ชะตากรรมของพรรคอนาคตใหม่ในขณะนี้นั้นแขวนอยู่บนเส้นด้าย โดยเฉพาะการที่ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคถูกสอบเรื่องซุกหุ้นสื่อนั้นเราเห็นพิรุธในการที่เขาถูกศาลไต่สวนมากมาย แต่นั่นเป็นเรื่องเฉพาะตัวของเขา ที่หนักหนาคือเรื่องให้พรรคกู้ยืมเงิน ซึ่งน่าจะถึงขั้นตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรคทั้งหมด ถ้าผลสอบออกมาแล้วว่าไม่สามารถทำได้ รวมถึงอื่นๆ อีกหลายคดี ดังนั้นเวลานี้จึงเป็นช่วงวิกฤตของพรรคนี้มาก
เมื่อไม่กี่วันก่อนดร.ชาญวิทย์ ใจสว่าง ผู้สมัคร ส.ส.ชุมพร พรรคอนาคตใหม่ ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กระบายความในใจของพรรคบางตอนว่า
อนค.โกหกหน้าตาย
ต้องตอบโต้กันบ้างเมื่อไม่เห็นหัวกันโดยเฉพาะคำเหยียดหยามมองผู้แพ้เป็นแค่ขยะของพรรค อนค.
ผมเป็นผู้แพ้ผมจึงเป็นขยะของพรรคด้วยคนหนึ่ง หลังเลือกตั้งมาย่ำยีผู้แพ้มาพอสมควรแล้วแบ่งระดับ ส.ส.ออกเป็น 3 กลุ่ม
กลุ่มเพื่อนหัวหน้าเลขาฯ ก้อนหนึ่งเป็นชนชั้นสูงจบนอกแนวคิดประเสริฐกว่าใครในไทยนี้มีอำนาจเหนือ ส.ส. และผู้แพ้ทั้งหมดปกครองเด็ดขาดโต้แย้งและเสนอแนะอะไรไม่ได้ไม่คุยไม่รับฟัง ส.ส. และผู้แพ้ในตำแหน่งตลาดล่างทุกกรณี
กลุ่ม 2 คือ ส.ส.สอบได้ก็คือบัญชีรายชื่อที่เป็นคนใกล้ชิดและสนิทกับกลุ่มชั้นสูงเท่านั้นจึงได้ลง ส่วนคนนอกที่ได้ ส.ส.เขตเข้ามาหืออือไม่ได้
กลุ่ม 3 คือผู้แพ้ทั้งหมด 320 เขตเล็ดลอดไปเป็นผู้ช่วยบ้างไม่กี่คน กลุ่มนี้คือ “ขยะ” ในมุมมองของพรรคลักษณะนี้ ถ้าผู้อื่นไม่รู้สึกเช่นผมก็คงไม่เกิดการรวมตัวลาออกจากพรรคเป็นร้อยคนหรอกครับ ที่ถูกตีตราต่ำแบบนี้เพราะสื่อสารกันในพรรคบอกให้ทุกคนทราบว่าทุกคะแนนที่ได้เป็นเพราะคนคลั่งธนาธร ไม่ใช่ความสามารถของผู้สมัครเลย จึงอย่ามาต่อรองเลือกตั้งแล้วก็ขาดกัน
เรื่องนี้เป็นเหตุผลประกอบใช่ไหมที่ทำให้การแต่งตั้ง ผช.สส. ผชช. (เชี่ยวชาญ) เป็นเพื่อนของกลุ่มคนชั้นสูงทั้งหมดรวมทั้งพนง.และเจ้าหน้าที่ของพรรคได้รับไปทั้งหมด
นี่หรือคุณธรรมธรรมาภิบาลขั้นสูง
จัดสรรกันแบบนี้ใช่ไหมที่บอกว่ายึดโยงประชาชนกลุ่มชนชั้นบนในพรรคที่ทำงานในกรุงเทพฯ คือตัวแทนประชาชนใน ตจว.แล้วใช่ไหม
ผมไม่เห็นความเชื่อมโยงการกระจายอำนาจไปยังท้องถิ่น ดั่งที่พรรคอยากให้รัฐบาลทำเลย
...........
เขาระบายความในใจออกมายาวกว่านี้ แต่ผมตัดเอามาบางส่วนเท่านั้น รวมถึงที่ระบายออกมาอีกชุดเมื่อ 2-3 วันก่อน เราต้องยอมรับว่า ธนาธรเป็นนักธุรกิจมาก่อนเขาบริหารบริษัทแบบนายทุน เขารู้ว่าหน่วยงานไหนที่ต้องรักษาไว้ หน่วยงานไหนทำกำไรน้อยต้องยุบทิ้ง ชีวิตของเขาคิดถึงตัวเลขการแข่งขันตลอดเวลา ดังนั้นความคิดแบบแบ่งชนชั้นในพรรคไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเขาต้องจัดความสำคัญว่าใครมีประโยชน์และสามารถสร้างคุณค่าเพิ่มได้ตามวิสัยนักธุรกิจ
แม้ปิยบุตร แสงกนกกุล ในฐานะเลขาธิการพรรคจะออกมาปฏิเสธว่า ไม่เป็นความจริง ไม่ได้ทอดทิ้งผู้สมัครที่สอบตก แต่ตำแหน่งมีจำกัดนอกจากผู้สมัคร ส.ส.และต้องจัดสรรให้คนทำงานในพรรคด้วย
แต่สิ่งที่ดร.ชาญวิทย์ โพสต์ก็เป็นความจริงเพราะมีสมาชิกพรรคลาออกไปกว่าร้อยคน ธนาธรเลยต้องออกมาพูดแบบแก้เขินคำเท่ว่า “ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับพรรคอนาคตใหม่คือ บทพิสูจน์ของเหล็กเนื้อดี ต่อให้เขาซื้อพวกเราทั้งหมด แต่เขาซื้อผมกับปิยบุตรไม่ได้ แม้เหลือเราสองคนยังพร้อมทำงานการเมืองให้สังคมต่อไป”
สิ่งที่ธนาธรพูดก็ไม่เกินเลยความจริง เพราะบุคลากรในพรรคนั้นไม่ใช่ปัจจัยสำคัญของพรรคอนาคตใหม่ ทุกอย่างขึ้นกับกระแสของธนาธรคนเดียว ดังนั้นเขาจะเลือกใครมาลงในพรรคก็มีความหมายเหมือนกัน
เพราะเราก็ต้องยอมรับนะครับว่า ส.ส.และผู้สมัครพรรคอนาคตใหม่นั้น เป็นพวกนกแลเป็นดาวเคราะห์ที่ไม่มีแสงในตัวเองเป็นส่วนใหญ่ ทั้งที่คนที่ได้รับเลือกและไม่ได้รับเลือก เพราะกระแสของธนาธรคนเดียว หลายเขตคนเดินไปคูหากาบัตรเลือกพรรคนี้โดยที่ไม่รู้เลยว่าผู้สมัครเป็นใครด้วยซ้ำ
เลือกตั้งครั้งนี้อนาคตใหม่ได้เยอะเกินความคาดหมายถึง 80 เสียงพรรคมีกระแสแรงจริงครับ แต่ส่วนตัวผมไม่เชื่อว่าคะแนน 6 ล้านกว่านั้นมาจากกระแสของพรรคทั้งหมด
แล้วถ้าไม่มาจากพรรคมาจากไหน คำตอบก็คือมาจากผลพวงของการยุบพรรคไทยรักษาชาตินั่นแหละ
พรรคเพื่อไทยหลีกไม่ส่งผู้สมัครเป็น 100 เขตเพื่อให้พรรคไทยรักษาชาติลงไปเก็บคะแนนบัญชีรายชื่อในเขตที่พรรคเพื่อไทยไม่มีโอกาสชนะเป็นส่วนใหญ่ แต่คาดว่าน่าจะมีคะแนนเป็นกอบเป็นกำมารวมกันแล้วจะได้บัญชีรายชื่อ
อ่านถึงตรงนี้ก็อาจคิดว่าคงมั่วในเมื่อพรรคเพื่อไทยไม่ส่งในเขตที่คิดว่าจะได้แค่ให้ไทยรักษาชาติเก็บคะแนนบัญชีรายชื่อ แล้วอนาคตใหม่ชนะได้อย่างไร
คำตอบก็คือคะแนนกระแสพรรคจากคนรุ่นใหม่มาบวกกับคะแนนคนที่เลือกพรรคไทยรักษาชาติหรือเคยเลือกเพื่อไทยยังไงเล่า หลายเขตในกรุงเทพฯ ที่พรรคไทยรักษาชาติโดนยุบปรากฏว่าอนาคตใหม่จะชนะพลังประชารัฐ
ดังนั้นผมคิดว่าถ้าไทยรักษาชาติไม่โดนยุบคะแนนของพรรคนี้น่าจะอยู่ที่ 20-30คนเท่านั้นเอง ต้องดูเที่ยวหน้าว่าเพื่อไทยจะปรับแผนอย่างไรจะเอาคะแนน 14 ล้านของตัวเองที่แบ่งไปให้อนาคตใหม่จนเที่ยวนี้เหลือแค่ 8 ล้านกลับมาได้ไหมเพราะเล่นในตลาดเดียวกัน
หลายคนที่เป็น ส.ส.ในพรรคนี้ทั้งที่ถูกเลือกให้ลงเขตไม่มีใครคิดว่าจะได้รับเลือกเลย แต่บัญชีรายชื่อก็คาดกันอยู่แล้วว่าน่าจะได้เข้ามาไม่น้อย แต่ไม่มีใครคิดว่าจะได้มากขนาดนี้ จนมีเหตุยุบพรรคไทยรักษาชาตินั่นแหละ แล้วฝั่งเพื่อไทยส่งสัญญาณว่าจะเทคะแนนมาให้พรรคนี้
แต่คนได้เป็น ส.ส.แล้วจะถูกคาดหวังจากคนในพื้นที่ว่าช่วยอะไรเขาบ้าง ฉีดยุง ทำหมันหมา ฯลฯ ส่งพวงหรีดไปงานศพสารพัดไม่รู้ว่า ส.ส.พรรคนี้จะยอมลงตลาดล่างไหม ถ้าไม่เที่ยวหน้าก็เหนื่อยแน่
การพ่ายแพ้ที่นครปฐมนั้นเพราะ ส.ส.เก่าเขาตั้งหลักได้จากการพ่ายแพ้แบบขาดลอยครั้งแรกว่ามีช่องโหว่ตรงไหน คะแนนหน่วยไหนหายคิดว่ารอบหน้าหลายจังหวัดก็คงเหมือนกัน
เช่นเดียวกันครั้งหน้าเมื่อพรรคเพื่อไทยรู้แล้วว่าคู่แข่งของพรรคเขาไม่ใช่พรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาธิปัตย์ หรือพรรคภูมิใจไทย แต่คือ พรรคอนาคตใหม่นี่แหละ ผมคิดว่าพรรคเพื่อไทยก็ต้องใช้ความช่ำชองกว่าเพื่อแย่งคะแนนกลับมาให้ได้
ส่วนตัวผมคิดว่า พรรคเพื่อไทยน่าจะใช้วิธีแตกพรรคแบบเดิม เพราะรู้ว่าถ้าส่งพรรคเพื่อไทยลงทุกเขตโอกาสได้บัญชีรายชื่อก็น้อยมาก เพราะพรรคจะชนะในเขตเลือกตั้งเยอะมันเกินค่าพึงมีที่จะได้บัญชีรายชื่อแน่ แต่อาจจะให้คนเด่นๆ เบอร์ใหญ่ของพรรคที่คะแนนดีลงไปเล่นในเขตเอง เพื่อให้มั่นใจว่าได้เข้าสภาและดึงคะแนนพรรคให้สูง
ดังนั้นเลือกตั้งครั้งหน้าแหละครับถึงจะวัดว่าอนาคตใหม่ของจริงนั้นมีเท่าไหร่ ถ้าพรรคไม่ถูกยุบและกรรมการบริหารรอดถูกตัดสิทธิ์ไปได้
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan