xs
xsm
sm
md
lg

Weekend Focus: โลกระทึก! “คิม” ขู่ยิงจรวดเฉียด “เกาะกวม” “ทรัมป์” โอ่คลังแสงนิวเคลียร์พร้อมขยี้ “โสมแดง”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ และผู้นำ คิม จอง อึน แห่งเกาหลีเหนือ
สถานการณ์บนคาบสมุทรเกาหลีทวีความตึงเครียดหนักในสัปดาห์นี้ เมื่อผู้นำโสมแดงประกาศจะยิงขีปนาวุธถล่มเป้าหมายใกล้ “เกาะกวม” ซึ่งเป็นที่ตั้งฐานทัพขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ หลังถูกประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ขู่สั่งสอนด้วย “ไฟและเพลิงแค้น” ชนิดที่โลกไม่เคยพบเห็นมาก่อน ขณะที่หลายฝ่ายออกมาเตือนสหรัฐฯ ว่า การใช้ถ้อยคำยั่วยุตอบโต้เกาหลีเหนือนั้นไม่คุ้มที่จะเสี่ยง

ทรัมป์ ยื่นคำขู่ต่อเกาหลีเหนือเมื่อวันอังคาร (8 ส.ค.) ว่า สหรัฐฯ พร้อมจะบดขยี้โครงการนิวเคลียร์โสมแดงด้วย “ไฟและเพลิงแค้น” โดยคำแถลงนี้ถูกประกาศเพียงไม่กี่ชั่วโมง หลังจากหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์อ้างรายงานจากหน่วยข่าวกรองว่า เปียงยางอาจพัฒนา “หัวรบนิวเคลียร์ย่อส่วน” สำเร็จแล้ว

หลังถ้อยแถลงของผู้นำสหรัฐฯ ถูกประกาศไม่นานนัก สื่อเกาหลีเหนือก็รายงานว่า เปียงยางกำลังพิจารณายิงขีปนาวุธพิสัยกลาง “ฮวาซอง-12” ไปโจมตีเป้าหมายใกล้ๆ ฐานทัพทางยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ บนเกาะกวม ซึ่งปฏิบัติการดังกล่าวจะเกิดขึ้น “เมื่อใดก็ได้” หากผู้นำ คิม จอง อึน มีคำสั่งลงมา

ในขณะที่จีนและชาติพันธมิตรของสหรัฐฯ ต่างแสดงความกังวลกับท่าทีของ ทรัมป์ แต่แล้วผู้นำฝีปากกล้าของอเมริกาก็ทวีตข้อความยั่วยุอีกครั้งในเช้าวันพุธ (9) โดยอวดว่าสหรัฐฯ มีคลังแสงนิวเคลียร์ที่ “ทรงอานุภาพยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา”

“คำสั่งแรกของผมในฐานะประธานาธิบดีก็คือ ปรับปรุงคลังอาวุธนิวเคลียร์ของเราให้ทันสมัย และเวลานี้มันก็แข็งแกร่งและทรงพลังยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา ผมหวังว่าเราจะไม่ต้องนำแสนยานุภาพเหล่านี้ออกมาใช้ แต่รับรองได้ว่าจะไม่มีวันใดที่สหรัฐฯ ไม่ใช่มหาอำนาจเบอร์ 1 ของโลก!” ทรัมป์ ระบุ

ทรัมป์ เริ่มหันมาแสดงท่าทีข่มขู่เกาหลีเหนือมากขึ้น หลังโสมแดงประสบความสำเร็จในการยิงทดสอบขีปนาวุธพิสัยไกลข้ามทวีป (ICBM) ถึง 2 ครั้งในเดือน ก.ค. ซึ่งทำให้แผ่นดินสหรัฐอเมริกาเสี่ยงภัยจากอาวุธนิวเคลียร์เกาหลีเหนืออย่างจริงจังเป็นครั้งแรก โดยก่อนหน้านี้ วอชิงตันย้ำมาโดยตลอดว่าต้องการคลี่คลายวิกฤตการณ์บนคาบสมุทรเกาหลีด้วยการทูตมากกว่าปฏิบัติการทางทหาร

เกาะกวมซึ่งเป็นผืนดินขนาดเล็กเพียง 210 ตารางกิโลเมตร กลางมหาสมุทรแปซิฟิก มีทหารอเมริกันอยู่ราว 6,000 นาย และยังเป็นจุดประจำการทรัพย์สินทางยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ ทั้งเครื่องบินทิ้งระเบิดพิสัยไกล เครื่องบินทหาร และเรือดำน้ำ ซึ่งมักจะถูกส่งไปยังคาบสมุทรเกาหลีอยู่บ่อยๆ เพื่อโชว์แสนยานุภาพของอเมริกา

เกาะแห่งนี้ถือเป็นเป้าหมายที่ง่ายต่อการจู่โจม หากผู้นำเกาหลีเหนือคิดที่จะพิสูจน์ความเป็นมหาอำนาจนิวเคลียร์

เร็กซ์ ทิลเลอร์สัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ซึ่งเดินทางเยือนไทย ฟิลิปปินส์ และมาเลเซียในสัปดาห์นี้ ได้แวะพักที่เกาะกวมก่อนมุ่งหน้ากลับสหรัฐฯ ในวันพุธ (9) และให้สัมภาษณ์ว่า “ประธานาธิบดี ทรัมป์ ต้องการสื่อสารในภาษาเดียวกับที่ คิม จอง อึน ใช้ เพราะดูเหมือนว่าเขาจะไม่เข้าใจภาษาการทูต”

ทิลเลอร์สัน ระบุด้วยว่า ตนไม่คิดว่าจะมีภยันตรายใดๆ เกิดขึ้นกับเกาะกวมหรือเป้าหมายอื่นๆ ในสหรัฐฯ ในระยะเวลาอันใกล้ และเชื่อว่ามาตรการกดดันทางการทูตจะยังใช้ได้ผล

เช้าวันพฤหัสบดี (10) เกาหลีเหนือได้ออกมาโต้คารมกับสหรัฐฯ อีกครั้งด้วยการวิจารณ์ ทรัมป์ ว่าเป็นชายที่ “ไม่รู้จักเหตุผล” พร้อมเผยรายละเอียดเกี่ยวกับแผนโจมตีเกาะกวมในช่วงกลางเดือน ส.ค. โดยระบุว่า จรวด 4 ลูกของเกาหลีเหนือจะข้ามผ่านจังหวัดชิมาเนะ ฮิโรชิมา และโคจิของญี่ปุ่น และจะตกลงสู่ทะเลห่างจากเกาะกวมประมาณ 30 - 40 กิโลเมตร คิดเป็นระยะทางรวมทั้งสิ้น 3,356.7 กิโลเมตร โดยใช้เวลาเดินทางทั้งหมด 17 นาทีกับอีก 45 วินาที

แม้จะถูกข่มขู่ถึงขั้นนี้ แต่ผู้ว่าการเกาะกวมยืนยันว่าไม่มีภัยคุกคามเพิ่มขึ้น และมองว่าการที่เกาหลีเหนือประกาศแต่เนิ่นๆ ว่าจะยิงจรวดในช่วงกลางเดือน ส.ค. แสดงให้เห็นถึง “ความหวาดกลัว” ของพวกเขาเอง

แม้ศักยภาพที่แท้จริงของเกาหลีเหนือจะยังเป็นที่ถกเถียง แต่ผู้เชี่ยวชาญทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่า โครงการอาวุธของเปียงยางก้าวหน้าไปมากภายใต้การนำของ คิม จอง อึน
ภาพกราฟฟิกแสดงที่ตั้งเกาะกวมของสหรัฐฯ ซึ่งอยู่ห่างจากเกาหลีเหนือประมาณ 2,100 ไมล์
กองทัพโสมแดงยิงจรวด ICBM ลูกแรกในวันที่ 4 ก.ค. ซึ่งตรงกับวันชาติสหรัฐฯ โดยผู้นำคิมยกให้มันเป็นของขวัญสำหรับพวก “คนเลวอเมริกัน” ขณะที่นักวิเคราะห์ประเมินว่าจรวดลูกนี้มีพิสัยเดินทางไกลถึงรัฐอะแลสกา

จรวด ICBM ลูกที่ 2 ถูกยิงในคืนวันศุกร์ที่ 28 ก.ค. และพุ่งแหวกอากาศไปไกลยิงกว่าลูกแรก ครั้งนี้ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าแม้แต่ “รัฐนิวยอร์ก” ที่อยู่ทางตะวันออกของสหรัฐฯ ก็อยู่ในรัศมีโจมตีด้วย

สัปดาห์นี้ หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ได้ตีแผ่บทวิเคราะห์จากสำนักงานข่าวกรองกลาโหม (Defense Intelligence Agency) ซึ่งระบุว่าเกาหลีเหนืออาจมีหัวรบนิวเคลียร์สำหรับติดตั้งบนขีปนาวุธแล้ว และอาจครอบครองระเบิดนิวเคลียร์ถึง 60 ลูก ซึ่งมากกว่าที่ผู้เชี่ยวชาญเคยประเมินเอาไว้

กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ยังไม่ให้ความเห็นเกี่ยวกับรายงานชิ้นนี้ แต่วอชิงตันโพสต์ระบุว่า เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ 2 คนที่ทำงานคลุกคลีกับผลวิเคราะห์ได้ยืนยันข้อสรุปอย่างกว้างๆ ขณะที่ซีเอ็นเอ็นก็ออกมายืนยันข้อมูลเช่นกัน

ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่เคยคาดการณ์ว่าเกาหลีเหนือยังต้องใช้เวลาอีก 2-3 ปีเป็นอย่างน้อยในการพัฒนา ICBM ติดหัวรบนิวเคลียร์ แต่การคำนวณนี้ถูกหักล้างไปโดยสิ้นเชิงเมื่อเปียงยางนำจรวด ICBM ออกมายิงทดสอบเมื่อเดือน ก.ค. ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ผู้นำคิมแสดงให้โลกรู้ว่าพวกเขามีศักยภาพก้าวไกลถึงขั้นนี้

อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์บางคนเชื่อว่าเกาหลีเหนือยังต้องแก้ไขปรับปรุงเทคโนโลยีในการปกป้องจรวดให้สามารถทนกับความร้อนสูงขณะกลับสู่ชั้นบรรยากาศโลก เนื่องจากชิ้นส่วน “re-entry vehicle” ของจรวด ICBM ลูกที่สองที่ยิงเมื่อวันที่ 28 ก.ค. ดูเหมือนจะทำงานล้มเหลว

คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติได้มีมติเป็นเอกฉันท์สนับสนุนมาตรการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือระลอกใหม่เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ ซึ่งจะทำให้รัฐบาลโสมแดงสูญเสียรายได้ถึงปีละ 1,000 ล้านดอลลาร์ โดยคราวนี้แม้แต่จีนซึ่งเคยใช้สิทธิ์วีโตปกป้องเกาหลีเหนือมาโดยตลอดก็ยังยอมสนับสนุนบทลงโทษที่สหรัฐฯ ร่างขึ้น

แม้มาตรการคว่ำบาตรของยูเอ็นจะเป็นชัยชนะทางการทูตสำหรับอเมริกา แต่หลายประเทศก็ยังไม่เห็นด้วยที่ ทรัมป์ จะกระพือความตึงเครียดด้วยการเปิดสงครามน้ำลายกับ คิม จอง อึน โดยจีนนั้นเตือนให้สหรัฐฯ หลีกเลี่ยง “คำพูดและการกระทำ” ที่จะทำให้สถานการณ์ย่ำแย่ลง ขณะที่เยอรมนีระบุว่ากำลังติดตามถ้อยแถลงของทั้ง 2 ฝ่ายด้วยความกังวล
ฮวาซอง-14 ซึ่งเป็นขีปนาวุธพิสัยไกลข้ามทวีป (ICBM) รุ่นแรกของเกาหลีเหนือ

กำลังโหลดความคิดเห็น