ปิดฉากสัปดาห์นี้...ลองไปว่ากันเรื่อง “เบาๆ”แต่ก็อาจไม่ถึงกับ “สบายๆ” กันสักเท่าไหร่นัก นั่นก็คือเรื่องของลักษณะอาการความรุนแรงในหมู่คนหนุ่ม คนรุ่นใหม่ หรือประดาพวกวัยรุ่นทั้งหลาย ที่พวกฝรั่งเขาเรียกว่า “Youth Violence” อะไรประมาณนั้น ซึ่งไม่เพียงแต่ถือเป็น “ปัญหาทางสังคม” ของแต่ละสังคมเท่านั้น แต่ยังทำท่าว่าชักจะกลายเป็นปัญหาทางการเมืองเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ ชนิดแทบทำให้โลกทั้งโลกต้องตกอยู่ในเปลวเพลิงแห่งการประท้วง การใช้ความรุนแรง ไม่ว่าจะไล่มาตั้งแต่การประท้วงในฮ่องกง อิรัก เลบานอน ชิลี เอกวาดอร์ ไลบีเรีย กินี เม็กซิโก ฮอลแลนด์ ฝรั่งเศส สเปน ฯลฯ ซึ่งล้วนแล้วแต่มีบรรดาคนหนุ่ม คนรุ่นใหม่ หรือประดาวัยรุ่น เป็นกำลังหลัก ไปด้วยกันทั้งสิ้น...
โดยเฉพาะฮ่องกงนั้น...ต้องเรียกว่าหนักหนาสาหัสเอามากๆ ถึงกับส่งผลให้คอลัมนิสต์ “Global Times” สื่อทางการของจีน อย่าง “นายShi Tian” ต้องออกมาเสนอแนะไว้ในข้อเขียน บทความ เมื่อช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ว่าด้วยเรื่อง “Preventing youth violence should be part of Hong Kong reforms” หรือการป้องกันการใช้ความรุนแรงในหมู่วัยรุ่น ควรถือเป็นส่วนหนึ่งของ “การปฏิรูปฮ่องกง” เอาเลยถึงขั้นนั้น เพราะเมื่อเจอกับภาพกุมารฮ่องกงวัยเพียงแค่ 19 ปีเท่านั้นเอง คว้าเอามีดออกมาแทงคอเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือกุมารอายุแค่ 12 ปีเท่านั้นเอง คว้าท่อนเหล็กออกมาไล่ทุบ ไล่บี้ ไม่ว่าเจ้าหน้าที่หรือปุถุชนคนธรรมดาที่ถือเป็นฝ่ายตรงข้าม ระหว่างการประท้วงเพื่อเสรีภาพ เพื่อประชาธิปไตย หรือเพื่ออะไรก็แล้วแต่ ชนิดยืดเยื้อยาวนานไม่รู้กี่ต่อกี่สิบสัปดาห์เข้าไปแล้ว ก็ยังไม่คิดจะยุติ และไม่คิดจะผ่อนคลายความรุนแรงลงไปเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าใครก็ใครต่างก็ “มึนซ์ซ์ซ์” ไปด้วยกันทั้งสิ้น...
หรือเมื่อเจอกับตัวเลข ข้อมูลสถิติที่หัวหน้าเลขานุการคณะบริหารฮ่องกง “นายMatthew Cheung Kin-chung” ออกมาเปิดเผยรายละเอียดเอาไว้ทำนองว่า ในจำนวนผู้ประท้วงที่ถูกทางการจับกุมประมาณ 2,379 คน เป็นเด็กวัยรุ่นที่อายุต่ำกว่า 18 ปีจำนวนถึง 750 คน เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปี ถึง 104 คน หรือยังเป็นแค่เด็กนักเรียนจำนวนถึง 38 เปอร์เซ็นต์ของบรรดาผู้ที่ถูกจับกุมคุมขัง ซึ่งล้วนแล้วแต่ออกลักษณะหนักไปทาง “แดง-ไม่แดง...ขอให้แรงเข้าว่า” ไปด้วยกันทั้งสิ้น...
ไม่ต่างไปจากอิรัก เลบานอน ช่วงนี้...ที่เจ้าหน้าที่ผู้รักษาความสงบเรียบร้อย หนีไม่พ้นต้องควักเอาอาวุธจริง กระสุนจริง ออกมายิงใส่ผู้ประท้วงตายกันไปแล้วนับเป็นสิบศพ ร้อยศพ ก็เนื่องมาจากบรรดาผู้ประท้วงที่หนักไปทางวัยรุ่นซะเป็นหลัก ล้วนแต่พร้อมจะใช้ความรุนแรงไม่ต่างอะไรไปจากบรรดากุมารฮ่องกงนั่นเอง ชนิดอาจต้องถือเป็นคุณลักษณะหรือโทษลักษณะของบรรดาคนหนุ่ม คนรุ่นใหม่ หรือประดาวัยรุ่นทั้งหลาย ซึ่งปรากฏให้เห็นไปแทบจะทั่วทั้งโลกเอาเลยก็ว่าได้ จนสำนักข่าวต่างประเทศ อย่าง “รัสเซีย ทูเดย์” ต้องออกมาตั้งคำถามไว้รายงานว่าด้วยการประท้วงของคนหนุ่ม คนสาว ซึ่งกำลังแพร่สะพัดไปทั่วทั้งโลก ถึงขั้นว่า “World in flames : why are protest raging around the Globe?” ดังที่เคยนำมาเล่าสู่กันฟังไปบ้างแล้ว...
โดยอันที่จริงแล้ว...องค์กรระหว่างประเทศ อย่าง “องค์การอนามัยโลก” หรือ “WHO” (World Health Organization) เขาก็ดูจะให้ความสนใจ ให้ความสำคัญกับเรื่องทำนองนี้มานานพอสมควร หรือตั้งแต่เมื่อ 3-4 ปีที่แล้ว ชนิดถึงกับลงทุนไปศึกษา ค้นคว้า สำรวจวิจัยหาสาเหตุ หาหนทางแก้ไขกันอย่างเป็นระบบ และให้ข้อสรุปไว้ในรายงานการศึกษาเมื่อช่วงปี ค.ศ. 2016 ประมาณว่า “การใช้ความรุนแรงในหมู่วัยรุ่นเป็นปัญหาสาธารณะที่นับวันจะทวีความสำคัญยิ่งขึ้นเรื่อยๆ” เพราะโดยตัวเลขสถิติของ “WHO” นั้น เขาพบว่า จำนวนคดีฆาตกรรมในหมู่วัยรุ่น หรือในบรรดาเด็กๆ อายุตั้งแต่ 10-29 ปีนั้น นับวันมีแต่จะเพิ่มกับเพิ่ม หรือมีจำนวนถึง 43 เปอร์เซ็นต์ของคดีฆาตกรรมในโลกในแต่ละปี ยิ่งโดยเฉพาะการใช้ความรุนแรงบังคับ ข่มขู่ ขืนใจเพื่อให้ได้มาซึ่งการตอบสนองอารมณ์ความรู้สึกตัวเอง จากเอกสารรายงาน “WHO Multi-country study on women’s health and domestic violence” พบว่า บรรดาเด็กผู้หญิงที่ตกเป็น “เหยื่อความรุนแรง”ของเด็กชาย ของวัยรุ่น หรือถูกบังคับ ข่มขืน ให้มีเซ็กซ์ครั้งแรก มีจำนวนพุ่งขึ้นไปถึงเกือบ 24 เปอร์เซ็นต์ เอาเลยถึงขั้นนั้น...
แต่จะด้วยเหตุเพราะรายงานการศึกษาวิจัยเหล่านี้...มันอาจดูหนักไปทางปัญหาด้านสังคม หรือสุขภาพ หรือไม่ อย่างไร ก็มิอาจทราบได้ เลยไม่ค่อยมีผู้ให้ความสนใจ ให้ความสำคัญมากมายสักเท่าไหร่ แม้ว่า “WHO” เขาจะเตือนเอาไว้แล้วล่วงหน้าว่า มันอาจก่อให้เกิด “ปัญหาสาธารณะ” อันอาจกลายเป็นปัญหาทางการเมืองขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ เพราะนอกเหนือไปจาก “ความรุนแรง” ที่มีสาเหตุมาจากเรื่องระบบการศึกษา สภาพแวดล้อม การเลี้ยงดู ฯลฯ อันเป็นเรื่องที่พอรู้ๆ กันอยู่แล้ว แต่ในรายงานการศึกษา วิจัยอีกชิ้นหนึ่งขององค์กรอย่าง “The American Psychological Association” หรือ “APA” ที่เพิ่งสรุปเอาไว้เมื่อช่วงเดือนกันยายนปี ค.ศ. 2019 นี่เอง ที่ได้ให้ภาพของความรุนแรงในหมู่วัยรุ่น อันที่มาจากสาเหตุบางประการซึ่งออกจะแปลกใหม่ไปกว่าสิ่งที่พอรู้ๆ กันอยู่แล้ว และเป็นอะไรที่น่าคิด น่าสะกิดใจเอามากๆ...
นั่นคืออาการความรุนแรงที่เนื่องมาจาก “การป่วยทางจิต” (Mental Illness) ซึ่งกำลังแพร่ระบาดและแฝงฝังอยู่ในหมู่เด็กๆ ที่เกิดมาใหม่ๆ หรือเด็กที่ต้องเติบโตขึ้นมาใน “โลกแห่งเทคโนโลยี” ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นอาการที่เรียกกันว่า “Hyperactive Disorder” (ADHD) หรือที่เรียกๆ กันว่า “โรคสมาธิสั้น” อะไรประมาณนั้น อาการ 2 บุคลิก หรือ “Bipolar” ไปจนถึงอาการที่เรียกว่า “Oppositional defiant disorder” (ODD) หรือจะเรียกว่า “โรคดื้อ” “โรคต่อต้าน” ที่มักแสดงออกด้วยอาการฝ่าฝืน ไม่ชอบทำตามคำสั่งของใครต่อใครก็แล้วแต่ ซึ่งมักปรากฏให้เห็นในหมู่เด็กๆ เริ่มตั้งแต่อายุ 6-8 ปี โดยถ้าหากคิดจะไปควบคุมบังคับขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็ต้องเจอกับความแปรปรวนทางอารมณ์ เจอกับการโกรธง่าย โมโหง่าย เจอกับความหงุดหงิดอันตั้งอยู่บนพื้นฐานความไม่มั่นใจในตัวเอง และความรู้สึกไม่มั่นคงต่อสภาวะรอบข้าง...ฯลฯ
ที่น่าสนใจเอามากๆ ก็คือ...อาการที่ว่านี้ มันไม่ได้ที่มาแต่เฉพาะเรื่องของระบบการศึกษา การเลี้ยงดู หรือเพราะสภาพแวดล้อมใดๆ แต่เพียงล้วนๆ แต่ยังมีที่มาจาก “ระบบพันธุกรรม” จาก “ภาวะเซลล์ประสาททำงานผิดปกติ” หรือจาก “ภาวะสารเคมีในร่างกายไม่สมดุล” ฯลฯ อันเป็นสิ่งที่บรรดานักวิทยาศาสตร์จำนวนไม่น้อย เคยเตือนๆ เอาไว้นานแล้วว่า มันอาจมีที่มาจากบรรดาอุปกรณ์เครื่องมือ เครื่องใช้ ที่เกิดจากบรรดาเทคโนโลยีทั้งหลายนั่นเอง ไม่ว่าอินเทอร์เน็ต โทรศัพท์มือถือ ไอพอด ไอแพด ไอกระด๊อกกระแด๊กแต่ละประเภท ที่ไม่เพียงแต่ทำให้สมองเกิดการหลั่งสารบางอย่าง ที่เรียกว่า “Albumin” ออกมาสู่ร่างกาย ยังก่อให้เกิดแรงกระตุ้นโมเลกุลภายในเซลล์แต่ละเซลล์ จนทำให้การทำงานของยีนแต่ละตัวภายในร่างกายมนุษย์เกิดความเปลี่ยนแปลง อีกทั้งเป็นความเปลี่ยนแปลงที่สามารถส่งต่ออาการต่างๆ ไม่ว่าอาการสมาธิสั้น ออทิสติก อัลไซเมอร์ อาการวิตกจริต ความทรงจำเลอะเลือน ฯลฯ ไปยังระบบพันธุกรรมได้อีกต่างหาก...
จริง-ไม่จริง...ก็คงต้องไปตรวจสอบกันเอาเอง แต่การที่บรรดาคนหนุ่ม คนรุ่นใหม่ หรือประดาวัยรุ่นทั้งหลาย ได้หันมาใช้ความรุนแรงหนักยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ในการแสดงออกทางสังคม เศรษฐกิจ ไปจนถึง “การเมือง” จนแทบทั้งโลกต้อง “ตกอยู่ในเปลวเพลิง” ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ สิ่งเหล่านี้...คงต้องเก็บเอาไปคิดเป็นการบ้านกันทั่วทุกๆ ประเทศนั่นแล...