ผู้จัดการสุุดสัปดาห์ - ปฏิบัติการตัดท่อน้ำเลี้ยงธรรมกาย หลังสอย อนันต์ อัศวโภคิน แห่งแลนด์ แอนด์ เฮาส์ ร่วง ก็ถึงคิว เจ้าสัวใหญ่ บุญชัย เบญจรงคกุล เจอถูกเรียกสอบกรณีรุกป่าสงวนแห่งชาติป่าควนโต๊ะหลาและป่าแหลมซำ ต.คลองเคียน อ.ตะกั่วทุ่ง จ.พังงา ตามติดด้วยการยึดที่ดิน นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ ซึ่งล้วนถือเป็นก๊วนทุนขาใหญ่เครือข่ายธัมมชโย วัดธรรมกาย ทั้งสิ้น
เป็นชะตากรรมที่เหมือนจะรู้ตัวกันล่วงหน้าอย่างที่ นายอนันต์ อัศวโภคิน บอกว่า คิวต่อไปหลังจากตนเองก็คือ นายบุญชัย ไม่ผิดไปจากที่คาดการณ์ไว้ โดยบุญกุศลที่ทุ่มทุนก้อนโตให้กับวัดจานบินไม่อาจช่วยเหลืออะไรได้
กรณีของนายบุญชัยนี้ ถูกจับตามองมาโดยตลอดในฐานะนายทุนใหญ่หนุนธรรมกาย ซึ่งปรากฏตัวในงานอีเว้นท์สำคัญของวัดเสมอๆ ปะเหมาะพอดีกับที่เครือข่ายกลุ่มอันดามัน ได้ร้องเรียนไปยังกระทรวงยุติธรรม ว่า มีการบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าควนโต๊ะหลาและแหลมซำ เรื่องก็เลยเข้าทาง
หลังรับเรื่องร้องเรียน กระทรวงยุติธรรม จึงสั่งการไปยังกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ลงพื้นที่เข้าตรวจสอบ ซึ่งเป้าหมายนอกจากการทวงคืนผืนป่าแล้ว ก็คือ การค้นหารังซ่อนตัวของพระธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ผู้ต้องหาหนีหมายจับคดีฟอกเงินและรับของโจร ซึ่งเชื่อมโยงจากคดีทุจริตสหกรณ์เครดิตยูเนียนคลองจั่น
การลงพื้นที่เข้าตรวจสอบเมื่อวันที่ 9 มิ.ย. 2560 ที่ผ่านมา ทีมดีเอสไอ นำโดยพ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดี พร้อมด้วย พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร พ.ต.ท.ประวุธ วงส์สีนิล รองอธิบดี ร่วมกับ พ.ต.ท.มนตรี บุณยโยธิน ผู้บัญชาการสำนักคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งทีมเจ้าหน้าที่ป่าไม้ นำโดย นายศุภชัย สุกใส ผู้อำนวยการส่วนป้องกันและปราบปรามภาคใต้ เจ้าหน้าที่ทหาร และทัพเรือภาคที่ 3 กองทัพเรือ
โดยเข้าตรวจค้นบ้านพักตากอากาศหรู จำนวน 2 หลัง ตั้งอยู่บนยอดเขาเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าเขาโต๊ะหลา และเขาแหลมซำ บ้านตีเตะ บ้านเจ้าขั้ว ต.คลองเคียง อ.ตะกั่วทุ่ง จ.พังงา ตั้งอยู่บน น.ส.3 ก. เลขที่ 1281 เลขที่ดิน 14 67 และพื้นที่ น.ส.3 ก.ตามระวาง ที่ดินหมายเลข 4625 แผนที่ 50 เลขที่ดิน 12 13 14 15 18 19 21 22 23 24 28 66 67 68 ตามแผนที่สังเขป เนื่องจากมีข้อสงสัยว่ามีการบุกรุก ยึดถือ ครอบครอง ทำประโยชน์ ก่อสร้าง หรืออยู่อาศัย และออกเอกสารสิทธิโดยมิชอบ
แม้การตรวจค้นในวันดังกล่าว จะไม่พบร่องรอยของอดีตเจ้าอาวาสวัดธรรมกาย แต่บ้านพักหรูบนสันเขาเป็นชนวนให้เกิดการสืบสาวราวเรื่องถึงที่มาที่ไป และเป็นเหตุให้ดีเอสไอ ต้องขอเชิญเจ้าสัวบุญชัย เข้าให้ปากคำต่อเจ้าพนักงานสอบสวน กระทั่งเรียกเสียงกรี๊ดจากภรรยาสาวสวย “ตั๊ก บงกช” ในท่วงทำนอง “ผัวข้าใครอย่าแตะ” ก่อนจะเงียบเสียงลง และลบข้อความบนเฟซบุ๊กที่โพสต์ข้อความจวกดีเอสไอและร้องต่อ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้ช่วยตรวจสอบเพราะเชื่อว่าผัวตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด
“อย่าหยาบคาย หลักฐานต้องมีถึงมาพูดได้ อย่ายัดเยียดข้อหา โดยใช้ตำแหน่ง คุณบุญชัย ไม่เคยเอาเงินใครไปทำบุญ เงินทุกบาททุกสตางค์ คุณบุญชัยหามาเอง แล้วจะทำบุญก็เรื่องของคุณบุญชัย DSI เอาผิดคนขายที่มั้ย ทำไมไม่ลงชื่อ ราชการที่เอาที่มาให้ขายง่ายๆ คุณบุญชัยเป็นคนที่คนรู้จัก ข่าวเลยง่ายต่อการเขียนชื่อคุณบุญชัยคนเดียว แล้วความยุติธรรมอยู่ไหน
“นายกฯ คะ ตั๊กขอช่วยตรวจสอบทีว่าเป็นการทำให้ประชาชนเสียชื่อรึเปล่า (เราเชื่อว่าคุณบุญชัยไม่ได้ฟอกเงินแน่นอน หลักฐานมีการซื้อขายชัดเจนอย่าโยง อย่าว่าตามคนอื่น คนสร้างชื่อเสียงมา ต้องมาเจอแบบนี้เหรอ แล้วร่วมด้วยช่วยกัน มูลนิธิสำนึกรักบ้านเกิดล่ะ คุณบุญชัยทำอะไรให้สังคมตั้งเยอะเคยลงข่าวมั้ย คอมเมนต์อย่าหยาบคายสนุกปาก ข่าวเสนอข่าวอยากให้คนกดเข้าไปดู แต่ก็นึกถึงจรรยาบรรณด้วยว่าคนด้วยกันจะเสียหายมั้ย กรรมมันจะไปตกกับลูกหลานนะคะ ปล.อย่าคอมเมนต์โดยไม่รู้อะไรจริงๆ หาก DSI รู้จริง แถลงสิคะ อย่าให้ข่าวเขียนให้เราเน่าฝ่ายเดียว จากแม่ลูกอ่อน บงกช ###แชร์ด้วยค่ะ ใครก็ได้ อย่าให้เราถูกว่าอยู่ฝ่ายเดียว”
นอกจากนั้น “ตั๊ก-บงกช” ยังเข้าไปคอมเมนต์ใต้โพสต์ดังกล่าวด้วยว่า “อย่ากล่าวหาคนเพียงแค่อ่านข่าว อย่าว่าคนอื่นเพียงแค่สนุกปาก คดียังไม่จบ อย่าว่าใครผิดถูก พอทางเราจะเอาผิด ก็เห็นมาขอโทษ ก็ต้องให้อภัยทุกที DSI คะ คุณชอบโยงตลอด คุณมีหลักฐานฟอกเงินเหรอคะ หลักฐานอะไรก็ไม่มี เอาผิดคนขายมั้ย คนที่เอาที่มาขายให้ ทางเรามีโฉนด มีหลักฐาน เวลาไปยื่นให้นักข่าวมาถ่ายหลักฐานเราด้วยสิคะ ปล.อย่าหยาบคาย คดีส่วนคดี แต่พูดจาให้ร้าย หมิ่น ก็ฟ้องกลับได้เกือบทุกคอมเมนต์นะคะ”
ปฏิบัติการผัวข้าใครอย่าแตะที่เชื่อว่าไม่ได้ปรึกษาใคร เป็นการยอมรับว่า ที่ดินผืนนี้มีเจ้าสัวบุญชัยเป็นเจ้าของจริงๆ
ภรรยาสาวสวยของเจ้าสัวบุญชัย คงไม่ได้ติดตามคดีอย่างใกล้ชิด จึงไม่ทราบว่า จากการสืบสวนของดีเอสไอ พบว่า มีการสร้างบ้านพักขนาดใหญ่ จำนวน 2 หลัง ตั้งอยู่บนสันเขา สามารถมองเห็นจังหวัดภูเก็ต และพังงา มีการสร้างถนนส่วนบุคคล เชื่อมต่อกับทางหลวงแผ่นดินระยะทาง 2.8 กิโลเมตร เพื่อใช้เดินทางเข้าออกบ้านพัก และจากการตรวจสอบของดีเอสไอ ยังพบว่า บริเวณตัวบ้าน และบริเวณข้างเคียงเดิมมีการออกเอกสาร น.ส.3 ก. เลขที่ 1281 แปลงเดียว เนื้อที่ 39 ไร่ ครอบคลุมพื้นที่ภูเขาทั้งลูก ต่อมาได้มีการแบ่งแยกเป็น 14 แปลงหลัก และได้มีการรวมแปลงและแบ่งแยกที่ดินออกไปอีกจำนวนหลายแปลง
จากการตรวจสอบของดีเอสไอ ยังพบว่า เป็นการออกเอกสารสิทธิ์โดยการเดินสำรวจในช่วงปี 2520 โดยไม่มีหลักฐานของที่ดินเดิม และอ้างว่าปลูกสวนผลไม้มาประมาณ 33 ปี แต่จากการอ่านแปลวิเคราะห์ภาพถ่ายทางอากาศ พบว่า ในปี พ.ศ.2510 และพ.ศ.2519 พื้นที่ดังกล่าวมีสภาพเป็นป่า 100% ไม่พบร่องรอยการทำประโยชน์ จึงเป็นการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ อีกทั้งกฎกระทรวงฉบับที่ 5 ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 ห้ามออกเอกสารสิทธิในที่เขาหรือภูเขา และในเขตที่สงวนหวงห้ามของรัฐ การออก น.ส.3 ก ฉบับดังกล่าว จึงเป็นการออกโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ผู้ที่ครอบครองจึงอยู่ในฐานะของผู้ที่บุกรุกที่ดินของรัฐ ป่า และป่าสงวนแห่งชาติ
ดีเอสไอ ยังระบุอีกว่า ผู้ที่บุกรุกขอออกเอกสารสิทธิที่ดินแปลงดังกล่าว เป็นกลุ่มผู้มีอิทธิพล นายทุน ตลอดจนเจ้าหน้าที่รัฐ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการออกเอกสารสิทธิ ในการสืบสวนดีเอสไอ พบว่าเป็นนายทุนรายใหญ่ที่มีฐานะร่ำรวยในระดับต้นๆ ของภูเก็ต มีพฤติการณ์ในการบุกรุกที่ดินของรัฐในพื้นที่ จ.ภูเก็ต และ จ.พังงา หลายแปลง และร่ำรวยจากการค้าขายที่ดินที่ออกโดยมิชอบด้วยกฎหมาย อีกทั้งยังมีคดีความอยู่กับดีเอสไอ ทั้งที่อยู่ในชั้นศาลและอยู่ระหว่างดำเนินคดี ซึ่งทางดีเอไอ จะบังคับใช้มาตรการทางกฎหมายและมาตรการด้านกฎหมายฟอกเงิน เข้าไปดำเนินการอย่างเต็มรูปแบบกับบุคคลดังกล่าวต่อไป และยืนยันว่ามีหลักฐานเพียงพอที่จะกล่าวหาเอาผิด
นักธุรกิจเศรษฐีที่ดินภูเก็ตและพังงาที่วิ่งออกเอกสารสิทธิ และขายต่อไปให้ศิษย์เอกธรรมกายนั้นเป็นใคร “ผู้จัดการรายวัน 360 องศา” ได้รับการเปิดเผยจากแหล่งข่าวระดับสูงกรมสอบสวนคดีพิเศษ ว่าจากการตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับที่ดินแปลงนี้ พบว่ามีกลุ่มนายทุนนักธุรกิจชื่อดังในจังหวัดภูเก็ต เป็นคนยื่นขอออกเอกสารสิทธิ คือกลุ่มของ “นายธวัช ตันติพิริยะกิจ” ได้ขอออก น.ส.3 ก.มาตั้งแต่เมื่อปี 2520 โดยได้ร่วมมือกับปลัดจังหวัดพังงาในสมัยนั้น ซึ่งต่อมาได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดหนึ่งในพื้นที่อันดามัน และเจ้าหน้าที่ที่ดินบางคน
คฤหาสน์หลังงามที่ปรากฏชื่อเจ้าสัวบุญชัยครอบครอง โดยตั้งอยู่ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าควนโต๊ะหลาและป่าแหลมซำ ต.คลองเคียน อ.ตะกั่วทุ่ง จ.พังงา
การขอออกเอกสารสิทธิในครั้งนั้น ใช้วิธีการเดินสำรวจ โดยไม่มีหลักฐานอื่นมายื่น ซึ่งจริงๆ แล้วตามกฎหมายก็ไม่สามารถที่จะขอออกเอกสารสิทธิในพื้นที่ที่เป็นภูเขาได้ แสดงให้เห็นว่าการออกเอกสารสิทธิที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นการออกไม่ชอบด้วยกฎหมาย ภายหลังจากที่ออกเอกสารสิทธิ น.ส.3 ก.ได้สักระยะหนึ่ง ได้มีการแบ่งแยกที่ดินเป็นหลายแปลง และขายต่อให้กับบริษัทที่นายธวัช มีหุ้นอยู่ และขายต่อๆ กันมาจนปัจจุบันมีการสร้างบ้านหรู โดยมีอดีตภรรยาของเจ้าสัวคนดังเป็นเจ้าของบ้านหลังดังกล่าว โดยซื้อในนามของนอมินี
นายธวัช ตันติพิริยะกิจ หรือ “โกถ้อง” เป็นนักธุรกิจเป็นที่รู้จักในสังคมภูเก็ต หนึ่งในกลุ่มธุรกิจของเมืองใหม่กรุ๊ป ทำธุรกิจเหมืองแร่เหมือนๆ กับตระกูลเศรษฐีอื่นๆ ในภูเก็ต ที่บ้านเมืองใหม่ อ.ถลาง สวนยางพาราและรับซื้อยางพารา เป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ และธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยได้ร่วมลงทุนกับบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่จากส่วนกลาง ลงทุนโครงการแรกเป็นบ้านจัดสรรโครงการใหญ่และมีชื่อเสียงตั้งอยู่ในพื้นที่ตำบลฉลอง อ.เมือง จ.ภูเก็ต เมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านมา และปัจจุบันได้ขยายไปอีกหลายโครงการในพื้นที่ตำบลฉลองและเกาะแก้ว
นายธวัช ถือว่าเป็นเศรษฐีภูเก็ตคนหนึ่ง ที่มีแลนด์แบงก์อยู่ในมือหลายๆ แปลง ทั้งใน ภูเก็ต พังงา เช่น ในพื้นที่ฉลอง บ้านเมืองใหม่ จ.ภูเก็ต เขาหลัก เกาะยาวกว่า 500 ไร่ ที่ดินที่ทำธุรกิจบ่อทราย อ.ท้ายเหมือง จ.พังงา กว่า 100 ไร่ ทั้งสองแปลงนี้ถูกดีเอสไอ เข้าตรวจสอบและดำเนินคดีตามกฎหมายทั้งที่อยู่ในชั้นศาลและตรวจสอบ ซึ่งที่ดินที่มีปัญหาถูก ดีเอสไอตรวจสอบนั้น เป็นที่ดินแปลงสวยติดชายทะเล โดยกว้านซื้อมาจากชาวบ้าน จากนั้นก็มาดำเนินการยื่นขอออกเอกสารสิทธิที่ดิน เป็น นส.3 ก.หรือโฉนด และอีกหลายๆ แปลง
ปฏิบัติการเด็ดปีกเครือข่ายทุนธรรมกายของดีเอสไอเพื่อกู้คืนชื่อเสียงของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ยากนักที่ “โกถ้อง” จะไม่ติดร่างแหไปด้วย
ส่วนเจ้าสัวบุญชัย เป้าหมายใหญ่ในปฏิบัติการครั้งนี้ พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ย้ำชัดว่า คดีบุกรุกพื้นที่ป่าเป็นคดีแนบท้ายกฎหมายของดีเอสไอ สามารถรับเป็นคดีพิเศษได้โดยไม่ต้องขอให้คณะกรรมการคดีพิเศษมีมติรับคดี หลังจากรับเป็นคดีพิเศษขั้นตอนต่อไปจะเรียกผู้เกี่ยวข้องเข้ามาให้ข้อมูล รวมทั้งนายบุญชัย เบญจรงคกุล นักธุรกิจชื่อดังด้วย
ดีเอสไอ ยังจะขยายผลการตรวจสอบพื้นที่แปลงข้างเคียงที่อยู่รอบพื้นที่ของบ้าน 2 หลังดังกล่าว คาดว่าจะมีพื้นที่นับ 1,000 ไร่ จะทยอยสืบสวนสอบสวนและรับเป็นคดีพิเศษต่อไป
เจ้าสัวบุญชัย จะโดนแค่ไหน แพลมมาจาก พ.ต.ท.ประวุธ วงศ์สีนิล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ว่า “...ทราบผู้ที่เกี่ยวข้องหมดแล้ว ทั้งบริษัทผู้ถือครอง ผู้ซื้อที่ดิน หลักฐานการซื้อขาย รวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างนายบุญชัย และอาจจะทำเรื่องคดีฟอกเงินด้วย”
“.... นายบุญชัย เป็นผู้ที่เคยซื้อที่ดินตรงนี้ แต่ปัจจุบันพบว่านายบุญชัย ให้อดีตภรรยาเป็นผู้ถือครองที่ดิน เพราะจากการสอบสวนผู้ดูแลบ้าน บอกว่าแต่เดิมเป็นของนายบุญชัย ต่อมามอบให้อดีตภรรยา และเผอิญว่าใช้ชื่อบริษัทหนึ่งเข้ามาถือครองแทน จึงต้องเรียกผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดมาชี้แจง” รองอธิบดี ดีเอสไอ ตอบสื่อต่อคำถามที่ว่าจะเชิญนายบุญชัย มาชี้แจงด้วยหรือไม่
นอกจากนายทุนใหญ่ธรรมกายอย่างนายอนันต์ อัศวโภคิน และนายบุญชัย เบญจรงคกุล แล้ว อีกคนที่เจอเข้าเต็มเบอร์ในเวลาไล่เลี่ยกันก็คือ นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ ลามไปถึงมูลนิธิมหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง ซึ่งได้รับเงินบริจาคจากนายอนันต์ อัศวโภคิน ซึ่งซื้อขายที่ดินที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงินของอดีตผู้บริหารสหกรณ์คลองจั่น อีกด้วย
งานนี้มีถ้อยแถลงมาจากฟากของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เมื่อวันที่ 13 มิ.ย. 2560 โดยพล.ต.อ.ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล เลขาธิการ ปปง. เปิดเผยถึงผลการประชุมคณะกรรมการธุรกรรม ครั้งที่ 11/2560 เรื่องที่สำนักงาน ปปง. ได้รับการประสานงานจากดีเอสไอ ให้ตรวจสอบธุรกรรมและทรัพย์สินของนายศุภชัย ศรีศุภอักษร กับพวก เกี่ยวกับพฤติกรรมการกระทำความผิดเกี่ยวกับการยักยอกเงินของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด ในการนำไปลงทุนซื้อที่ดินและหุ้นของบริษัท เอ็ม-โฮม เอสพีวี 2 จำกัด โดยผิดข้อระเบียบ ข้อบังคับ และวัตถุประสงค์ของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น
ผลจากการรวบรวมพยานหลักฐานและตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินดังกล่าว พบว่า เมื่อปี 2552 นายศุภชัย ศรีศุภอักษร ประธานกรรมการสหกรณ์ฯ ในขณะนั้น ยักยอกเงินของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด นำไปลงทุนซื้อสิทธิในการซื้อขายที่ดินใน อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี และ หุ้นของบริษัท เอ็ม-โฮม เอสพีวี 2 จำกัด โดยผิดข้อระเบียบ ข้อบังคับ และวัตถุประสงค์ของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ด้วยวิธีสั่งจ่ายเช็คจำนวน 11 ฉบับ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 321,400,000 บาท
จากนั้น ในปี 2554 บริษัท เอ็ม-โฮม เอสพีวี 2 จำกัด ได้แบ่งขายโฉนดที่ดินให้กับ นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ ซึ่ง นายบรรณพจน์ ได้ทำสัญญาให้นิติบุคคลภายนอกเช่าที่ดินเมื่อปี 2559 ดังนั้น ที่ดินดังกล่าวรวมทั้งสิทธิเรียกร้องตามสัญญาเช่าที่ดิน จึงเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดที่ถูกเปลี่ยนสภาพมาหลายครั้ง ซึ่งทรัพย์สินดังกล่าวจึงเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดตามมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542
ปปง. จึงมีมติอายัดทรัพย์สินที่มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด จำนวน 2 รายการ ได้แก่ 1. ที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 165233 เนื้อที่ดิน 11 ไร่ 1 งาน 93.1 ตารางวา อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี พร้อมสิทธิเรียกร้องตามสัญญาเช่าที่ดินดังกล่าว และ 2. ที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 161424 เนื้อที่ดิน 3 งาน 32.5 ตารางวา อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี
นอกจากนั้น บริษัท เอ็ม-โฮม เอสพีวี 2 จำกัด ยังได้ทำสัญญาขายที่ดินให้กับ นายอนันต์ อัศวโภคิน ซึ่งต่อมา นายอนันต์ ได้ขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่บุคคลภายนอก ในราคา 492,350,250 บาท และได้นำเงินไปชำระหนี้ให้ บริษัท เอ็ม-โฮม เอสพีวี 2 จำกัด และหนี้อื่นบางส่วน โดยได้นำเงินส่วนใหญ่ จำนวน 303,000,000 บาท ไปบริจาคให้มูลนิธิมหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง เพื่อนำไปก่อสร้างอาคารบุญรักษา ซึ่งหมายความว่า อาคารดังกล่าวถูกปลูกสร้างโดยใช้ทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดที่เปลี่ยนสภาพมาหลายครั้ง ดังนั้น อาคารดังกล่าวจึงเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดตามมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542
ปปง. จึงมีมติอายัดทรัพย์สินที่มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด จำนวน 2 รายการ ได้แก่ 1. สิ่งปลูกสร้างอาคารบุญรักษา อาคาร ค.ส.ล. 6 ชั้น (อาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก) พื้นที่อาคาร 15,634 ตารางเมตร และพื้นที่จอดรถ ที่กลับรถ และทางเข้าออกของรถ จำนวน 1 อาคาร ซึ่งปลูกสร้างอยู่ในที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 101461 และโฉนดที่ดินเลขที่ 101462 อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี และ 2. สิ่งปลูกสร้าง อาคาร ค.ส.ล. 1 ชั้น (อาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก) พื้นที่ 297 ตารางเมตร จำนวน 1 อาคาร ซึ่งปลูกสร้างอยู่ในที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 101461 และโฉนดที่ดินเลขที่ 101462 อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี
ทั้งนี้ การอายัดอาคารบุญรักษาดังกล่าว เป็นการอายัดทรัพย์สินต่อเนื่องจากคำสั่งคณะกรรมการธุรกรรม ที่ ย.57/2560 เรื่องอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดไว้ชั่วคราว เป็นทรัพย์สินประเภทอสังหาริมทรัพย์และที่ดินตามโฉนดที่ดิน กรณี น.ส.อลิสา อัศวโภคิน ซื้อที่ดินจากนายศุภชัย ศรีศุภอักษร จำนวน 8 แปลง รวมมูลค่ากว่า 114 ล้านบาท ซึ่งจากการตรวจสอบของพนักงานเจ้าหน้าที่ปรากฏหลักฐาน และเชื่อได้ว่า นายศุภชัย กับพวก เข้าข่ายการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน
เจอเข้าไปหลายดอก ศิษย์เอกธรรมกายอย่างนายอนันต์ ถึงกับครวญว่า “.... ดูเอาเอง ผมโดน (นายอนันต์ อัศวโภคิน) คุณบุญชัย ก็โดน ลูกศิษย์วัด (วัดพระธรรมกาย) โดนกันทุกคน.... ผมโดนคนแรก คุณบุญชัย โดนคนที่สอง ผมกำลังนั่งดูรายชื่อลูกศิษย์วัดทยอยโดนทีละคน ฟังเท่านี้ ชัดเจนนะครับ .....”
“....ผมว่า ข้อเท็จจริง เราค่อยๆ คุยกันไป แต่การที่ถูกกล่าวหาว่า ผมเป็นพวกฟอกเงิน ถ้าผมฟอกเงิน จับผมไม่ได้หรอก ดังนั้น ผมไม่ได้ฟอกเงิน ผมไม่เคยฟอกเงิน ...” นายอนันต์ อัศวโภคิน อดีตประธานกรรมการบริษัทในเครือแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ตอบคำถามสื่อในงานแถลงข่าวเปิดหลักสูตร The NEXT Real รุ่น 4 เมื่อวันที่ 13 มิ.ย. 2560 ที่ผ่านมา
บุญที่ทุ่มทุนสร้างกับวัดธรรมกายนั้นคงต้องรอผลอีกนานว่าจะได้ขึ้นสรรค์ตามชั้นของเงินบริจาคหรือไม่ แต่กรรมที่มาจากการกระทำทั้งข้อหาบุกรุกป่าและฟอกเงินกำลังสำแดงฤทธิ์เดชต่อศิษย์เอกธรรมกายทั้งหลายแล้ว