1.อดีตผู้สมัคร ส.ส.-สมาชิก 120 คนแห่ลาออกจาก อนค. แฉเละพรรคปกครองแบบเผด็จการ-5 คนรวบอำนาจ!
เมื่อวันที่ 28 ต.ค. นายนิพนธ์ แจ่มจำรัส อดีตผู้สมัคร ส.ส.ชลบุรี เขต 2 พรรคอนาคตใหม่ (อนค.) พร้อมอดีตผู้สมัคร ส.ส.ของพรรค 30 คน และสมาชิกพรรคกว่า 90 คน ได้ทยอยเข้ายื่นใบลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรค อนค.ต่อนายทะเบียนพรรคการเมือง ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)
นายนิพนธ์ เผยเหตุที่ลาออกจากสมาชิกพรรค อนค.ว่า เพราะพรรค อนค.ก่อนเลือกตั้งกับหลังเลือกตั้งมีความแตกต่างกัน เมื่อความคิด อุดมการณ์ต่างกับพรรค อนค.จึงลาออก แต่ยังรัก ปรารถนาดี และศรัทธาในนโยบายพรรค ไม่ได้มีความคิดร้ายต่อกัน ส่วนเส้นทางการเมืองหลังจากนี้ ยังไม่มีพรรคการเมืองอื่นติดต่อมา จะกลับบ้านตามเส้นทางชีวิตของแต่ละคน
เมื่อถามว่า บางฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า ลาออกเพราะไม่ได้รับตำแหน่งทางการเมืองหรือไม่ นายนิพนธ์ กล่าวว่า สมาชิกทุกคนไม่มีใครต่อรองหรือเรียกร้องเรื่องนี้ แต่เป็นสัญญาจากพรรค ซึ่งสัญญาและสัจจะของผู้นำเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าไม่มีสัจจะ แล้วจะนำประชาชนทั้งประเทศไปสู่จุดมุ่งหมายตามนโยบายได้อย่างไร “เรารู้สึกว่า ผู้นำของเราไม่รักษาคำพูด เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ยังรักษาคำพูดไม่ได้ แล้วจะไปทำนโยบายที่ลงไปสู่ประชาชนอีก 60 ล้านคนได้อย่างไร”
ด้านนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค อนค.กล่าวถึงกรณีที่อดีตผู้สมัคร ส.ส.และสมาชิกพรรค 120 คนลาออกว่า เป็นสิทธิของสมาชิกทุกคน ไม่มีผลกระทบอะไรกับพรรค พรรคมีสมาชิก 60,000 คน ยืนยันจะเดินก้าวต่อไปข้างหน้าโดยให้ความสำคัญกับสมาชิก ไม่มีอะไรกังวลใจ “ไม่ได้ทำให้พวกเราหวั่นไหวสั่นคลอน ก็ขอเดินหน้าต่อ ให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์พวกเราว่า จะสร้างพรรคที่เข้มแข็งได้หรือไม่”
เป็นที่น่าสังเกตว่า อดีตผู้สมัคร ส.ส.ของพรรค อนค.หลายคนได้ออกมาแฉตัวตนที่แท้จริงของพรรคและแกนนำพรรค อนค. โดย ว่าที่ ร.ต.ฉัตรชัย แก้วคำปอด อดีตผู้สมัคร ส.ส.เขต 4 จ.อุบลราชธานี พรรค อนค. ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า "สมาชิกพรรค 60,000 คนนั้น ส่วนใหญ่เป็นสมาชิกรายปี ที่สมัครตอนปีที่แล้ว เพื่อรับรองพรรคและใช้ในการทำไพรมารี่โหวตผู้สมัคร ส.ส.เขต (ค่าสมัคร 100 บาท) ซึ่งจะหมดอายุช่วงเดือน ต.ค.-พ.ย.นี้ ลองเช็คอีกครั้งนะครับว่า สิ้นปีนี้ จะเหลือสมาชิก 60,000 คน เช่นเดิมหรือไม่ ยิ่งปีนี้เพิ่มค่าสมัครรายปีเป็น 200 บาท ก็พิจารณาดูแล้วกันครับ"
ขณะที่ ดร.ชาญวิทย์ ใจสว่าง (ดร.โจ) อดีตผู้สมัคร ส.ส.ชุมพร เขต 1 พรรค อนค.โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า "อนค.โกหกหลักการประชาธิปไตย ไม่ขยะ ก็สนิม มีค่าแค่นี้ สำหรับคนที่เห็นต่างจากอนาคตใหม่ ...ภาพก่อนหน้านี้ เห็นกันว่อนโซเชียล นั่งพื้น นอนเสื่อ กินข้าวช้อนกลางคันเดียว บางคราวลากแตะหูหนีบ สะพายผ้าขาวม้า ขึ้นเครื่องเดินทาง เหมือนไพร่หมื่นล้านเดินดินตัวจริง ตอนอยู่ข้างนอก ผมก็เห็น เหมือนที่คนนอกเห็น แต่พอเข้าข้างใน จึงรู้ว่า เป็นคนไม่เห็นหัวคนจริงๆ เขาคิดแต่กำไร ขาดทุน และผลประโยชน์เหนือสิ่งอื่นใด"
ดร.ชาญวิทย์ ยังโพสต์ต่ออีกว่า "ระบบชนชั้นข้างใน เป็นระบบอุปถัมภ์ เขาวางไว้หมดแล้ว และถูกนำมาแยกชั้นวรรณะอย่างจริงจัง หลังเลือกตั้งเป็นต้นมา จากสถานะผู้สมัคร ส.ส. ที่เคยเริ่มต้นเสมอกัน พอเปลี่ยนเป็นท่าน ส.ส. หลังการเลือกตั้ง พฤติกรรมพวกนี้ออกลาย เริ่มแยกและยกสถานะที่ต่างกันทันที ...ชนชั้นสูงถูกยกขึ้นสูงสุด ไขว่คว้าไม่ถึง โดยมีชนชั้น 2 ห้อมล้อม เป็นประภาคาร คอยสกัดกีดกันชนชั้น 3 ไม่ให้เฉียดเข้าไปใกล้โดยเด็ดขาด ชนชั้นสูงสุด นี่ละที่เรียกว่า “มติพรรค” เสมอมา กินความ แค่คน 5 คน ทอน บุต ช่อ และ 2 ตอ”
"...ผมเห็นบุคคลสองบุคลิกนี้ แล้วแทบไม่เชื่อว่านี่คือ พรรคที่จะสร้างประชาธิปไตย เริ่มต้นร่วมกันสร้างประชาธิปไตย แต่โครงสร้างถูกสร้างเป็นแท่ง “เผด็จการ” โดยบริหารจัดการกันแบบระบบอุปถัมภ์ห่อหุ้ม ผลลัพธ์ก็ต้องออกมาเป็นเผด็จการอย่างเดียว เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ ผมเห็นเป็นแค่ “กระสือการเมือง” ที่หาอุดมการณ์ทางการเมืองไม่เจอ เหมือนกระสือที่ล่องลอย แขนขา ตัวตนไม่มีอยู่จริง หลอกหลอนสร้างประชาธิปไตย กลับไปกลับมาได้ในคนคนเดียว ... คัดสรรอย่างดี แต่ทำไมหนอ ผลออกมา ได้เฉพาะเพื่อนชนชั้นสูง ทั้งข้างใน มาจากข้างนอก ทั้งคนที่ไม่เคยร่วมหล่อหลอมมาก่อน ทะลักเข้ามาเต็มไปหมด..."
“นี่หรือพรรคที่จะปราบคอรัปชั่นให้ประเทศ ในเมื่อข้างในแก้คอรัปชั่นตัวเองยังไม่ได้ นี่หรือพรรคจะเข้าไปแต่งตั้งโยกย้าย ขรก.อย่างเป็นธรรม ในเมื่อบริหารภายในด้วยระบบอุปถัมภ์ นี่หรือพรรคมีอุดมการณ์เดียวกัน จะสร้างประชาธิปไตย แต่ปกครองแบบเผด็จการ นี่หรือไพร่หมื่นล้าน จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจประเทศ ในเมื่อไทยซัมมิท ปิดพักกิจการ แก้ปัญหาพนักงานไทยซัมมิทให้เขาพ้นวิกฤตก่อนเถิดครับ กรรมาธิการงบฯ มีคนทำกันเยอะแล้ว ค่อยเป็นก็ได้ ในเมื่ออุดมการณ์ของพรรคคือร่วมกันอุ้มชูระบบเผด็จการ กีดกันการเห็นต่าง คงไว้ซึ่งระบบอุปถัมภ์ ซึ่งเป็นระบบที่เหนี่ยวรั้งการพัฒนาประเทศตลอดมา ย้อนแย้งในหลักการประชาธิปไตยของตัวเอง เราจึงหมดศรัทธากับความใจคดของคุณ"
ทั้งนี้ นอกจากเรื่องอดีตผู้สมัคร ส.ส.และสมาชิกพรรค อนค.แห่ลาออกกว่าร้อยคนแล้ว ยังมีประเด็นเรื่องการบริจาคเงินให้พรรค อนค.ด้วย โดยเมื่อวันที่ 28 ต.ค. นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้ยื่นคำร้องขอให้ กกต.ตรวจสอบกรณี น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคและกรรมการบริหารพรรค อนค. บริจาคเงินให้พรรค อนค.1 ล้านบาทเมื่อเดือน พ.ย.2561 ทั้งที่ตอนแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช. น.ส.พรรณิการ์มีทรัพย์สินไม่มาก มีเงินฝากเพียงหลักหมื่น ดังนั้นการที่ผู้มีทรัพย์สินเล็กน้อย แต่กลับมีเงินไปบริจาคให้พรรค 1 ล้าน จึงน่าสังเกตว่า เงินบริจาคดังกล่าวอาจไม่ใช่เงินส่วนตัว แต่เป็นเงินที่ได้มาจากผู้อื่น หรือได้มาโดยวิธีการอื่น จึงขอให้ กกต.สืบสวนหรือส่งเรื่องไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อสอบสวนว่าเงินดังกล่าวได้มาโดยวิธีการใด มีการเสียภาษีถูกต้องหรือไม่
นอกจากนี้ขอให้ตรวจสอบการบริจาคเงินให้พรรค อนค.ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค ที่บริจาค 10 ล้านให้พรรคเมื่อช่วงเดือน ต.ค.2561-ม.ค.2562 และนางรวิพรรณ ภรรยานายธนาธร บริจาคให้ อนค.7.2 ล้าน เนื่องจากบุคคลทั้งสองเป็นสามีภรรยากัน เปรียบเสมือนบุคคลเดียวกัน ดังนั้นการบริจาคเงินของบุคคลทั้งสองน่าจะถืว่าเป็นการบริจาคของบุคคลคนเดียวกัน จะถือว่าขัดต่อ พ.ร.บ.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 มาตรา 66 ที่กำหนดให้บุคคลสามารถบริจาคเงินให้พรรคการเมืองได้ไม่เกิน 10 ล้านบาทต่อปี อาจเป็นเหตุให้นำไปสู่การยุบการเมืองที่รับบริจาคได้
2.อัยการสั่งไม่ฟ้อง “อนันต์ อัศวโภคิน” อ้างไม่พบเอี่ยว “ศุภชัย” ฟอกเงิน ด้านดีเอสไอจ่อเห็นแย้ง!
เมื่อวันที่ 31 ต.ค. นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกอัยการสูงสุด เผยถึงกรณีที่สำนักงานอัยการคดีพิเศษ สั่งไม่ฟ้องคดีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ส่งสำนวนพร้อมความเห็นสมควรสั่งฟ้องนายอนันต์ อัศวโภคิน เจ้าของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชื่อดัง ร่วมกันกับนายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน คลองจั่น ฟอกเงิน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 ว่า คดีดังกล่าวทางสำนักงานอัยการคดีพิเศษ 4 ได้รับสำนวนจากดีเอสไอเมื่อวันที่ 15 ส.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งคณะทำงานสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 4 ได้พิจารณาสำนวนแล้ว มีความเห็นเสนอไปยังนายธนวรรษ ว่องไวทวีวงศ์ รองอธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ ซึ่งขณะนั้นรักษาการอธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษว่า สั่งไม่ฟ้องนายอนันต์ โดยนายธนวรรษเห็นพ้องกับคณะทำงานคดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ 4 คือ สั่งไม่ฟ้องนายอนันต์ ซึ่งปัจจุบัน สำนวนได้ถูกส่งกลับไปยังอธิบดีดีเอสไอเมื่อวันที่ 30 ก.ย.ที่ผ่านมา สำหรับขั้นตอนต่อไป อธิบดีดีเอสไอจะพิจารณาอีกครั้ง หากเห็นพ้องกับทางอัยการสั่งไม่ฟ้อง คดีก็จะยุติ แต่ถ้ามีความเห็นแย้งยืนยันควรฟ้องคดี สำนวนก็จะถูกส่งไปที่นายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ อัยการสูงสุด เพื่อชี้ขาดคดีว่าจะสั่งฟ้องหรือไม่
นายประยุทธ เผยเหตุผลที่อัยการสั่งไม่ฟ้องนายอนันต์ด้วยว่า คดีนี้เกิดจากการที่นายศุภชัยถูกกล่าวหาว่า มีการถ่ายโอนเงินจากสหกรณ์ฯ คลองจั่น โดยในภาพรวม เป็นการซื้อที่ดินทั้งหมด 3 แปลง จากบริษัท เอ็ม-โฮมเอสพิวี 2 โดยบริษัทดังกล่าวได้มีการทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน 3 แปลงที่ถูกกล่าวหาว่านำเงินสหกรณ์ฯ คลองจั่น มาซื้อในราคา 1,000 ล้านบาท และได้มีการวางมัดจำเบื้องต้น 321 ล้านบาทแล้ว ที่เหลือจะมีการผ่อนต่อ
แต่ปรากฏว่า นายศุภชัยไม่ชำระที่เหลือ ซึ่งที่ดินที่พิพาทดังกล่าวเป็นที่ดินที่ถูกบริหารจัดการภายใต้โครงการฟื้นฟูกิจการตามคำสั่งศาลของบริษัท เอ็ม-โฮมฯ และถูกเจ้าหนี้ทวงถาม จึงมีการนำที่ดินไปขายเพื่อนำเงินไปใช้หนี้ ทำให้นายศุภชัยยื่นฟ้องบริษัท เอ็ม-โฮมฯ เป็นคดีแพ่ง เพื่อบังคับตามสัญญาจะซื้อจะขาย สุดท้ายศาลแพ่งได้ให้มีการประนีประนอม และมีคำพิพากษาให้บริษัท เอ็ม-โฮมฯ โอนเงิน 321 ล้านบาทคืนให้กับนายศุภชัย เท่ากับว่าที่ดินแปลงนี้ไม่เคยโอนไปยังนายศุภชัย เงินสหกรณ์ฯ คลองจั่นที่นำมาซื้อที่ดินก็ได้โอนกลับคืนไปครบถ้วน ซึ่งต่อมา ได้มีการซื้อขายเปลี่ยนมือจนมาถึงนายอนันต์ และนายอนันต์มีการบริจาคเงินบางส่วนให้กับทางวัดพระธรรมกาย จนมาถูกกล่าวหาว่าร่วมกับนายศุภชัยฟอกเงิน ตรงนี้ทางอัยการสำนักงานคดีพิเศษจึงพิจารณาว่า ถ้าได้ความแบบนี้ ก็ไม่ใช่ประเด็นที่นายอนันต์จะไปสมคบกับนายศุภชัยฟอกเงิน
ผู้สื่อข่าวถามว่า เท่ากับว่านายอนันต์ไม่มีการรับรู้เรื่องที่ดินระหว่างนายศุภชัยกับบริษัท เอ็ม-โฮมฯ หรือ นายประยุทธ ตอบว่า จากข้อเท็จจริงที่ปรากฎในสำนวนที่อัยการสำนักงานคดีพิเศษพิจารณาเท่ากับว่า การทำสัญญาจะซื้อจะขายระหว่างนายศุภชัยกับบริษัท เอ็ม-โฮมฯ 3 แปลง 1,000 ล้านบาท นายอนันต์ไม่มีส่วนรู้เห็นใดๆ ทั้งสิ้น และประเด็นสำคัญในการประนีประนอมยอมความ คือ การคืนเงินทุกบาทให้กับสหกรณ์ฯ คลองจั่น เท่ากับว่าที่ดินแปลงนี้ไม่เคยเป็นของนายศุภชัยและสหกรณ์ฯ คลองจั่น กระบวนการที่มีการกล่าวหานายอนันต์ สมคบกับนายศุภชัยฟอกเงิน พยานหลักฐานในสำนวนไม่ได้เป็นอย่างนั้น ข้อเท็จจริงในสำนวนเฉพาะคดีนี้ สหกรณ์ฯ คลองจั่น ไม่ได้เกิดความเสียหายใดๆ ทั้งสิ้น
เมื่อถามว่า คำสั่งไม่ฟ้องนายอนันต์มาจากสำนักงานอัยการคดีพิเศษ ซึ่งขณะนั้น นายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ เป็นอธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ หากหลังจากนี้ อธิบดีดีเอสไอมีความเห็นแย้งกับอัยการกลับมา ความเห็นจะต้องถูกชี้ขาดโดยนายวงศ์สกุล ซึ่งปัจจุบันเป็นอัยการสูงสุดใช่หรือไม่ นายประยุทธ กล่าวว่า ขณะนั้น ผู้ที่สั่งไม่ฟ้องนายอนันต์ไม่ใช่นายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ แต่เป็นผู้ที่รักษาการแทน เนื่องจากขณะนั้น นายวงศ์สกุลไปราชการต่างประเทศ ประเด็นนี้จึงแยกจากกันชัดเจน
ทั้งนี้ วันเดียวกัน (31 ต.ค.) ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เผยถึงกรณีสำนักงานอัยการคดีพิเศษมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องนายอนันต์ว่า สำนวนคดีพร้อมความเห็นสั่งไม่ฟ้องนายอนันต์ของอัยการถูกส่งกลับมาที่สำนักงานดีเอสไอ และได้ส่งต่อไปให้กลุ่มงานความเห็นแย้งตรวจสอบ ขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบสำนวนว่า ประเด็นความเห็นมีข้อแตกต่างกันอย่างไร ก่อนเสนอให้ พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ พิจารณาอีกครั้ง ว่าจะเห็นพ้องหรือเห็นแย้งกับอัยการ
ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต เผยด้วยว่า ประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญในการตรวจสอบ เพื่อทำความเห็นแย้งไปยังอัยการสูงสุด มีทั้งประเด็นข้อกฎหมาย เจตนาในการใช้ชื่อไปถือครองที่ดินแทนพระธัมมชโย การรับซื้อที่ดินจากนายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์ฯ คลองจั่น ในราคาต่ำกว่าราคาประเมิน โดยเงินจากการขายที่ดินไม่ได้ถูกโอนไปให้พระธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย หรือมูลนิธิอุบาสิกาจันทร์หางนกยูงทั้งหมด แต่หักเข้ากระเป๋าไว้ 189 ล้านบาท นอกจากนี้ที่ดินแปลงดังกล่าวยังเกี่ยวพันกับการเทคโอเวอร์ บริษัท เอ็ม-โฮม เอสพีวี 2 ของนายศุภชัย ซึ่งเป็นความผิดฐานฟอกเงินอยู่ด้วย
3.ศาลฎีกาเลื่อนอ่านคำพิพากษาคดีล้มประชุมอาเซียน หลัง 3 แกนนำ นปช.กลับคำขอรับสารภาพ ด้าน “กี้ร์” พร้อมพวกยังหลบหนี!
เมื่อวันที่ 31 ต.ค. ศาลจังหวัดพัทยาได้นัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) นำกลุ่มคนเสื้อแดงบุกล้มการประชุมอาเซียน ที่โรงแรมรอยัล คลิฟ บีช รีสอร์ท เมืองพัทยา เมื่อวันที่ 11 เม.ย.2552 ซึ่งพนักงานอัยการจังหวัดพัทยาเป็นโจทก์ยื่นฟ้องจำเลย 17 คน ประกอบด้วย นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง, นายนพพร นามเชียงใต้, พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์, นายสมญศฆ์ พรมภา, นายนิสิต สินธุไพร, นายสำเริง ประจำเรือ, นายศักดา นพสิทธิ์, นายสิงห์ทอง บัวชุม,นายธนกฤต หรือวันชนะ ชะเอมน้อย หรือ เกิดดี, นายวรชัย เหมะ, นายพายัพ ปั้นเกตุ, นายวัลลภ ยังตรง, นายพิเชฐ สุขจินดาทอง, พ.ต.ต.เสงี่ยม สำราญรัตน์, นายสุรชัย แซ่ด่าน, นายธรชัย ศักดิ์มังกร และ พ.ต.อ.สมพล รัฐกาญจน์
ทั้งนี้ อัยการได้แจ้งข้อหาจำเลยหลายข้อหา คือ 1.ร่วมกันขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน ซึ่งสั่งให้เลิกการมั่วสุม 2.ข้อหาร่วมกันเดินแถวเป็นขบวนและกระทำด้วยประการใดๆ ในลักษณะที่เป็นการกีดขวางการจราจร 3.ร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจาหรือวิธีอื่นใด อันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ และมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึงขนาดที่ก่อให้เกิดความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร และเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน 4.มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองโดยเป็นหัวหน้า เป็นผู้มีหน้าที่สั่งการในการกระทำผิดนั้นและ 5.ร่วมกันบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์
ต่อมา ศาลชั้นต้นให้จำคุกจำเลย 12 คน เป็นเวลา 4 ปี โดยไม่รอลงอาญา และยกฟ้อง 2 คน คือ นายธรชัย และ พ.ต.อ.สมพล ทั้งนี้ ศาลให้พักคดีในส่วนของ พ.ต.ต.เสงี่ยม สำราญรัตน์ และนายสุรชัย แซ่ด่าน เนื่องจากหลบหนี ต่อมา ศาลอุทธรณ์พิพากษาจำคุกจำเลย 12 คน คนละ 4 ปี โดยไม่รอลงอาญา และยกฟ้องนายสมญศฆ์
กระทั่งวันที่ 11 ก.ย.ที่ผ่านมา ศาลฎีกาได้นัดอ่านคำพิพากษาคดีนี้ แต่ปรากฏว่า จำเลยมาศาลแค่คนเดียว คือ นายศักดา นพสิทธิ์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อชาติ จำเลยที่ 10 โดยศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ให้จำคุกจำเลย 12 คน คนละ 4 ปี โดยไม่รอลงอาญา และยกฟ้องนายสมญศฆ์ หลังศาลฎีกาพิพากษา นายศักดา ซึ่งเดินทางมาศาลเพียงคนเดียว ได้ถูกนำตัวไปคุมขังตามคำพิพากษาทันที
ขณะที่นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง และ นพ.วัลลภ ยังตรง ไม่ได้เดินทางมาศาลเมื่อวันที่ 11 ก.ย. โดยอ้างว่าป่วย และขอให้ศาลฎีกาเลื่อนอ่านคำพิพากษาออกไป แต่ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า อาการป่วยของจำเลยไม่ได้เป็นโรคร้ายแรง จึงไม่อนุญาตให้เลื่อนอ่านคำพิพากษา พร้อมออกหมายจับจำเลยทั้งสองเพื่อมาฟังคำพิพากษาในวันที่ 31 ต.ค.
ส่วน พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรรัตน์ ส.ส.กำแพงเพชร เขต 2 พรรคพลังประชารัฐ, นายสำเริง ประจำเรือ และนายวรชัย เหมะ อดีต ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ไม่ได้เดินทางมาศาลเมื่อวันที่ 11 ก.ย. เนื่องจากไม่ได้รับหมายเรียกที่ศาลแจ้งวันนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา ศาลจึงออกหมายเรียกให้มาฟังคำพิพากษาในวันที่ 31 ต.ค.เช่นกัน
ทั้งนี้ เมื่อถึงกำหนดนัดอ่านคำพิพากษาฎีกาอีกครั้ง (31 ต.ค.) ปรากฏว่า พ.ต.ท.ไวพจน์, นายสำเริง และนายวรชัย ได้เดินทางมาศาล ก่อนยื่นคำร้องขอถอนคำให้การปฏิเสธและขอให้การใหม่เป็นสารภาพ พร้อมยื่นคำร้องประกอบคำรับสารภาพทั้ง 3 คน และขอให้ศาลลงโทษสถานเบา ด้านศาลจังหวัดพัทยาพิจารณาแล้ว มีคำสั่งให้ส่งศาลฎีกาเพื่อพิจารณาสั่ง และได้รับแจ้งจากศาลฎีกาว่า ศาลฎีกาไม่สามารถทำคำสั่งให้แล้วเสร็จภายในวันเดียวกันได้ และขอเวลาทำคำสั่ง 15 วัน จึงให้เลื่อนไปและนัดอ่านคำพิพากษาให้จำเลยทั้ง 3 คนฟังอีกครั้งในวันที่ 3 ธ.ค.นี้ เวลา 10.00 น.
มีรายงานว่า เมื่อวันที่ 19 ก.ย. จำเลยในคดีนี้ 4 คน ที่ศาลพิพากษาจำคุก 4 ปี ได้เข้ามอบตัวต่อศาลจังหวัดพัทยาแล้ว ประกอบด้วย นายพายัพ ปั้นเกตุ, นายพิเชษฐ์ สุขจินดาทอง,นายสิงห์ทอง บัวชุม และนายนพพร นามเชียงใต้ ส่วนจำเลยอีก 4 คน อยู่ระหว่างหลบหนี คือ นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง, นายธนกฤต หรือวันชนะ ชะเอมน้อย หรือ เกิดดี, นพ.วัลลภ ยังตรง และนายนิสิต สินธุไพร
4.ไทยเตรียมยื่นสหรัฐฯ ทบทวนตัดจีเอสพี ด้าน “บิ๊กตู่” พร้อมคุย “ทรัมป์” บนเวทีอาเซียน วอนอย่าโยงเป็นปัญหาการเมือง!
จากกรณีที่สหรัฐฯ ได้ระงับสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (จีเอสพี) แก่สินค้าส่งออกบางประเภทจากไทย 573 รายการ โดยอ้างเหตุว่าไทยยังไม่สามารถยกระดับสิทธิแรงงานให้เทียบเท่ามาตรฐานสากล โดยจะเริ่มมีผลในวันที่ 25 เม.ย.2563 นั้น
เมื่อวันที่ 27 ต.ค. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ปัจจุบันสหรัฐฯ ให้จีเอสพีไทยรวมมูลค่า 1,800 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่ไทยใช้สิทธิแค่ 1,300 ล้านเหรียญสหรัฐ การตัดจีเอสพีครั้งนี้ ทำให้สินค้าไทยที่ส่งออกไปสหรัฐฯ ต้องจ่ายภาษีเพิ่มขึ้นปีละ 1,500-1,800 ล้านบาท จากเดิมที่ไม่ต้องเสียภาษี
นายจุรินทร์เผยเหตุที่สหรัฐฯ ตัดจีเอสพีไทยครั้งนี้ด้วยว่า เป็นประเด็นเรื่องแรงงาน ประเด็นสำคัญคือ สหรัฐฯ ต้องการให้ไทยเปิดโอกาสให้แรงงานต่างด้าวที่มาทำงานอยู่ในประเทศไทยสามารถตั้งสหภาพแรงงานได้ ซึ่งเรื่องนี้ทางกระทรวงแรงงานต้องเป็นผู้ให้ข้อเท็จจริง
นายจุรินทร์ยืนยันด้วยว่า การตัดจีเอสพีของสหรัฐฯ ไม่เกี่ยวกับที่ไทยแบน 3 สารเคมี พาราควอต ไกลโฟเซต และคลอร์ไพริฟอสเมื่อเร็วๆ นี้ โดยทางกระทรวงพาณิชย์ และหลายหน่วยงานของไทยได้ดูเอกสารแล้ว ได้ความว่า สหรัฐฯ มีความเห็น 2 ประเด็น 1.เขาแจ้งให้ทราบว่า การแบน 3 สารนี้ จะทำให้ประเทศไทยมีภาระในการต้องใช้สารชนิดอื่นมาชดเชยในปริมาณที่ทำให้ต้องมีรายจ่ายเพิ่มขึ้น 7 หมื่นล้านบาท ถึงกว่า 1 แสนล้านบาทต่อปี อันนี้คือข้ออ้างของสหรัฐฯ 2.เขามีความกังวลว่า สินค้าเกษตรของเขาที่ส่งออกมายังประเทศไทย เช่น องุ่น แป้งสาลี ข้าวสาลี พืชผลทางการเกษตรตัวอื่น ที่เขาใช้สารตัวใดตัวหนึ่ง หรือทั้ง 3 ตัวดังกล่าว เขายังจะสามารถส่งเข้ามาขายให้ไทยได้อีกหรือไม่ ซึ่งตนได้ส่งเอกสารดังกล่าวให้กรมการค้าต่างประเทศรับทราบแล้ว ซึ่งกรมฯ มีหน้าที่วิเคราะห์ประมวลรายละเอียดทั้งหมด แล้วส่งกลับมาที่ตนอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม นายจุรินทร์ กล่าวว่า แม้สหรัฐฯ จะตัดจีเอสพีไทย แต่ไทยยังสามารถอุทธรณ์ให้สหรัฐฯ ทบทวนใหม่ได้ ซึ่งหลายครั้งที่สหรัฐฯ ตัดจีเอสพีไทย เช่น ปี 2561 ไทยก็อุทธรณ์ไป เขาก็คืนมาให้ 7 รายการ และในปีนี้ก็จะยื่นอุทธรณ์ให้ทบทวนอีก
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีสหรัฐฯ ประกาศตัดจีเอสพีสินค้าบางรายการจากไทยว่า มีเวลาอีก 6 เดือน ต้องหาวิธีพูดคุยกันต่อไป กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงที่เกี่ยวข้องก็เดินหน้าปรึกษาเรื่องนี้ร่วมกัน “อย่าไปคาดเดาว่าเกี่ยวกับเรื่องนั้นเรื่องนี้ มันคนละเรื่อง อย่าให้เป็นปัญหาทางการเมืองอีก อย่าพูดให้ทุกอย่างเลวร้ายกว่าเดิม ...อย่างไรก็ตาม การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน หากพบกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ หรือผู้แทน จะหยิบยกเรื่องนี้มาพูดคุย”
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 29 ต.ค. พล.อ.ประยุทธ์ ได้เรียกประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) เป็นการด่วน เพื่อหาแนวทางรับมือกรณีสหรัฐฯ ตัดจีเอสพีสินค้าบางรายการจากไทย ซึ่งที่ประชุมได้มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงแรงงาน และกระทรวงพาณิชย์ หาช่องทางยื่นเรื่องให้สหรัฐฯ ทบทวนเรื่องนี้
เป็นที่น่าสังเกตว่า วันเดียวกัน (29 ต.ค.) นายไมเคิล ฮีธ อุปทูตรักษาราชการแทนเอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ได้เข้าพบนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีที่ ทำเนียบรัฐบาล หลังเข้าพบ นายไมเคิล ฮีธ กล่าวถึงกรณีสหรัฐฯ ตัดจีเอสพีสินค้าบางรายการจากไทยว่า เป็นเรื่องที่มีการตัดสินใจมานานแล้ว ไม่ได้เกิดขึ้นในช่วงนี้ และไม่ได้เกี่ยวข้องกับการแบน 3 สารพิษของไทย “จีเอสพีเป็นสิทธิพิเศษที่ไทยได้รับมานานกว่า 30 ปี แม้จะถูกตัดสิทธิไปแล้ว แต่ประเทศไทยก็ยังคงได้รับสิทธิพิเศษสูงที่สุดมากว่าประเทศใดในโลก ดังนั้นจะหารือกับทางรัฐบาลไทยในข้อกฎหมายต่างๆ ในเรื่องของแรงงานว่า จะดำเนินการร่วมกันอย่างไร และว่า การตัดสิทธิจีเอสพีมีผลกระทบไม่มาก ตัวเลขไม่เยอะ และกระบวนการนี้ยังไม่ถือว่าสิ้นสุด”
5.“แม่มณี” พร้อมแฟนหนุ่ม ถูก ตร.รวบแล้ว หลังหนีไปกบดานที่ชลบุรี เจ้าตัวอ้างไม่ได้โกง แค่ไม่ได้จ่ายดอกเบี้ยให้ลูกแชร์!
สัปดาห์ที่ผ่านมา 1 ในข่าวที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางและสร้างความเสียหายในวงกว้าง ก็คือ กรณีมีผู้ถูกหลอกให้เล่นแชร์แม่มณี และได้รับความเสียหายหลายพันราย โดยผู้เสียหายได้ทยอยเข้าแจ้งความดำเนินคดี น.ส.วันทนีย์ ทิพย์ประเวช หรือ “เดียร์” หรือ “แม่มณี” เน็ตไอดอล แม่ค้าขายตุ๊กตาออนไลน์ หลังหลอกให้เล่นแชร์ จนสูญเงินจำนวนมาก
ทั้งนี้ พฤติกรรมของ น.ส.วันทนีย์ จะหลอกให้ผู้เสียหายมาร่วมลงทุนเงินออมในลักษณะแชร์ลูกโซ่ โดยอ้างว่า ให้ผลตอบแทนสูงถึงร้อยละ 93 หลังผู้เสียหายหลงเชื่อ จะได้รับผลตอบแทนจริงในช่วงแรก แต่สุดท้ายจะไม่ได้รับเงินใดๆ อีก ซึ่งมีผู้เสียหายที่ถูกหลอกให้เล่นแชร์ดังกล่าวในหลายจังหวัด ทยอยเดินทางเข้าแจ้งความดำเนินคดี น.ส.วันทนีย์ ทั้งแจ้งความต่อตำรวจและยื่นเรื่องต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)
ต่อมา เมื่อวันที่ 29 ต.ค. พ.ต.อ.ภาดล จันทร์ดอน ผู้กำกับการ 5 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) เผยว่า ศาลได้ออกหมายจับ น.ส.วันทนีย์ หรือเดียร์ หรือแม่มณี อายุ 28 ปี และนายเมธี ชิณภา อายุ 20 ปี อาชีพรับจ้าง แฟนของ น.ส.วันทนีย์ แล้ว ในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ร่วมกันกู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลที่บิดเบือน หรือปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลอันเป็นเท็จ ซึ่งน่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน
ด้านนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เผยเมื่อวันที่ 31 ต.ค.ว่า ขณะนี้มียอดผู้เสียหายลงทะเบียนผ่านคิวอาร์โค้ดของดีเอสไอ 2,675 ราย รวมมูลค่าความเสียหายเบื้องต้น 756.26 ล้านบาทเศษ นอกจากนี้ยังมีผู้เสียหายที่เข้าแจ้งความที่ดีเอสไอทั้งสิ้น 300 ราย มูลค่าความเสียหาย 50 ล้านบาท ยังไม่รวมผู้เสียหายที่แจ้งความไว้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่อีกหลายจังหวัด ซึ่งจากการตรวจสอบหลักฐานของดีเอสไอและสอบปากคำพยาน พบว่า คดีมีผู้เสียหายเกิน 100 ราย และมูลค่าความเสียหายเกิน 100 ล้านขึ้นไป จึงได้รวบรวมหลักฐานเสนอให้คณะกรรมการกลั่นกรองพิจารณารับเป็นคดีพิเศษ ซึ่งคณะกรรมการฯ พิจารณาแล้ว จึงรับเป็นคดีพิเศษ
ด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจได้พยายามติดตามตัว น.ส.วันทนีย์และแฟนหนุ่ม หลังถูกศาลออกหมายจับ แต่ไม่พบตัว ไม่ว่าจะเป็นที่บ้านของบุคคลทั้งสองที่ จ.อุดรธานี ที่อาคารพาณิชย์ต่างๆ ที่เป็นอาณาจักรแชร์ออมเงิน-ออมทองของแม่มณี แต่ก็ไม่พบตัว
อย่างไรก็ตาม ล่าสุด เช้าวันนี้ (2 พ.ย.) ตำรวจปราบปราบอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) พร้อมชุดสืบสวนตำรวจภูธรภาค 2 ได้เข้าจับกุม น.ส.วันทนีย์ หรือแม่มณี พร้อมแฟนหนุ่ม ที่ห้องเช่าแห่งหนึ่งบริเวณ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ขณะกำลังจะหลบหนีหาที่กบดานใหม่
หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบปากคำ น.ส.วันทนีย์ พร้อมพาไปตรวจค้นหาหลักฐานเพิ่มเติม ได้นำตัวมาที่กรุงเทพฯ เพื่อขึ้นเครื่องบินตำรวจที่ บน.6 เดินทางไปยัง จ.อุดรธานี เพื่อส่งตัวไปดำเนินคดีที่ สภ.เมืองอุดรธานี ต่อไป
ด้าน พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เผยว่า เบื้องต้น น.ส.วันทนีย์ ให้การภาคเสธ โดยยอมรับว่า มีการให้ลูกแชร์มาออมเงินจริง แต่ตนไม่ได้โกง เพียงแต่ไม่ได้จ่ายดอกเบี้ยให้ลูกแชร์เท่านั้น ซึ่งเจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างสอบปากคำเพิ่มเติม ส่วนทรัพย์สินที่พบมีมูลค่าน้อยนั้น ตำรวจอยู่ระหว่างขยายผล