MGR Online - ความในใจ “สารวัตรไพรวัลย์” ที่ไม่เคยเป็นข่าว ช่วงนาทีวิกฤตทำอะไรไม่ถูกต้องอธิษฐานขอบุญบารมีในหลวง รัชกาลที่ ๙ ดลให้หลุดพ้นเงื้อมมือพม่า...ยอมรับชีวิตตอนนี้สับสนที่สุด...โชคชะตาที่เล่นกลเหนื่อยเสียยิ่งกว่าตามล่าอีเปรี้ยวในแดนพม่า
เหมือนสวรรค์มีตาเมื่อเช้าวันนี้ (8 มิ.ย.) สายข่าวเพิ่งมีโอกาสพูดคุยกับ “สารวัตรไพรวัลย์” หรือ พ.ต.ท.ไพรวัลย์ อายุวงษ์ ตำแหน่ง สว.กก.สส.3 บก.สส.ภ.4 ที่รู้จักกันในฐานะมือปราบแก๊งอีเปรี้ยว ที่ยังคงมีอาการว้าวุ่นใจ บอกกับสายข่าวแต่เพียงว่า...พี่ครับผมไม่ขอพูดอะไรอีกแล้ว เพราะสิ่งที่พูดไปมันเหมือนดาบสองคม มันกระทบกับผู้ใหญ่หลายท่าน..ผมเป็นข้าราชการยอมรับในสิ่งที่ผู้บังคับบัญชาตัดสินใจ...ไม่ทราบว่าผมถูกย้ายเพราะอะไร คือ ตอนนี้บอกตรงๆ ว่า สับสนไปหมดแล้ว ขออนุญาตไม่พูด ขอหลบไปที่เงียบๆ จนกว่าเรื่องจะสงบ...พี่รู้ไหมว่าผมตามเรื่องอีเปรี้ยว ยังไม่รู้สึกเหนื่อย และมึนงงเท่ากับตอนนี้เลย...ขออนุญาตก่อนนะครับ....
นั่นคือ การสื่อสารระหว่างสารวัตรไพวัลย์ กับสายข่าวของเราเมื่อช่วงก่อนเที่ยงวันที่ผ่านมา....ย้อนกลับไปยังเหตุการณ์ระทึกใจช่วงตกวงล้อมตำรวจลับ - ทหารพม่า ยังมีรายละเอียดปลีกย่อยน่ามาเล่าสู่กันฟังอีกว่าเมื่อการลงพื้นที่ของสารวัตรไพรวัลย์ มาถึงชายแดนแม่สาย จ.เชียงราย และตำรวจภาค 4 เจ้าของคดีได้ประสานกับตำรวจภาค 5 เป็นที่เรียบร้อยนายตำรวจระดับบังคับบัญชา จึงมอบหมายให้ ด.ต.กมล เทพชมพู และ ด.ต.ปรีชา คำก้อน 2 สายสืบมือเก๋าแห่ง สภ.อ.แม่สาย เป็นผู้นำทางในระหว่างติดตามแก๊งอีเปรี้ยว ในเขตพื้นที่พม่า แน่นอนว่า การหาข่าวไม่ยากเย็นอะไรนัก เพราะนอกจากมีคนนำทางที่ดี ข่าวคราวของอีเปรี้ยว ยังเป็นที่สนใจของชาวท่าขี้เหล็ก เนื่องจากมีทั้งสื่อโซเชียล และโทรทัศน์ เสนอข่าวกันอย่างอึกทึกครึกโครมกระทั่งในระหว่างจวนเจียนจะได้ตัวแก๊งอีเปรี้ยว รวมทั้ง “ไอ้เก้า” หรือ นายธวัชชัย อ้อมชมพู ผู้ต้องหารายสำคัญอีกคนหนึ่ง ทั้งในฐานะหนีหมายจับคดียาเสพติด และเป็นคนนำทางแก๊งฆาตกรฆ่าหั่นศพโดยมีจุดหมายสู่เขตอิทธิพลของว้าแดง
จังหวะนี้เองตำรวจลับพม่า ที่เพ่นพ่านอยู่ทั่วเมืองท่าขี้เหล็ก เข้าจู่โจม 3 ตำรวจไทยพร้อมกับเชิญไปให้ปากคำยังสถานที่ทำการแห่งหนึ่ง เบื้องต้นการสื่อสารยังไม่ชัดเจน “สารวัตรไพรวัลย์” คิดว่า นี่คือ การเชิญมาแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อติดตามล่าตัวคนร้ายแต่เมื่อสังเกตอากัปกิริยาของเจ้าหน้าที่พม่าทั้งหมดแล้วไม่มีใครแสดงความเป็นมิตร เมื่อถึงยังที่ทำการต่างเข้าห้องเล็กๆ เข้าใจว่า เป็นห้องประชุมที่นำมาใช้เป็นห้องสอบสวนชั่วคราว เจ้าหน้าที่พม่าเข้าใจว่าเป็นระดับหัวหน้าสั่งยึดโทรศัพท์มือถือทุกเครื่องจากนั้นยังนำไปตรวจสอบ เมื่อพบภาพต่างๆ ที่ พ.ต.ท.ไพรวัลย์ ถ่ายไว้จึงจัดการลบทั้งหมด และเริ่มซักถาม เน้นแต่เรื่องลักลอบเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาตเพื่อจารกรรมข้อมูล
เมื่อล่ามได้แปลความหมายให้ทีม 3 ตำรวจไทยฟัง อาการเครียดเริ่มเกิดขึ้นทันทีโดยเฉพาะ พ.ต.ท.ไพรวัลย์ ซึ่งรู้ตัวโดยสัญชาตญาณบอกว่าพวกเขาหลงเข้ากับดักเสียแล้ว และวินาทีต่อนี้ไปไม่สามารถจะล่วงรู้หรือกำหนดได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น...บรรยากาศเต็มไปด้วยความกดดัน..ตำรวจลับพม่าขู่ตะคอกสารพัด โดยมีล่ามสาวช่วยแปลให้ แต่ความคิดวูบหนึ่งขึ้นมาในหัวสารวัตร..เรายังมีโทรศัพท์มือถืออีกเครื่องเก็บไว้ในกระเป๋า...ทางรอดทางเดียวที่ง่ายที่สุดในเวลานี้ก็คือพยายามติดต่อผู้บังคับบัญชาในฝั่งไทยให้ได้...คิดพลางเอ่ยปากผ่านล่ามขออนุญาตเข้าห้องน้ำ เมื่อสื่อสารกันจนเข้าใจนายตำรวจลับระดับหัวหน้าคนนั้นจึงสั่งให้ลูกน้องคุม พ.ต.ท.ไพรวัลย์ อย่างไม่ให้คลาดสายตา.....เมื่อปิดประตูลงกลอนสารวัตรไพวัลย์ รีบติดต่อผู้บังคับบัญชา ทันทีแต่โชคร้ายโทรศัพท์ไม่มีสัญญาณ...ความพยายามส่งข้อความทางไลน์และสารพัดไม่เป็นผล เขายังต้องกดชักโครกให้เกิดเสียงดังสลับไปมาหลายครั้งเพื่อไม่ให้ตำรวจลับคนเฝ้าประตูสงสัย จนที่สุดไม่สามารถติดต่อไปได้ ต้องยอมออกมาเผชิญกับความจริงที่ไม่มีอะไรน่าโสภาอีกต่อไป
เขาบอกกับคนใกล้ชิดว่านาทีนั้นมีความหวังเพียง 50/50 ไม่มั่นใจว่า จะมีโอกาสกลับมายังฝั่งประเทศไทยอีกหรือไม่....“นาทีวิกฤตนั้นในใจผมวูบวาบไปหมด รู้เลยว่าการถูกกดดันเป็นอย่างไร ตลอดชีวิตราชการผมผ่านคดีมามากมาย จับโจรผู้ร้าย ฆาตกรมาหลายคน เคยขู่เขาเคยใช้วิธีสอบสวนที่เราต้องการให้เห็นผลแบบเดียวกับที่ตำรวจลับพม่า ทำในตอนนี้ ผมเห็นสัจธรรมทันทีเลย ในใจไม่รู้จะคิดถึงใครอีก ผมอธิฐานถึงในหลวงรัชกาลที่ 9 หากลูกมีคุณงามความดีและยังเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติก็ขอให้ลูก กับเพื่อนตำรวจที่ถูกจับด้วยกันรอดออกไป”
ดูเหมือนคำอธิษฐานจะได้ผล....หลังความเคร่งเครียดผ่านไปเกือบ 3 ชั่วโมงจู่ๆ มีโทรศัพท์สายหนึ่งเข้ามายังหัวหน้าตำรวจลับพม่า เขาพูดคุยกันพักใหญ่ล่ามจึงแปลให้ 3 ตำรวจไทยฟังว่าปลายทางคือ “อาหลง” ซึ่งเป็นนักธุรกิจใหญ่เป็นที่นับถือของกลุ่มว้าแดง เขาอาสาเป็นตัวกลางช่วยเจรจาโดยมีข้อเสนอว่าจะมอบตัว “น.ส.ปรียานุช โนนวังชัย หรือเปรี้ยว น.ส.อภิวันทน์ สัตยบัณฑิต หรือ แจ้ และน.ส.กวิตา ราชดา หรือ เอิร์น” ให้อย่างไม่มีเงื่อนไขเว้น “นายธวัชชัย อ้อมชมพู หรือ นายเก้า” ผู้ต้องหาหนีหมายจับคดียาเสพติด และเป็นผู้นำพา 3 ผู้ต้องหาสาวหลบหนี....เป็นการพูดเองเออเองแกมบังคับ...หลังแจ้งทีมตำรวจไทยให้รับทราบตำรวจลับพม่าระดับนายใหญ่ เข้ามาขอโทษขอโพยที่ทำอะไรรุนแรง พร้อมกับเอาน้ำมาให้ดื่ม... กระทั่งเป็นที่มาของการติดต่อขอเข้ามอบตัวของ “อีเปรี้ยว” กับสมัครพรรคพวกเมื่อเวลา 21.00 น. เศษ ของวันที่ 3 มิ.ย. ที่ผ่านมา
พ.ต.ท.ไพรวัลย์ อายุวงษ์ เป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 58 ชีวิตราชการส่วนใหญ่อยู่กับงานสืบสวนมาโดยตลอด เป็นนายตำรวจไฟแรงทุกคดีที่เกิดขึ้นในกองบัญชาการตำรวจภาค 4 เขากับพวกจะลงพื้นที่ทำงานอย่างแข็งขัน ไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย เป็นนายตำรวจหัวก้าวหน้าใช้เทคโนโลยีมาประยุกต์กับการทำงานและมักฝึกฝนผู้ใต้บังคับบัญชาให้เรียนรู้ เช่น การตรวจสอบประวัติจากทะเบียนรถผู้ต้องสงสัยรวมทั้งหมายเลขบัตรประชาชน ยังรวมไปถึงการสืบสวนรูปแบบเก่า นั่นคือ การเฝ้าจุด ว่ากันว่าเขาชอบลงพื้นที่เองสามารถเฝ้าติดตามการเคลื่อนไหวของเป้าหมายแบบไม่ต้องหลับไม่ต้องนอนนาน 3 วัน 3 คืน
หลังเกิดการย้ายอย่างผิดฝาผิดฝั่งให้ไปเป็น สวป.สภ.ท่าช้าง จ.สิงห์บุรี ชนิดค้านสายตา เพราะนี่คือการสั่งย้ายแบบมีความผิดขนาดข้ามกองบัญชาการ ไปอยู่ในตำแหน่งที่ไม่สามารถใช้ศักยภาพตามความสามารถได้ แต่เมื่อเกิดกระแสกดดันทางโลกโซเชียล พลันสวรรค์ได้มองเห็น แค่เพียง 24 ชั่วโมงของการนำเสนอข่าวของทีมอาชญากรรม MGR ออนไลน์ คำสั่งล่าสุดจากผู้บังคับบัญชาระดับสูงมีความเห็นตรงกันว่าต้องคืนความชอบธรรมให้กับสารวัตรไพรวัลย์ โดยการย้ายกลับมาดำรงตำแหน่งเดิม ส่วน ร.ต.อ.ยุทธนา ทาตะรัตน์ รองสว.กก.สส.ภ.จว.ขอนแก่น ที่เข้ามาเสียบ ยังไม่รู้ว่าจะไปลงตำแหน่งไหน