ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - แม้คำสารภาพของ “เปรี้ยว” ผู้ต้องหา “คดีฆ่าหั่นศพสาวคาราโอเกะ” จะไม่ให้น้ำหนักเชื่อมโยงขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติ “กลุ่มว้าแดง” แต่การปรากฏของ “ตัวละครใหม่” อย่าง “นายเก้า” ชายฉกรรจ์สักลายพรางที่ยื่นมือให้ความช่วยเหลือ “แก๊งอึ๋มประหาร” หลบหนีอยู่ในประเทศเมียนมา น่าจับตาไม่น้อยไปกว่าคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญที่เกิดขึ้น นั่นเพราะ “นายเก้า” ถูกทางการไทยหมายหัวในฐานะ “ผู้ต้องหาหลบหนีคดียาเสพติด”
หลังจากทางการเมียนมาส่งมอบตัว “เปรี้ยว”-น.ส.ปรียานุช โนนวังชัย “แจ้”-น.ส.อภิวันทน์ สัตยบัณฑิต และ “เอิร์น”-น.ส.กวิตา ราชดา ผู้ต้องหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและปิดบังซ่อนเร้นอำพรางศพ “แอ๋ม - น.ส.วริสรา กลิ่นจุ้ย” ในพื้นที่บ้านโนนสง่า ม.9 ต.คำม่วง อ.เขาสวนกวาง จ.ขอนแก่น โดยทั้ง3 สาวยอมรับสารภาพทุกข้อกล่าวหา พร้อมกับระบุสาเหตุมาตกรรมว่าเป็นเรื่องความแค้นส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับการค้ายาเสพติดข้ามชาติใดๆ
แต่งานนี้ยิ่งสืบยิ่งพบข้อมูลเชื่อมโยง “กลุ่มว้าแดง” ขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติรายใหญ่ใน จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา เรียกว่าเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ถือเป็นหอกข้างแคร่ของทางการเมียนมา เป็นกองกำลังอิสระมีขอบเขตอิทธิพลของตน แม้กระทั่งทางการเมียนมาเองก็ไม่อยากเข้าไปยุ่ง
เงื่อนงำเมื่อครั้งผู้ต้องหาทั้ง 3 คนหายตัวไปในเมียนมาอย่างไร้ร่องรอย ค่อยๆ ปรากฎขึ้นหลังการเปิดตัวตัวละครใหม่ “นายเก้า” หรือ “นายธวัชชัย อ้อมชมภู” และยิ่งสืบสาวยิ่งพบว่าเขาผู้นี้ไม่ธรรมดา “นายเก้า” มีชนักติดหลังมีคดีติดตัวเป็น “ผู้ต้องหาคดียาเสพติด” ที่หลบหนีออกนอกประเทศระหว่างประกันตัวชั้นศาล พื้นที่ปากคลองรังสิต จ.ปทุมธานี และ จ.ศรีสะเกษ
เมื่อเรื่องดำเนินไปเช่นนี้ คดีฆ่าหั่นศพจึงมีความเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติดข้ามชาติ 100 เปอร์เซ็นต์ ดังเช่นที่ นายศิรินทร์ยา สิทธิชัย เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ยืนยันว่า จากการสืบสวนและพยานหลักฐานมีเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติ ขณะนี้อยู่ระหว่างขอข้อมูลและหลักฐานบาง ป.ป.ส.เมียนมา เพื่อนำมาสนับสนุนข้อมูล
กล่าวคือ นายเก้า ผู้ให้ความช่วยเหลือพากลุ่มผู้ต้องหาคดีฆ่าหั่นศพหลบหนี หลังเข้าไปทำงานในร้านคาราโอเกะ จ.ท่าขี้เหล็ก ขณะนี้อยู่ในประเทศเมียนมาและเป็น 1 ใน 18 ผู้ต้องหาตามหมายจับที่ ป.ป.ส. ส่งเรื่องให้ตำรวจเมียนมาช่วยดำเนินการจับกุมแล้ว นอกจากนี้ ยังมีรายชื่อนักค้ายาเสพติดรายใหญ่ที่หลบหนีหมายจับปรากฎในบัญชีของ ป.ป.ส. อีกจำนวนมาก เช่น นางฟอง ปทุมมณี, นางสุชาดา ทวยภา, นายวีระ หมื่นจะตา ฯลฯ
นายศิรินทร์ยา เลขาธิการ ป.ป.ส. เปิดเผยข้อมูลเชิงลึกด้วยว่านักค้ายาเสพติดที่หลบหนีคดีหลายคนเข้าไปลงทุนทำธุรกิจอยู่ในฝั่งเมียนมา พื้นที่ จ.ท่าขี้เหล็ก และบริเวณใกล้เคียง โดยมักประกอบธุรกิจบังหน้าอย่างเช่น ร้านอาหาร ร้านคาราโอเกะ เป็นต้น
ที่น่าสนใจไปกว่านั้น ภาคต่อของตัวละครใหม่ตัวนี้กลับหายไปจากสารระบบเสียดื้อๆ ชื่อของ “นายเก้า หรือ นายธวัชชัย อ้อมชมภู” รวมทั้งการขยายผลปมยาเสพติดไม่ปรากฎชัดในการถ้อยแถลงของตำรวจไทย หรือพยายามทำให้เข้าใจว่า คดีฆ่าหั่นศพสาวคาราโอเกะ มีปมขัดแย้งจากเรื่องส่วนตัว หาใช่เรื่องขัดประโยชน์กลุ่มยาเสพติดข้ามชาติไม่
พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เปิดเผยในการแถลงข่าวหลังสอบสวน “เปรี้ยว-เอิร์น-แจ้” สรุปความได้ว่า คดีนี้เป็นคดีสะเทือนขวัญซึ่งมีผู้กระทำผิดรวมขบวนการทั้งหมด 5 คน เป็นหญิง 4 คน ชาย 1 คน ประกอบด้วย “เปรี้ยว” น.ส.ปรียานุช โนนวังชัย, “แจ้” น.ส.อภิวันทน์ สัตยบัณฑิต, “เอิร์น” น.ส.กวิตา ราชดา, “เบนซ์หรืออ้อม” น.ส.จิดารัตน์ พรมคุณ และ “วิน” นายวศิน นามพรหม โดยผู้ต้องหาแบ่งหน้าที่กันทำและขณะนี้จับกุมได้ครบหมดแล้ว
ส่วนสาเหตุการฆ่ามาจากความแค้นส่วนตัวเรื่องยาเสพติดและหนี้สินประมาณ 30,000 - 40,000 บาท เพราะก่อนหน้านี้ผู้ตายถูกจับเมื่อช่วงปลายปี 2559 เรื่องเสพยาเสพติด และได้ซัดทอดขยายผลไปถึงกลุ่มของเปรี้ยว
พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวย้ำชัดว่า เป็นเรื่องยาเสพติดรายเล็กไม่ใช่ขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติ เพราะความโกรธแค้นจึงได้ลงมือก่อเหตุ โดยตอนแรกผู้ต้องหาไม่คิดจะทำให้ถึงตาย
"เปรี้ยวยอมรับว่าเขารักผู้ตายเหมือนกัน แต่เมื่อลงมือก่อเหตุ ก็รัดคออุดจมูกและพอรู้ว่าผู้ตายไม่หายใจ ก็ทำอะไรไม่ถูก จากนั้นก็ไปซื้ออุปกรณ์และนำร่างไปฝัง" พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าว พร้อมกับเผยต่อไปว่า “หากไม่เจอกันวันนั้น น้องแอ๋ม ก็คงไม่ตาย” โดยผู้ต้องหาอ้างว่าไม่มีเจตนาฆ่าแต่อย่างใด
ส่วนการหลบหนีออกนอกประเทศ กลุ่มผู้ต้องหายืนยันว่าไม่มีใครช่วย อ้างว่าพวกตนเองเดินทางเข้าออกนอกประเทศอยู่เป็นประจำอยู่ การหลบหนีจึงไม่มีความจำเป็นต้องให้ใครมาช่วยเหลือ ส่วนเหตุผลในการเข้ามอบตัวหลังจาก หนีออกนอกประเทศนานกว่า 10 วัน ผู้ต้องหาอ้างว่าไม่รู้จะหนีไปหลบที่ไหนแล้ว และไม่ต้องการให้คนที่เอื้อเฟื้อให้ที่พักพิงได้รับความเดือดร้อนไปด้วย หลังจากถูกหน่วยงานทางราชการไทยเข้ากดดันอย่างหนัก
กล่าวคือ “เปรี้ยว เอิร์น แจ้” มีส่วนเกี่ยวพันกันยาเสพติดแต่ไม่ได้เป็นขบวนการใหญ่ แต่ที่น่าสังเกตุคือไม่มีการกล่าวถึง “นายเก้า” ผู้ต้องหาคดียาเสพติดที่หลบหนีออกนอกประเทศ ซึ่งเข้ามาพัวพันให้ความช่วยแก๊งสาวฆ่าหั่นศพ
ย้อนเส้นทางหลบหนีของ “เปรี้ยว เอิร์น แจ้” หลังก่อเหตุฆาตกรรมสะเทือนขวัญในพื้นที่ จ.ขอนแก่น ทั้ง 3 คนปักหมุดมายังกรุงเทพฯ ถามว่าเดินทางเข้ามาทำไม? คำตอบคือพวกเธอตั้งใจขึ้นเครื่องบินจะหลบหนีไปยังประเทศไต้หวัน ซึ่งเป็นประเทศที่พวกเธอคุ้นเคยดี แต่จนแล้วจนรอดหนึ่งในเพื่อนสาวร่วมทีมสังหารพาสสปอร์ตหมดอายุ เส้นทางการหลบหนีดังกล่าวจึงเป็นเพียงฝันสลาย
เส้นทางการหลบหนีของ “เปรี้ยว เอิร์น แจ้” จึงเบนสู่ประเทศเพื่อนบ้าน จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา หลบหนีเข้าไปทำงานใน ร้านโอโซน สปา แอนด์ คาราโอเกะ ตั้งห่างจากชายแดน 6 กม. ติดกับ อ.แม่สาย จ.เชียงราย กระทั่งได้รู้จัก “นายเก้า” หนึ่งในเครือข่ายยาเสพติดข้ามชาติ ซึ่งถือเป็น “ยี่ปั๊ว” สายส่งยาเสพติดคนสำคัญในพื้นที่ จ.ท่าขี้เหล็ก จัดการส่งยามาฝั่งไทย และเป็นที่รู้ว่ากันนายเก้าทำงานให้ “อาหลง” หรือ “หลงจู๊” อธิบายง่ายๆ เป็นเหมมือนผู้จัดการโรงงานผลิตยาเสพรายใหญ่แห่งหนึ่งในแถบนั้น นายเก้าจึงหลบอยู่ในเมียนมาอยู่ดีกินดีภายใต้อิทธิพลของอาหลง
นายเก้าให้ความช่วยเหลือ 3 ผู้ต้องหาสาวหลบหนีในเมียนมา โดยมีอาหลงให้การคุมครอง แต่คดีฆ่าหั่นศพสาวคาราโอะเกะเป็นคดีดังในเมืองไทย และได้รับความสนใจจากสังคมเป็นอย่างมาก ทางการไทยและทางการเมียนมากดดันอย่างหนัก สุดท้ายอาหลงจึงต้องเลือกระหว่าง “ผู้หญิง 3 คน” กับ “นายเก้า” ลูกน้องมือดี
คอลัมน์ : เรื่องดัง - ข่าวเด็ด “บิ๊กเกรียน” เขย่าสีกากี ผู้จัดการออนไลน์ เผยแพร่ข้อมูลว่า ตัวละครสำคัญอีก 1 ตัวโผล่ออกมา แต่ตอนนี้หายเข้ากลีบเมฆไปอย่างน่าตาเฉย หวังว่าท่านทั้งหลายยังคงจำ “เก้า” หรือ ธวัชชัย อ้อมชมภู ตามประวัติบ้านเดิมอยู่เลขที่ 16/10 หมู่ 1 ต.บ้านใหม่ อ.เมือง จ.ปทุมธานี ซึ่งเป็นคนนำทางแก๊งเปรี้ยว หนีเข้าเมืองท่าขี้เหล็ก พร้อมเส้นทางการเตรียมหลบหนีของแก๊งสาวฆ่าหั่นศพ ความว่า
“...ไม่ใช่ประสงค์จะหลบหนีประการเดียว แต่ทั้ง 3 ยังวางแผนไว้ว่าจะหมกตัวทำมาหารับประทานในบ่อนกาสิโน ของว้าแดง เผลอๆ อาจจะ “ซะบะละห้า” กับทหารว้า หรือเซียนพนันนับเงินกันไม่หวาดไม่ไหว เพราะ “หญิงไทย” เป็นที่ต้องการของที่นั่น ส่วนน้องๆ จากท่าขี้เหล็ก เข้ามาเป็นหมอนวด - หมอนาบ แข่งกับน้องหนูเจ้าถิ่นในกรุงเทพฯนั้น มันก็คล้ายกับความรู้สึกของคนทำอาชีพขายเรือนร่างต่างก็มียาง (อาย) ไม่มีใครอยากทำอะไรแบบนี้ในสังคมที่มีคนรู้จัก
“...ยิ่งกว่านั้นยังมีเรื่องของวัฒนธรรม - ความเชื่อตลาด “กามา” ในท่าขี้เหล็ก จึงเพ่นพ่านไปด้วยสาวไทย (ใจถึง) กลับมาที่วิบากกรรมของเปรี้ยว และสมัครพรรคพวก แต่แผนที่วางไว้กลับไม่สามารถทำได้อย่างที่คิด เพราะสื่อยุคไร้พรมแดน สื่อยุคดิจิตอลเร็วปรู๊ดปร๊าด ทำให้ประชากรฝั่งท่าขี้เหล็ก รู้ข่าวเห็นหน้าค่าตาของ เปรี้ยว แจ้ เอิร์น และเก้า เสพกันอยู่ทุกวัน 3 เวลาหลังอาหารไม่แพ้คนไทย แทนที่จะเสวยสุขอยู่ตามซ่องไฮโซตามแผนเดิม ก็เลยต้องหลบๆ ซ่อนๆ ในบ้านเรือนที่ว้าแดงกำหนดให้ คราวนี้มาติดตามช่วงไคลแม็กซ์เมื่อแก๊งอีเปรี้ยวกลายเป็นเสือลำบาก โดยมีตำรวจฝ่ายสืบสวนจากภาค 4 เจ้าของท้องที่เกิดเหตุ และ ภาค 5 ในฐานะพื้นที่หลบหนีและให้การสนับสนุนออกไล่ล่ากันอย่างกระชั้นชิด แต่ปรากฏว่า เกิดเหตุระทึกในระหว่างที่ตำรวจไทยใจเด็ด 3 คน อันประกอบด้วย พ.ต.ท.ไพรวัลย์ อายุวงษ์ สว.สส.บก.ภ.4 แห่งศูนย์ฉลามดำ ด.ต.กมล เทพชมพู และ ด.ต.ปรีชา คำก้อน สายสืบ สภ.แม่สาย เข้าไปเจรจากับตัวแทนฝ่ายพม่า เพื่อขอความร่วมมือ กลับถูก “ล็อกตัว” ในฐานะผู้บุกรุก และจารกรรมข้อมูล....อ้าว!!?? ซวยล่ะซิ.... ตำรวจ - ทหารฝ่ายความมั่นคงพม่า ยึดโทรศัพท์มือถือตำรวจทั้ง 3 คน และลบข้อมูล -ภาพถ่ายทั้งหมด ซึ่งในระหว่างควบคุมตัวนั้น บรรยากาศเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด แต่ พ.ต.ท.ไพรวัลย์ พยามชี้แจงพร้อมขอร้องให้ช่วยติดต่อกับผู้บังคับบัญชาฝั่งไทย เพื่อยืนยันภารกิจ แต่ไม่เป็นผล
“...เวลาผ่านไป 1 ชั่วโมง สารวัตรมือดีแห่งแดนอีสาน แม้จะเหงื่อกาฬเริ่มแตก แต่ยังอุ่นใจที่แอบซ่อนโทรศัพท์มือถือไว้ในกระเป๋ากางเกงอีกเครื่องหนึ่ง จึงออกอุบายขอเข้าห้องน้ำ ฝ่ายพม่าอนุญาตแต่ส่งคนคอยประกอบเฝ้าหน้าห้อง การติดต่อไม่ได้ผล เนื่องจากไม่มีสัญญาณ ทั้ง โทร. ตรง และส่งข้อความทางไลน์ ล้มเหลวทั้งหมด จึงจำยอมต้องกลับมานั่งรอให้ฝ่ายพม่าลิขิตชีวิต
“...2 ชั่วโมงต่อมามีโทรศัพท์จาก “อาหลง” ผู้กว้างขวางที่ทำมาหากินกับกองทัพว้าแดง ติดต่อมายังนายทหารพม่าซึ่งเข้าใจว่ามียศสูงสุด และเป็นระดับหัวหน้า....การเจรจาต่อรองเกิดขึ้นโดย “อาหลง” ยืนยันจะส่งมอบตัวเปรี้ยว แจ้ และเอิร์น ให้กับทางการไทย แต่มีข้อแม้ห้ามแตะต้อง “เก้า” อย่างเด็ดขาด เพราะถือว่า “เก้า” เป็นบุคคลสำคัญของว้าแดง...สำคัญที่เคยเป็นคู่ค้าส่งยาเสพติดเข้ามาขายในประเทศไทย เมื่อถึงคราวมีปัญหาก็ต้องดูแลเสมือนคนในครอบครัวเดียวกัน....”
ที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือ ก่อนหน้านี้มีการปรับย้ายตำแหน่ง พ.ต.ท.ไพรวัลย์ อายุวงษ์ สว.กก.สส.3 บก.สส.ภ.4 ชุดจับกุม เปรี้ยวกับพวกในคดีฆ่าหั่นศพ ย้ายให้ไปดำรงตำแหน่ง สวป.สภ.ท่าช้าง จว.สิงห์บุรี ทว่า ถูกชาวเน็ตวิจารณ์อย่างหนักถึงความไม่เหมาะสมกับผลงานของนายตำรวจรายดังกล่าว รวมทั้งตั้งคำถามไปต่างๆ นานาว่า เกี่ยวโยงกับเรื่องเก้าหรือไม่
กระทั่งต่อมา พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เปิดเผยว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หารือกับ พล.ต.ท.จตุพล ปานรักษา ผบช.ภ.4 และได้ออกคำสั่ง “ยกเลิก” คำสั่งแต่งตั้งดังกล่าวไปแล้ว พร้อมอธิบายให้เหตุผลว่า การปรับย้ายดังกล่าวมาจากกระบวนการเสนอแต่งตั้งโยกย้าย ตั้งแต่ 3-4 เดือนที่ผ่านมา ส่วนรองสารวัตรที่ได้รับแต่งตั้งให้ไปขึ้นเป็นสารวัตร (สว.) แทน ในตำแหน่ง สว.บก.สส.ภ.4 ขณะนี้มีคำสั่งแต่งตั้งให้ไปดำรงตำแหน่ง สว. ในตำแหน่งอื่นๆ ในสังกัดภาค 4 แทน ซึ่งการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจในระดับ สว. - รอง ผบก. วาระประจำปี 2559 เสร็จสิ้นแล้วกว่า 5,700 ราย
เรียกว่า เบรกล้อเอี๊ยดและอ้างเหตุผลกันมาอธิบายกันจ้าละหวั่นเลยทีเดียว
แต่จะอย่างไรก็ดี สุดท้าย ในส่วนของคดีเปรี้ยว วินาทีนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจไทยไม่แม้แต่ปริปากเอ่ยชื่อ “นายเก้า” เหมือนเดิม ซึ่งงานนี้ก็คงต้องติดตามการขยายผลจากทาง ป.ป.ส. กันต่อไปว่า หลังจากออกมาป่าวประกาศปาวๆ ว่า “คดีฆ่าหั่นศพสาวคาราโอเกะ” เกี่ยวข้องกับเครือข่ายยาเสพติดข้ามชาติ แล้วจะจัดการอย่างไรกับตัวละครที่หายไปอย่างไร
ชะตากรรมของ “เปรี้ยว เอิร์น แจ้” จะถูกตัดจบเพื่อซ่อนเบื้องหลังขบวนการค้ายาให้เป็นเพียงคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญด้วยเหตุผลส่วนตัวเพียงเท่านั้นหรือไม่? ต้องติดตามอย่างไม่กระพริบตา