เมืองไทยฯ
ก็อาจเป็นไปตามที่ ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ และ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ส่งเสียงโอดโอยออกมาในเวลานี้นั่นแหละว่าทำไมพอเป็นนักการเมืองหรือตั้งพรรคการเมืองมาเพียงแค่ปีเศษแต่ทำไมมีคดีความติดตัวมากมาย รวมๆแล้วเกือบสามสิบคดี พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าโดยพยายามชี้ให้สังคมเห็นว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้ เหมือนกับว่าพวกเขากำลังถูกกลั่นแกล้ง หลังจากเข้าสู่วงการเมืองได้ไม่นาน
โดย ปิยบุตร ได้ยกตัวอย่างกรณีที่กำลังถูกฟ้องเป็นคดีในกรณีหมิ่นศาลรัฐธรรมนูญ โดยเขาอ้างว่าที่ผ่านมาเมื่อครั้งยังเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยเคยวิจารณ์ศาลรัฐธรรมนูญมาหลายครั้งแต่ไม่เคยถูกฟ้องร้องเป็นคดีเลย อะไรแบบนี้ ซึ่งหากพิจารณาจากอารมณ์และความรู้สึกของเขาในตอนนี้ก็ย่อมเข้าใจได้ทันทีว่า “ยังไม่ชินกับบทบาทใหม่” ในฐานะนักการเมือง
แน่นอนว่าที่ผ่านมาเขาหรือตัว ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่มีบทบาทอีกแบบหนึ่งยังเป็นบุคคลธรรมดาทั่วไป การเคลื่อนไหวไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด หรือแม้แต่ในทางการเมือง รวมไปถึงการวิพากษ์วิจารณ์บุคคลหรือหน่วยงานต่างๆจะไม่ค่อยมีคนจับจ้องเอาเรื่องเอาราวมากนัก อย่างมากก็แค่มีการให้ความเห็นตอบโต้กันตามปกติ แต่เมื่อมีบทบาทที่เปลี่ยนแปลงไปมาเป็นนักการเมือง ถือว่าเป็นบุคคลสาธารณะย่อมต้องถูกตรวจสอบอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะจากฝ่ายตรงข้าม ที่จะต้องมีการขุดเอาหลักฐานหรือความเคลื่อนไหวทั้งในเรื่องปัจจุบันย้อนไปถึงอดีตมาตอกย้ำเปิดโปงกันอีกมากมาย เหมือนกับว่า “มีใส้กี่ขดก็จะเห็นหมด”นั่นแหละ
ขณะเดียวกันในฐานะของนักการเมืองที่ถือว่าเป็นการ “ช่วงชิงอำนาจรัฐ” ตามระบอบรัฐสภามันก็ยิ่งต้องถูกตรวจสอบทั้งในและนอกสภา และอีกด้านหนึ่งพวกเขาก็สามารถเคลื่อนไหววิพากษ์วิจารณ์หรือใช้เวทีในสภา ทั้งในฐานะ ส.ส.และในฐานะกรรมาธิการก็ย่อมมีบทบาทในการตรวจสอบฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายตรงข้ามได้ไม่ต่างกัน
อย่างไรก็ดีในกรณีของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ ปิยบุตร แสงกนกกุล อาจมีบทบาทที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นการเคลื่อนไหวที่ “ล่อแหลม” ท้าทายในหลายเรื่อง บางเรื่องยังเป็นเรื่อง “อ่อนไหว” กับความรู้สึกของคนในสังคมส่วนใหญ่ โดยเฉพาะกรณีที่เคยพาดพิงในเรื่องเกี่ยวกับสถาบันเบื้องสูง การยืนยันในเรื่องการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคมในแนวทางของพวกเขา ก็ย่อมมีคนไม่เห็นด้วยโต้แย้งกลับมาในแบบที่มองว่ามันอันตราย
หลายเรื่องอย่างที่รับรู้กันว่าในยุคโซเชียลที่สามารถบันทึกหลักฐานได้ทุกคำพูด และทุกความเคลื่อนไหในอดีตทั้งภาพและเสียงย้อนหลัง ทำให้เมื่อเปลี่ยนบทบาทใหม่ในฐานะนักการเมืองก็ต้องโดนขุดหลักฐานเก่าๆออกมาเน้นย้ำกันอีกครั้ง ซึ่งหลายครั้งหลายคนได้เห็น ได้ยินแล้วมันก็เข้าข่ายหมิ่นเหม่จริงๆเสียด้วย
แต่อย่างไรก็ตามหากเป็นคดีแล้วทุกอย่างก็ต้องไปต่อสู้แก้ต่างกันในศาล ว่ากันไปตามกระบวนการ ซึ่งมันก็น่าจะยุติธรรมดีไม่ใช่หรือ และที่สำคัญยังต้องเกี่ยวข้องกับความรู้สึกของคนในสังคมประกอบกันด้วยว่าเสียงของประชาชนมีความเห็นคล้อยตามไปทางไหนมากกว่ากัน
แต่ที่น่าจับตาก็คือบรรยากาศในเวลานี้สำหรับพวกเขาที่ถือว่าเป็น “คู่หู”ทางการเมืองมันเริ่มเปลี่ยนแปลงไปไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว และปัญหาที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ก็เริ่มมาจากแนวทางการบริหารภายในพรรคอนาคตใหม่ของพวกเขาเอง ที่เคยกล่าวหาคนอื่นว่าเป็น “สนิม” ไม่ใช่เหล็กเนื้อแท้นั่นแหละ
ประกอบกับการแสดงบทบาทที่มีภาพออกมาภายนอกเริ่มสร้างความขัดแย้งไปรอบทิศไม่เว้นแม้กระทั่ง “แนวร่วม”โดยเฉพาะที่ถูกมองว่าน่าจะส่งผลกระทบกับฐานคะแนนเสียงความนิยมไม่น้อยก็คือกรณีที่ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ กล่าวโจมตี ทักษิณ ชินวัตร กลางศาลรัฐธรรมนูญ รวมไปถึงแนวทางในการบริหารจัดการภายในพรรคความหวังใหม่ที่เริ่มมีสมาชิกพรรคออกมาโจมตีเปิดโปงมากขึ้น ล่าสุดมีการรวมตัวกันยื่นใบลาออกจากสมาชิกพรรคกันนับร้อยคนเมื่อวันที่ 28 ตุลาคมที่ผ่าน รวมไปถึงการเรื่องการเปิดโปงชี้ให้เห็นถึงความขัดแย้งภายในพรรคออกมาให้เห็นอย่างต่อเนื่องจากกรณีมี ส.ส.ของพรรคโหวตสวนมติพรรคในร่างกฎหมายสำคัญสองฉบับก่อนหน้านี้คือ ร่างพระราชกำหนดโอนอัตรากำลังพลฯ และร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 63
จากนั้นก็มีผลการเลือกตั้งซ่อมนครปฐม เขต 5 เมื่อวันที่ 23 ตุลาคมที่ผ่านมาที่ผู้สมัครของงพรรคอนาคตใหม่พ่ายแพ้อย่างขาดลอย ทำให้หลายๆเรื่องล้วนประดังเข้ามาพร้อมๆกัน
อย่างไรก็ดีสิ่งที่ต้องพิจารณากันก็คือปัญหาที่เกิดขึ้นกับ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ ปิยบุตร แสงกนกกุล ที่เปรียบเหมือน “คู่หู”ในพรรคที่ถูกระบุว่าผูกขาดการบริหารภายใน กำลังถูกกระทำในฐานะนักการเมือง แต่ก็ถือว่านี่คือบทบาทใหม่ ที่บางครั้งอาจจะไม่เคยชิน แต่เชื่อว่านับจากนี้ไปพวกเขาจะต้องโดนหนักกว่านี้แน่นอน !!