ข่าวปนคน คนปนข่าว
** ก้าวแรก “อนันต์ อัศวโภคิน” ศิษย์เอกธรรมกาย-ธัมมชโย พัวพันคดีฟอกเงินร่วม “ศุภชัย” สหกรณ์คลองจั่น ดูจะไม่เป็นไร อัยการสั่งไม่ฟ้อง แต่ก้าวต่อไป DSI จะให้คำตอบ?
หลังจากคดีล่วงเลยมานานเกือบสองปี ข่าวที่น่าจะทำให้ “เจ้าสัว” อนันต์ อัศวโภคิน เจ้าของอาณาจักร “แลนด์แอนด์เฮ้าส์” ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์หมื่นล้าน ศิษย์เอกธรรมกาย รุ่นก่อร่างสร้างตัวยิ้มออกได้บ้าง เหมือนได้อภินิหาร “หลวงปู่เค็ม” ช่วยไว้ในก้าวแรกของคดีฟอกเงินที่ดูจะปลอดภัย เพราะในความเห็นของอัยการ คือ สั่งไม่ฟ้อง
แต่เดี๋ยวก่อน...ก่อนที่ “อนันต์” จะยิ้มได้เต็มหน้า คงต้องดูก้าวต่อไปด้วยว่า “ดีเอสไอ” เจ้าของคดีจะว่าอย่างไร ...
เรื่องนี้ ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม บอกว่า คดีนี้ดีเอสไอสั่งฟ้อง “อนันต์” แต่เมื่อสำนักงานอัยการคดีพิเศษมีความเห็นไม่ฟ้องจึงส่งสำนวนกลับมาที่สำนักงานอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และได้ส่งต่อไปให้กลุ่มงานความเห็นแย้งตรวจสอบ
ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างตรวจสอบสำนวนว่าประเด็นความเห็นมีข้อแตกต่างกันอย่างไร ก่อนเสนอให้ “พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง” อธิบดีดีเอสไอ ที่เพิ่งได้ต่ออายุออกไปให้พิจารณาอีกครั้ง
ในชั้นนี้ ศิษย์เอกหมื่นล้านของธรรมกายต้องลุ้นคำตอบว่าจะออกทางใด
หากไม่มีความเห็นแย้ง คดีก็จะยุติลงในชั้นอัยการที่สั่งไม่ฟ้อง แต่ถ้าอธิบดีดีเอสไอมีความเห็นแย้ง ยืนยันว่าสมควรสั่งฟ้อง “อนันต์” สำนวนจะถูกส่งไปให้อัยการสูงสุดเป็นผู้พิจารณาชี้ขาด ซึ่งผลการพิจารณาของอัยการสูงสุดจะถือเป็นที่สุด เด็ดขาด
ย้อนมาดูกันสักนิดว่า “อนันต์ อัศวโภคิน” ไปพัวพันคดีฟอกเงินนี้ได้อย่างไร
“อนันต์” ซื้อที่ดิน เนื้อที่ 46 ไร่ 3 งาน 56.2 ตารางวา ซึ่งตั้งอยู่ที่ อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี มาจาก “ศุภชัย ศรีศุภอักษร” อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน คลองจั่น จำกัด ที่ได้นำเงินของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ไปซื้อมาทำธุรกรรมซื้อขาย เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2554 ในราคาไร่ละ 2 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 93,781,000 บาท
เรียกว่าขายถูกสุดสุด... เพราะราคาประเมินที่ดินขณะนั้นอยู่ที่ตารางวาละ 15,000 บาท ซึ่งหากคิดตามราคาประเมิน ที่ดินดังกล่าวจะต้องขายในราคาประมาณ 281 ล้านบาท...
ดังนั้น จึงเป็นการขายที่ดินให้กับอนันต์ในราคาที่ต่ำกว่าราคาประเมินถึง 3 เท่า อันทำให้บริษัท ซึ่งนั่นก็คือ สหกรณ์คลองจั่นฯ ได้รับความเสียหาย และไม่ปรากฏหลักฐานการจ่ายเงินจำนวนดังกล่าวแต่อย่างใด
ต่อมา “อนันต์” ได้ขายที่ดินแปลงที่ซื้อมาดังกล่าวนี้ต่อให้กับบุคคลอื่นในราคา 492 ล้านบาทเศษ เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. 58
จากนั้น “อนันต์” ได้นำเงินส่วนหนึ่งที่ได้จากการขาย ประมาณ 303 ล้านบาท บริจาคให้มูลนิธิคุณยายจันทร์ขนนกยูง ซึ่งมี “พระธัมมชโย” เป็นองค์อุปถัมภ์ ซึ่งมูลนิธิดังกล่าวเป็นผู้รับผิดชอบในการก่อสร้างถาวรวัตถุต่างๆ ในบริเวณมูลนิธิวัดพระธรรมกาย รวมถึงอาคารบุญรักษาด้วย
นอกจากนั้น ยังพบหลักฐานสำคัญว่า “ศุภชัย ศรีศุภอักษร” ได้ทำหนังสือฉบับลงวันที่ 23 ธันวาคม 2554 ซึ่งเป็นวันเดียวกันกับวันที่ไปทำสัญญาซื้อขายที่ดินฯ แสดงเจตนาถวายที่ดินโฉนด เลขที่ 31344 เนื้อที่ 46 ไร่ 3 งาน 56.2 ตารางวา ตั้งอยู่ที่ อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ของบริษัท เอ็มโฮมฯ ให้กับ “พระธัมมชโย” โดยศุภชัยจะเป็นผู้จัดซื้อที่ดินแปลงดังกล่าว และถวายให้พระธัมมชโย โดยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินในนามของอนันต์ ซึ่งพระธัมมชโย มอบหมายให้เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทน
ว่ากันว่าจุดที่เป็นปัญหาคือ มีแต่ลายมือชื่อของผู้อื่นในเอกสาร แต่ศุภชัยไม่ได้ลงชื่อ และไม่มีการดำเนินการตามหนังสือฉบับดังกล่าว ... สุดท้ายเป็นการดำเนินการผ่านการขายให้ “อนันต์” แทน ซึ่งพฤติกรรมตามที่ปรากฏในพยานเอกสาร และธุรกรรมการเงิน บ่งชี้ว่า เส้นทางเงินในการซื้อที่ดิน เริ่มต้นมาจากการยักยอกฉ้อโกงสหกรณ์คลองจั่น อีกทั้ง ยังไม่ใช่การซื้อขายแบบตรงไปตรงมาหรือไม่ ...เข้าข่ายการปิดบังอำพรางทรัพย์สินที่มีที่มาจากการกระทำความผิด
คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ จึงเห็นว่า มีพยานหลักฐานตามสมควรว่าอาจเป็นความผิดฐาน “สมคบกันและร่วมกันฟอกเงิน” ตามมาตรา 5, มาตรา 9 แห่ง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 จึงได้มีมติให้เรียกตัว “อนันต์ อัศวโภคิน” มารับทราบข้อกล่าวหาที่กรมสอบสวนคดีพิเศษในเวลาต่อมา
คดีมาถึงวันนี้ กำลังอยู่ที่กลุ่มงานความเห็นแย้ง ดีเอสไอ ยังไม่สามารถบอกได้ว่า ต้องใช้เวลานานแค่ไหน เพราะพิจารณาได้โดยไม่มีกรอบระยะเวลา ว่าจะต้องส่งไปยังอัยการเมื่อใด แต่ต้องอยู่ในอายุความ...
แว่วว่า ประเด็นที่ดีเอสไอต้องให้ความสำคัญในการตรวจสอบเพื่อทำความเห็นแย้งไปยังอัยการสูงสุด มีทั้งประเด็นข้อกฎหมาย เจตนาในการใช้ชื่อไปถือครองที่ดินแทน “พระธัมมชโย” การรับซื้อที่ดินจาก ศุภชัย ศรีศุภอักษร ในราคาต่ำกว่าราคาประเมิน และเงินจากการขายที่ดินไม่ได้ถูกโอนไปให้ พระธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย หรือ มูลนิธิอุบาสิกาจันทร์หางนกยูงทั้งหมด แต่หักเข้ากระเป๋าไว้ 189 ล้านบาท!
ไฮไลต์อีกอย่าง คือ อัยการสำนักงานคดีพิเศษที่มีความเห็นสั่งไม่ฟ้องคดีดังกล่าวนั้นอยู่ในช่วงที่ “วงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์” เป็นอธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ ปัจจุบัน “วงศ์สกุล” ได้รับแต่งตั้งเป็นอัยการสูงสุด
ก้าวต่อไปของ “อนันต์” ศิษย์โปรดของธัมมชโยจะเป็นอย่างไร โปรดติดตาม....
**มูลเหตุ “ยุบพรรคอนาคตใหม่” อาจเพิ่มอีกเรื่อง เมื่อเอกสารแจ้งยอดบริจาคของพรรค ระบุว่า “ช่อ” บริจาคให้ตั้ง 1 ล้าน แต่เมื่อไปตรวจเอกสารการเสียภาษี ภ.ง.ด.91 กลับพบว่า “ช่อ” บริจาคแค่ 500 บาทเท่านั้น
จากกรณีนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เข้ายื่นคำร้องต่อ กกต. ขอให้ตรวจสอบกรณีการบริจาคเงินเข้าพรรคอนาคตใหม่ของ “ช่อ” พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ จำนวน 1 ล้านบาท ช่วงก่อนการเลือกตั้ง (งวดเดือนพ.ย. 61) เนื่องจากเห็นว่า ในการแสดงบัญชีรายการทรัพย์สินหนี้สินต่อ ป.ป.ช.ของ “ช่อ” มีทรัพย์สินไม่มาก มีเงินฝากเพียงหลักหมื่น แต่กลับมีเงินไปบริจาคให้พรรคถึง 1 ล้านบาท จึงสงสัยว่าเงินบริจาคดังกล่าวอาจไม่ใช่เงินส่วนตัว แต่เป็นเงินที่ได้มาจากผู้อื่น หรือได้มาโดยวิธีการอื่น จึงขอให้ กกต.ดำเนินการสืบสวน หรือส่งเรื่องไปยัง ปปง.เพื่อตรวจสอบเส้นทางการเงินดังกล่าวว่าได้มาด้วยวิธีการใด มีการเสียภาษีถูกต้องตามกฎหมาย หรือไม่
ถ้าตรวจสอบแล้วพบว่า เงินดังกล่าวไม่ใช่ของ “ช่อ” หรืออาจเป็นเงินที่ได้มาโดยมิชอบ แล้วนำมาบริจาคให้พรรคการเมือง ก็จะผิด พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง มีโทษถึง “ยุบพรรค” ได้...
เรื่องนี้ “สำนักข่าวอิศรา” ได้ไปติดตามสืบค้น และได้ข้อมูลที่น่าสนใจซึ่งมีความขัดแย้งกันในตัว คือ ตามเอกสาร ภ.ง.ด.91 ปี 2561 “ช่อ” แจ้งยอดเงินอุดหนุนพรรคอนาคตใหม่ แค่ 500 บาทเท่านั้น ... แต่ทำไมเอกสารแจ้งยอดบริจาคของพรรคอนาคตใหม่ ช่วงเดือนพ.ย.61 กลับระบุว่า “ช่อ” บริจาคเข้าพรรคตั้ง 1 ล้านบาท!
ขณะที่ บัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินที่ “ช่อ” แจ้งต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กรณีเข้ารับตำแหน่งส.ส. เมื่อวันที่ 25 พ.ค. 62 ระบุว่า มีทรัพย์สิน ประมาณ 3.3 ล้านบาทเศษ โดยจำนวนนี้ เป็นเงินฝาก 4 บัญชี 9 หมื่นบาทเศษ มีหนี้สิน 7.1 แสนบาทเศษ
ล่าสุด (29 ต.ค.) “สำนักข่าวอิศรา” ได้ไปที่สำนักงาน ป.ป.ช.เพื่อตรวจสอบเอกสารประกอบ ในบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของ “ช่อ” ตามที่มีการแจ้งแบบแสดงภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.91) เมื่อปี 61 ระบุว่า มีรายได้รวม 843,008 บาท เป็นเงินเดือน ค่าจ้าง บำนาญฯ ทั้งหมด หักค่าใช้จ่าย 100,000 บาท หักรายการค่าลดหย่อน 225,458 บาท คงเหลือรายได้ 517,550 บาท คำนวณภาษีจากเงินได้สุทธิจำนวน 30,132 บาท หักภาษี ณ ที่จ่าย 36,884 บาท คงเหลือภาษีชำระเกิน 6,752 บาท
นอกจากนี้ ยังมีค่าอุปการะเลี้ยงดูบิดา มารดา 30,000 บาท เงินสะสมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 6,708 บาท ค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว 125,000 บาท เงินสมทบกอง ทุนประกันสังคม 3,750 บาท
จุดสำคัญคือ “ช่อ” ได้แจ้งขอคืนเงินภาษีที่ชำระไว้เกิน 6,752 บาทนั้น ได้ทำเครื่องหมายในช่องอุดหนุนหักเงินภาษีให้แก่พรรคอนาคตใหม่ (หมายเลขรหัส 177) จำนวน 500 บาทด้วย
กลายเป็นว่า...ข้อสงสัยที่ว่า “ช่อ” ก็ไม่ได้มีรายได้มากมายนัก แล้วเอาเงินจากไหนมาบริจาคให้พรรคตั้ง 1 ล้าน เป็นเงินของ “นายทุนพรรค” คนอื่นที่เอามาใส่ในชื่อของ “ช่อ” เพื่อเลี่ยงข้อกฎหมายที่ห้ามบริจาคให้พรรคเกิน 10 ล้านบาทหรือเปล่า ... แต่เมื่อตรวจสอบลึกลงไป กลับพบว่า “ช่อ” บริจาคเข้าพรรคแค่ 500 บาท... ตรงนี้เลยเป็นประเด็นที่ต้อง “พิสูจน์ข้อเท็จจริง” ซ้อนขึ้นมาอีก...
ก่อนหน้านี้ “ช่อ” พรรณิการ์ ก็มีคดีอยู่ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) อยู่แล้ว 2 คดี ...เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 (2)... นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะของประเทศ หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน จากการโพสต์เฟซบุ๊ก 2 โพสต์ เมื่อปี 56 และปี 57...ซึ่ง บก.ปอท.ได้ออกหมายเรียกให้ไปรับทราบข้อกล่าวหาในวันนี้ (1พ.ย.) แต่ “ช่อ” ได้ส่งทนายความไปขอเลื่อนออกไปก่อนซึ่งเป็นการขอเลื่อนครั้งที่ 2 แล้ว...
ถึงเวลานี้ ความผิดอันเป็นมูลเหตุที่อาจจะนำไปสู่การยุบพรรคอนาคตใหม่ นอกจากเรื่อง “ธนาธรถือหุ้นสื่อฯ-ธนาธรให้พรรคกู้ยืมเงิน” แล้วยังอาจมีเรื่อง “ช่อบริจาค 1 ล้าน” เพิ่มขึ้นมาด้วย.