใหม่เอง ยังเชื่อว่า สุดท้ายพวกเขาก็ไม่รอด
หลายคนเริ่มขยับ มองหา “รังใหม่” หากถึงคราวพรรคกัลปาวสาน โดยมีกระแสข่าวเนืองๆเกี่ยวกับการเตรียมการตั้งพรรคใหม่ไว้แล้ว สำหรับ “ผู้รอดชีวิต” นั่นคือ ส.ส.ที่ไม่ได้เป็นกรรมการบริหารพรรค เพื่อเดินต่อในถนนสายการเมือง นำโดย “เสี่ยทิม” พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่ชักหลงกลิ่นอายการเมือง และได้รับยกย่องเป็น “ดาวสภา” ในเวลาไม่นาน แม้จะมีบุคลิกใกล้เคียงธนาธร หากแต่ “อยู่เป็น” แบบไม่ “สุดโต่ง” เกินไป
อันน่าจะเรียนรู้วิชามาจาก “ป๋าดุง” ผดุง ลิ้มเจริญรัตน์ ผู้เป็นลุง ซึ่งเป็นมือขวาของ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
คนที่ออกไปตั้งพรรคใหม่ จะไม่ใช้วิธี “หักด้ามพร้าด้วยเข่า” เหมือนกับบรรดา “ชนชั้นนำ” ในพรรค จะเห็นว่า ที่ผ่านมา มี ส.ส.จำนวนไม่น้อยที่เน้น “พรีเซนต์” ตัวเองมากกว่าจะไปออกตัวแตกหักเหมือนกับ “เอก-ป๊อก-ช่อ”
ในขณะที่ ส.ส.แบบแบ่งเขต พวกนี้จะเคว้งคว้างที่สุด เพราะไม่มีต้นทุนส่วนตัวเท่าไร แต่ “ราคาในตลาด” สูงกว่าพวกปาร์ตี้ลิสต์ หลายคนเริ่มเล็งหาลู่ทาง โดยเฉพาะการย้ายขั้วไปอยู่กับฝั่งรัฐบาล ที่มี “หน่วยสนับสนุน” ให้ ต่างจากพรรคเก่าที่ไม่เคยซัพพอร์ตใดๆ
พรรคเต็งหนึ่ง เนื้อหอมสำหรับทุกขั้วการเมือง ไม่พ้น “ค่ายเซราะกราว” พรรคภูมิใจไทย ที่ดูไม่สุดขั้วเกินไป เมื่อเทียบกับการย้ายไปพรรคพลังประชารัฐ หรือพรรคประชาธิปัตย์
ที่ผ่านมาก็มีข่าวว่า “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ก็ดูแลอุปการะ “ผู้แทนฯ ฝ่ายค้าน” ไว้หลายสิบชีวิต
วันนี้ยังไม่มีอะไรให้เห็นเด่นชัด แต่วันที่ “อนาคตใหม่” กลายเป็น “อดีตใหม่” ที่ถูกบันทึก ทฤษฎีหมาตายเห็บกระโดดจะปรากฏให้เห็น
ณ ตอนนี้ เป็นเพียงการหายใจรวยริน แต่เมื่อ “เจ้าของตาย” ทุกคนก็จะกระโดดไปอยู่กับ “เจ้าของใหม่” ทันที
โดยเฉพาะประเภท “บัวพ้นน้ำ” ไม่หลงมอง “กงจักร” เป็น “ดอกบัว” อีกต่อไป.