xs
xsm
sm
md
lg

สงครามน้ำลายในคาบสมุทรเกาหลี

เผยแพร่:   โดย: โสภณ องค์การณ์

<b>เกาหลีเหนือทดลองยิงขีปนาวุธ</b>
สงครามน้ำลายเกทับบลัฟแหลกยังไม่จางระหว่างผู้นำสหรัฐฯ และเกาหลีเหนือในด้านแสนยานุภาพนิวเคลียร์ ความพร้อมในการทำสงครามด้วยกำลังอาวุธจะนำไปสู่การลงมือฆ่าฟันกันเต็มรูปแบบหรือไม่ ถ้ามี จะสร้างหายนะมากแค่ไหน

ไม่มีใครรู้! ถ้าจะประเมินความใจกล้าบ้าบิ่น ผู้นำเกาหลีเหนือ คิม จองอึน มีแน่นอน จะเต็มร้อยหรือไม่เมื่อต้องเสี่ยงกับความย่อยยับของประเทศ ถ้าตนเองเป็นฝ่ายเริ่มต้นยิงก่อน แล้วโดนัลด์ ทรัมป์ ตอบโต้แบบเดียวกันหรือใส่แบบไม่ยั้ง

สภาวะตอนนี้เหมือนทั้งทรัมป์และคิมขาโจ๋ สนุกกับการเล่นสงครามน้ำลายทำให้ชาวเกาหลีใต้และญี่ปุ่นหายใจไม่ทั่วท้อง ทั้งคู่จ้องตากันเขม็ง ไม่กะพริบ ใครหลบตาก่อนถือว่าใจไม่ถึง โดนจับไต๋ว่าลักไก่ ไม่แน่จริง แค่นี้ก็ถือว่าชนะแล้ว

การรบยุคนี้ต่างจากช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งจบลงเพราะสหรัฐฯ มีระเบิดปรมาณูเพียงเจ้าเดียว ถล่มญี่ปุ่น 2 ลูก แน่นอนญี่ปุ่นไม่อยากโดนแบบเดียวกันซ้ำระเบิดนิวเคลียร์มีอานุภาพร้ายแรงกว่าที่ถล่มฮิโรชิมา นางาซากิหลายเท่านัก

ด้วยเหตุนี้ ญี่ปุ่นจึงเตรียมใช้จรวดแพทริออตยิงสกัดขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ ถ้าจะยิงใส่เกาะกวมหรือข้ามเกาะญี่ปุ่นตามแผนของแม่ทัพชั้นยอดของเกาหลีเหนือที่จะเสนอให้ผู้นำคิม ขาโจ๋พิจารณาช่วงกลางเดือนนี้ คือใน 2-3 วันนี้

นายพลชั้นแนวหน้าของเกาหลีเหนือวางแผนจะยิงขีปนาวุธ 4 ลูกเข้าใส่ผืนน้ำรอบเกาะกวมซึ่งเป็นดินแดนของสหรัฐฯ ห่างออกไปจากญี่ปุ่น แต่ยังไปไม่ถึงรัฐฮาวาย ยังไม่แน่นอนว่าท่านผู้นำคิมของเกาหลีเหนือ จะสั่งยิงขีปนาวุธเมื่อไหร่

คำขู่ของทรัมป์ที่ว่าจะส่งไฟประลัยกัลป์และความพิโรธสุดๆ แบบโลกนี้ไม่เคยได้ประสบไปให้ผู้นำเกาหลีเหนือได้รู้ถึงความรุนแรง อาจทำให้คิม ขาโจ๋ต้องคิดมากกว่าที่เคยทำ บรรดาขุนพลทั้งหลายคงไม่อยากเสี่ยงต่อการถูกโจมตีด้วย

แต่ทั้งทรัมป์และคิมยังไม่ยอมลดราวาศอกในสงครามน้ำลาย เกทับกันไปมา ทำให้ชาวเกาหลีใต้และญี่ปุ่นกินไม่ได้ นอนไม่หลับ เพราะทั้ง 2 ประเทศมีทหารสหรัฐฯ ประจำการอยู่แห่งละ 2 หมื่นคน เป็นเป้าหมายของอาวุธเกาหลีเหนือ

หน่วยงานประชาสัมพันธ์บนเกาะกวมได้ประกาศให้ประชาชนเตรียมพร้อมเพื่อรับมือกับการโจมตีด้วยขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ ซึ่งอาจเกิดขึ้นในอีกไม่นานนี้

ผู้อำนวยการซีไอเอ รีบออกตัวว่าสถานการณ์ปัจจุบันยังไม่ร้ายแรงมากถึงขั้นจะลงมือโจมตีกันในเร็ววัน แต่ก็ไม่มีใครรับประกันได้ เพราะต่างฝ่ายก็รอให้อีกฝ่ายลงมือก่อน จะใส่แบบไม่ยั้ง สหรัฐฯ ยังต้องคิดหน้าคิดหลัง แม้ได้คุยโวไม่หยุด

แต่คำพูดที่สามารถลดระดับความร้อนแรงมาจากบทความเห็นร่วมกันในหนังสือพิมพ์เดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัลวันก่อน โดยคนสำคัญในรัฐบาลสหรัฐฯ คือรัฐมนตรีต่างประเทศ เร็กซ์ ทิลเลอร์สัน และรัฐมนตรีกลาโหมเจมส์ แมททิส

เป็นจุดยืนร่วมกันของรัฐมนตรีระดับสำคัญ ที่มีต่อภัยคุกคามโดยเกาหลีเหนือ และได้ระบุชัดเจนว่าสหรัฐฯ ต้องการรณรงค์กดดันเชิงสันติให้คาบสมุทรเกาหลีอยู่ในสภาพปลอดอาวุธนิวเคลียร์ โดยไม่ต้องการถึงขั้นเปลี่ยนรัฐบาล

“เราไม่ต้องก่อภัยอันตรายต่อประชาชนของเกาหลีเหนือซึ่งได้ประสบความทุกข์ยาก ลำบากแสนสาหัสมายาวนานด้วยน้ำมือของรัฐบาลเกาหลีเหนือ” และบ่งย้ำว่าที่ผ่านมานั้นการใช้ยุทธศาสตร์ว่าด้วยการอดทนได้ประสบภาวะล้มเหลว

“จากนี้ไปสหรัฐฯ จะใช้แนวนโยบายใหม่ เป็นยุทธศาสตร์ซึ่งจะเน้นความรับผิดชอบ” ทั้ง 2 รัฐมนตรีระบุในบทความ แสดงให้เห็นว่าสหรัฐฯ จะไม่บุ่มบ่ามใช้กำลังอาวุธแทนการหาทางออกเพื่อลดความตึงเครียดของสถานการณ์เผชิญหน้า

มีเสียงเรียกร้องให้รัฐบาลจีนได้แสดงบทบาทในการเหนี่ยวรั้งผู้นำเกาหลีเหนือ และโน้มน้าวให้ก้าวไปสู่โต๊ะการเจรจายึดหลักสันติภาพ ให้เกาหลีเหนือเลือกเส้นทางสู่สันติภาพ ความเจริญรุ่งเรือง และการยอมรับของประชาคมโลก

อีกทางเลือก คือการดึงดันของเกาหลีเหนือจะนำไปสู่ความยากจน การถูกโดดเดี่ยว ขณะเดียวกันผู้นำเกาหลีใต้ ประธานาธิบดี มูน แจ อิน ก็ได้เรียกร้องให้ผู้นำเกาหลีเหนือเลือกหนทางที่ถูกต้อง หลังจากการประชุมกับคณะที่ปรึกษา

รัฐบาลจีนได้ประกาศว่าข้อห้ามนำเข้าสินค้าแร่ธาตุต่างๆ และอาหารทะเลจากเกาหลีเหนือจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันอังคารที่ 15 เดือนนี้ ซึ่งต่อเนื่องจากมาตรการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือโดยคณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติ

ช่วงเวลาแห่งความตึงเครียดของสถานการณ์ ประธานคณะเสนาธิการร่วมของกองทัพสหรัฐฯ พลเอกโจเซฟ ดันฟอร์ด ได้ไปเยือนฐานทัพอากาศโอซานวันจันทร์เพื่อให้คำมั่นแก่ผู้นำทหารเกาหลีใต้ว่าสหรัฐฯ จะรักษาพันธสัญญาเต็มที่

พลเอกดันฟอร์ด ได้รับรองว่าสหรัฐฯ ยังมีมาตรการอื่นพร้อมในกรณีที่การดำเนินการด้านการทูตและมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจเกาหลีเหนือไม่เป็นผลตามเป้า และยังจะกดดันจีนให้หาทางจัดการเกาหลีเหนือให้อยู่ในร่องในรอย

ดันฟอร์ดยังจะไปเยือนญี่ปุ่นและจีน เพื่อหารือถึงวิกฤตในคาบสมุทรเกาหลี นั่นแสดงให้เห็นว่าแม้ทรัมป์จะออกอาการกร้าวห้าวฮึกเหิม แต่ผู้นำทหารและนักการทูตยังหาทางไม่ให้เกิดสงคราม จะได้ผลหรือไม่ต้องดูท่าทีของคิมด้วย
กำลังโหลดความคิดเห็น