จะเรียกว่า“ขาลง”หรือเปล่าไม่รู้ รู้แต่ว่าเวลานี้สารพัดปัญหากำลังประดังเข้าใส่“คู่หูการเมือง”อย่าง ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ ปิยบุตร แสงกนกกุล แบบไม่ลืมหูลืมตา แบบว่าทั้งคู่คงคาดคิดไม่ถึงว่า ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้ จนมีเสียงโอดโอยออกมาในทำนองว่า พวกเขาถูกกลั่นแกล้งจากฝ่ายการเมืองตรงข้าม ซึ่งหากมองผิวเผินก็อาจจะคล้อยตาม แต่เมื่อพิจารณาในรายละเอียด ทุกอย่างย่อมมีที่มาที่ไป และทุกอย่างในวันนี้ย่อมมาจากเหตุทั้งสิ้น
แน่นอนว่าก่อนหน้านี้ ทั้งคู่หลังจากก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่และลงสู่สนามการเลือกตั้งครั้งแรก เมื่อวันที่ 24 มีนาคมที่ผ่านมา ก็สามารถมีจำนวนส.ส.รวมกันถึง 80 คน จนเรียกเสียงฮือฮา กลายเป็นจุดสนใจทางการเมือง ถึงกับมีการคาดหมายกันว่า พวกเขาอาจจะเป็น“ความหวังใหม่”ในฐานะนักการเมืองรุ่นใหม่ รวมไปถึงที่ผ่านมา พวกเขาก็ได้วิพากษ์วิจารณ์สังคม มีแนวความคิดในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคม ในแบบที่ถึงขั้น“ถอนราก”ก็สามารถเรียกเสียงตอบรับสนับสนุนจากสังคมไม่น้อย โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ จะมีความรู้สึกร้อนแรง ในแบบ“หัวเอียงซ้าย”
แม้ว่าที่ผ่านมาในความนิยมดังกล่าวที่สะท้อนผ่านการเลือกตั้งที่ได้จำนวน ส.ส.เข้ามาเป็นจำนวนมาก จะมีการตั้งคำถามถึงเงื่อนไขบางอย่างที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกรณีของการยุบพรรคไทยรักษาชาติ ที่ทำให้คะแนนเสียงที่เคยเป็นเครือข่ายของ“ระบอบทักษิณ”ที่เคยสนับสนุนพรรคเพื่อไทย และพรรคไทยรักษาชาติ ต้องเทมาที่พรรคอนาคตใหม่
เพราะสิ่งที่มีการพิสูจน์ในเวลาต่อมา หลังจากที่"ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ" ได้วิจารณ์ "ทักษิณ ชินวัตร" ในศาลรัฐธรรมนูญอย่างรุนแรง จนสร้างความไม่พอใจให้กับบรรดาผู้สนับสนุน และส่วนหนึ่งก็เชื่อว่าได้ สะท้อนผ่านทางการเลือกตั้งซ่อม ที่เขต 5 นครปฐม ที่ผู้สมัครของพรรคอนาคตใหม่ พ่ายแพ้การเลือกตั้ง ไม่สามารถรักษาที่นั่งเดิมเอาไว้ได้ และนับตั้งแต่นั้นก็มีการจับตากันว่า ทั้ง ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และพรรคอนาคตใหม่ กำลังเริ่มเข้าสู่ภาวะ“ขาลง”แม้ว่าในเวลานี้อาจยังไม่อาจเห็นภาพชัดเจน แต่จากความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นภายในพรรคเวลานี้ เชื่อว่าย่อมส่งผลกระทบกับพรรค รวมไปถึงตัว ธนาธร อย่างแน่นอน
**โดยเฉพาะการได้เห็น“ตัวตน”ของเขา ชัดเจนขึ้น และที่สำคัญมันยังมีผลกระทบกับมวลชน ที่เคยสนับสนุนว่าจะมีการเคลื่อนไหวอย่างไร หรือไม่ หากมีผลทางคดีออกมาในทางลบ กับบรรดาแกนนำพรรค รวมไปถึงพรรคอนาคตใหม่ มวลชนพวกนี้จะมีท่าทีอย่างไร เพราะล่าสุดผลสำรวจที่ออกมาบางสำนักที่ถามว่า หากมีการยุบพรรคอนาคตใหม่ แล้วจะรู้สึกอย่างไร คำตอบที่ได้คือ เสียงส่วนใหญ่โดยเฉพาะพวกคนรุ่นใหม่บอกว่ารู้สึก “เฉยๆ”ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เพราะพรรคอนาคตใหม่ มีการรับรู้กันว่ามีผู้สนับสนุนที่ส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นใหม่ แต่เมื่อมีท่าทีออกมาแบบนี้ ก็ต้องมีการประเมินกันใหม่
อย่างไรก็ดี สิ่งที่คิดว่าน่าจะสร้างปัญหามากที่สุดจนส่งผลกระทบต่อเป้าหมายและเส้นทางการเมืองของพรรคอนาคตใหม่ และตัว ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่เป็นหัวหน้าพรรค ล้วนมาจาก“ปัญหาภายใน”ที่เป็นความขัดแย้ง แล้วมีการเปิดโปงแฉโพยออกมาข้างนอก
สิ่งที่เผยให้เห็นตัวตนของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ได้ชัดเจนที่สุดก็คือ การเปิดโปงของสมาชิกพรรคจำนวนมากนับร้อยคน ที่พร้อมใจกันลาออกจากสมาชิกพรรค แม้ว่าคนพวกนี้ เป็นระดับอดีตผู้สมัคร ส.ส.ของพรรค รวมไปถึงสมาชิกพรรคทั่วไป แต่พวกเขาก็ได้อ้างถึงสาเหตุที่ต้องลาออก เป็นเพราะรับไม่ได้กับแนวทางการบริหารจัดการภายในพรรค ที่นำโดย ธนาธร ว่าเป็น“เผด็จการ”รวบอำนาจ ไม่ฟังความเห็นจากสมาชิกพรรค หรือการบริหารพรรคไม่ต่างจากการบริหารบริษัทในเครือของครอบครัวของหัวหน้าพรรค จนเกิดวาทะ การ “แบ่งชนชั้น”เป็น “ชนชั้นนำ”กับพวก “ขยะ”หรือ “สนิม”เกาะกินพรรค กับพวก“เหล็กเนื้อดี”เป็นต้น
หรือแม้แต่สาเหตุของการโหวตสวนมติพรรคของ ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ จำนวนราว 7-8 คน ในร่างกฎหมายสำคัญสองฉบับ คือ ร่าง พระราชกำหนดโอนอัตรากำลังพลฯ และ ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ก็มีบางคนเช่น จารึก ศรีอ่อน ส.ส.จันทบุรี ที่มีการโพสต์โซเชียลฯ ยืนยันสาเหตุการโหวตสวนดังกล่าวว่ามาจากความขัดแย้ง จากเรื่องการส่งผู้สมัครเลือกตั้ง ในระดับท้องถิ่น
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในพรรคอนาคตใหม่ดังกล่าว ย่อมส่งผลกระทบต่อพรรคโดยเฉพาะกับอนาคตทางการเมืองของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ไม่น้อย เพราะได้เห็นตัวตนของเขาได้อย่างชัดเจน แม้ว่าจะเป็นข้อกล่าวหาของบรรดาสมาชิกพรรคจำนวนหนึ่ง ที่เขาระบุแบบไม่ให้ราคาว่า เป็นแค่ .01 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น แต่เมื่อพิจารณาจากการที่มีสมาชิกทยอยลาออก มีการเปิดโปงเรื่องปัญหาภายในพรรคออกมาอย่างต่อเนื่อง มันก็ย่อมสะท้อนให้เห็นว่า“แนวทางการบริหาร”นั้นมีปัญหา และยังสะท้อนไปถึงการบริหารในระดับชาติ หากเขาก้าวขึ้นเป็นผู้บริหารประเทศ
เพราะสิ่งที่เห็นจากปัญหาภายในพรรคในแทบทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคดีที่เขาถูกร้องเรื่องการถือหุ้นสื่อ รวมไปถึงการใช้หลักฐานในการแก้ต่างในศาลฯ ที่สะท้อนให้เห็นถึงวิธีคิดออกมาจากภายใน หรือเมื่อพิจารณาในเรื่องแนวความคิดในช่วงก่อนหน้านี้ ที่ยังมีปัญหาในเรื่องการปฏิบัติจริง
ดังนั้น จึงเป็นคำถามตามมาว่า สำหรับ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ รวมไปถึง ปิยบุตร แสงกนกกุล ที่เป็น “คู่หู”การเมืองจะสามารถเป็นความหวังหรือเป็น“อนาคตใหม่”สามารถบริหารงานในระดับชาติได้หรือไม่ หรือเป็นเพียงแค่ระดับท้องถิ่น เพราะหากจะว่าไปตามความเป็นจริง ที่ผ่านมาสำหรับเขาไม่เคยพิสูจน์ให้เห็นในเรื่องผลงานการบริหารด้วยตัวเองแบบเป็นเรื่องเป็นราว แม้ว่าจะเป็นผู้บริหารในเครือบริษัทที่มีทรัพย์สินนับหมื่นล้าน แต่เขาก็เป็นเพียงทายาทรุ่นหลังที่เพิ่งเข้ามารับช่วงต่อเท่านั้น !!
แน่นอนว่าก่อนหน้านี้ ทั้งคู่หลังจากก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่และลงสู่สนามการเลือกตั้งครั้งแรก เมื่อวันที่ 24 มีนาคมที่ผ่านมา ก็สามารถมีจำนวนส.ส.รวมกันถึง 80 คน จนเรียกเสียงฮือฮา กลายเป็นจุดสนใจทางการเมือง ถึงกับมีการคาดหมายกันว่า พวกเขาอาจจะเป็น“ความหวังใหม่”ในฐานะนักการเมืองรุ่นใหม่ รวมไปถึงที่ผ่านมา พวกเขาก็ได้วิพากษ์วิจารณ์สังคม มีแนวความคิดในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคม ในแบบที่ถึงขั้น“ถอนราก”ก็สามารถเรียกเสียงตอบรับสนับสนุนจากสังคมไม่น้อย โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ จะมีความรู้สึกร้อนแรง ในแบบ“หัวเอียงซ้าย”
แม้ว่าที่ผ่านมาในความนิยมดังกล่าวที่สะท้อนผ่านการเลือกตั้งที่ได้จำนวน ส.ส.เข้ามาเป็นจำนวนมาก จะมีการตั้งคำถามถึงเงื่อนไขบางอย่างที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกรณีของการยุบพรรคไทยรักษาชาติ ที่ทำให้คะแนนเสียงที่เคยเป็นเครือข่ายของ“ระบอบทักษิณ”ที่เคยสนับสนุนพรรคเพื่อไทย และพรรคไทยรักษาชาติ ต้องเทมาที่พรรคอนาคตใหม่
เพราะสิ่งที่มีการพิสูจน์ในเวลาต่อมา หลังจากที่"ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ" ได้วิจารณ์ "ทักษิณ ชินวัตร" ในศาลรัฐธรรมนูญอย่างรุนแรง จนสร้างความไม่พอใจให้กับบรรดาผู้สนับสนุน และส่วนหนึ่งก็เชื่อว่าได้ สะท้อนผ่านทางการเลือกตั้งซ่อม ที่เขต 5 นครปฐม ที่ผู้สมัครของพรรคอนาคตใหม่ พ่ายแพ้การเลือกตั้ง ไม่สามารถรักษาที่นั่งเดิมเอาไว้ได้ และนับตั้งแต่นั้นก็มีการจับตากันว่า ทั้ง ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และพรรคอนาคตใหม่ กำลังเริ่มเข้าสู่ภาวะ“ขาลง”แม้ว่าในเวลานี้อาจยังไม่อาจเห็นภาพชัดเจน แต่จากความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นภายในพรรคเวลานี้ เชื่อว่าย่อมส่งผลกระทบกับพรรค รวมไปถึงตัว ธนาธร อย่างแน่นอน
**โดยเฉพาะการได้เห็น“ตัวตน”ของเขา ชัดเจนขึ้น และที่สำคัญมันยังมีผลกระทบกับมวลชน ที่เคยสนับสนุนว่าจะมีการเคลื่อนไหวอย่างไร หรือไม่ หากมีผลทางคดีออกมาในทางลบ กับบรรดาแกนนำพรรค รวมไปถึงพรรคอนาคตใหม่ มวลชนพวกนี้จะมีท่าทีอย่างไร เพราะล่าสุดผลสำรวจที่ออกมาบางสำนักที่ถามว่า หากมีการยุบพรรคอนาคตใหม่ แล้วจะรู้สึกอย่างไร คำตอบที่ได้คือ เสียงส่วนใหญ่โดยเฉพาะพวกคนรุ่นใหม่บอกว่ารู้สึก “เฉยๆ”ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เพราะพรรคอนาคตใหม่ มีการรับรู้กันว่ามีผู้สนับสนุนที่ส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นใหม่ แต่เมื่อมีท่าทีออกมาแบบนี้ ก็ต้องมีการประเมินกันใหม่
อย่างไรก็ดี สิ่งที่คิดว่าน่าจะสร้างปัญหามากที่สุดจนส่งผลกระทบต่อเป้าหมายและเส้นทางการเมืองของพรรคอนาคตใหม่ และตัว ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่เป็นหัวหน้าพรรค ล้วนมาจาก“ปัญหาภายใน”ที่เป็นความขัดแย้ง แล้วมีการเปิดโปงแฉโพยออกมาข้างนอก
สิ่งที่เผยให้เห็นตัวตนของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ได้ชัดเจนที่สุดก็คือ การเปิดโปงของสมาชิกพรรคจำนวนมากนับร้อยคน ที่พร้อมใจกันลาออกจากสมาชิกพรรค แม้ว่าคนพวกนี้ เป็นระดับอดีตผู้สมัคร ส.ส.ของพรรค รวมไปถึงสมาชิกพรรคทั่วไป แต่พวกเขาก็ได้อ้างถึงสาเหตุที่ต้องลาออก เป็นเพราะรับไม่ได้กับแนวทางการบริหารจัดการภายในพรรค ที่นำโดย ธนาธร ว่าเป็น“เผด็จการ”รวบอำนาจ ไม่ฟังความเห็นจากสมาชิกพรรค หรือการบริหารพรรคไม่ต่างจากการบริหารบริษัทในเครือของครอบครัวของหัวหน้าพรรค จนเกิดวาทะ การ “แบ่งชนชั้น”เป็น “ชนชั้นนำ”กับพวก “ขยะ”หรือ “สนิม”เกาะกินพรรค กับพวก“เหล็กเนื้อดี”เป็นต้น
หรือแม้แต่สาเหตุของการโหวตสวนมติพรรคของ ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ จำนวนราว 7-8 คน ในร่างกฎหมายสำคัญสองฉบับ คือ ร่าง พระราชกำหนดโอนอัตรากำลังพลฯ และ ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ก็มีบางคนเช่น จารึก ศรีอ่อน ส.ส.จันทบุรี ที่มีการโพสต์โซเชียลฯ ยืนยันสาเหตุการโหวตสวนดังกล่าวว่ามาจากความขัดแย้ง จากเรื่องการส่งผู้สมัครเลือกตั้ง ในระดับท้องถิ่น
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในพรรคอนาคตใหม่ดังกล่าว ย่อมส่งผลกระทบต่อพรรคโดยเฉพาะกับอนาคตทางการเมืองของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ไม่น้อย เพราะได้เห็นตัวตนของเขาได้อย่างชัดเจน แม้ว่าจะเป็นข้อกล่าวหาของบรรดาสมาชิกพรรคจำนวนหนึ่ง ที่เขาระบุแบบไม่ให้ราคาว่า เป็นแค่ .01 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น แต่เมื่อพิจารณาจากการที่มีสมาชิกทยอยลาออก มีการเปิดโปงเรื่องปัญหาภายในพรรคออกมาอย่างต่อเนื่อง มันก็ย่อมสะท้อนให้เห็นว่า“แนวทางการบริหาร”นั้นมีปัญหา และยังสะท้อนไปถึงการบริหารในระดับชาติ หากเขาก้าวขึ้นเป็นผู้บริหารประเทศ
เพราะสิ่งที่เห็นจากปัญหาภายในพรรคในแทบทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคดีที่เขาถูกร้องเรื่องการถือหุ้นสื่อ รวมไปถึงการใช้หลักฐานในการแก้ต่างในศาลฯ ที่สะท้อนให้เห็นถึงวิธีคิดออกมาจากภายใน หรือเมื่อพิจารณาในเรื่องแนวความคิดในช่วงก่อนหน้านี้ ที่ยังมีปัญหาในเรื่องการปฏิบัติจริง
ดังนั้น จึงเป็นคำถามตามมาว่า สำหรับ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ รวมไปถึง ปิยบุตร แสงกนกกุล ที่เป็น “คู่หู”การเมืองจะสามารถเป็นความหวังหรือเป็น“อนาคตใหม่”สามารถบริหารงานในระดับชาติได้หรือไม่ หรือเป็นเพียงแค่ระดับท้องถิ่น เพราะหากจะว่าไปตามความเป็นจริง ที่ผ่านมาสำหรับเขาไม่เคยพิสูจน์ให้เห็นในเรื่องผลงานการบริหารด้วยตัวเองแบบเป็นเรื่องเป็นราว แม้ว่าจะเป็นผู้บริหารในเครือบริษัทที่มีทรัพย์สินนับหมื่นล้าน แต่เขาก็เป็นเพียงทายาทรุ่นหลังที่เพิ่งเข้ามารับช่วงต่อเท่านั้น !!