ว่ากันว่า...แต่แรกเริ่มเดิมที วัตถุประสงค์ จุดมุ่งหมายในการพัฒนาระบบป้องกันขีปนาวุธอย่าง “ถาด” หรือ “THAAD” นั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานความพยายาม เพียงแค่หาทางรับมือกับจรวดกระจอกๆ ในยุคสงครามเย็น อย่างจรวด “สกั๊ด” (Scud) ของโซเวียตรัสเซีย หลังกองทัพสหรัฐฯ ต้องเจอกับประสบการณ์ถูกตอบโต้ด้วยอาวุธชนิดนี้ ขณะเข้าโจมตีประเทศอิรัก เมื่อช่วง “สงครามอ่าว” ในปี ค.ศ. 1991 นั่นเอง...
บริษัทผลิตและค้าอาวุธ อย่าง “Martin Marietta” หรือ “Lockheed Martin” จึงได้รับมอบหมายจากกองทัพสหรัฐฯ ให้หาทางพัฒนาระบบป้องกันขีปนาวุธชนิดนี้ ขึ้นมาในปี ค.ศ. 1992 เริ่มทดสอบระบบครั้งแรกในปี ค.ศ. 1995 และมีผลสำเร็จตามความมุ่งหมายในเดือนมิถุนายนปี ค.ศ. 1999 ถือเป็นระบบป้องกันที่อาศัยการยิงจรวดระดับพิสัยใกล้ พิสัยกลางไปจนถึงพิสัยไกลเข้าไป “กระแทก-ทำลาย” ขีปนาวุธของฝ่ายตรงข้าม โดยไม่ต้องติดหัวรบแบบระบบป้องกันรุ่นก่อนๆ เช่น “Patriot Pac-2” หรือ “Patriot Pac-3” แต่อาศัยผลกระทบของพลังงานขับเคลื่อน หรือพลังงานจลน์ (Kinetic Energy) เป็นตัวทำลายจรวดที่กำลังแล่นเข้ามาหา อันทำให้อัตราเสี่ยงจากการระเบิดของหัวรบฝ่ายตรงข้ามอยู่ในจุดต่ำสุด โดยมีส่วนประกอบพื้นฐานที่เป็นตัวขับเคลื่อนจรวดอยู่ประมาณ 6 ชุด แต่ละชุดจะปล่อยจรวดได้ประมาณ 8 ลำ สามารถพุ่งทะยานขึ้นสู่พื้นที่พิกัดระดับสูงได้ถึง 150 กิโลเมตร ระยะพิสัยทำการตั้งแต่ 200 กิโลเมตรขึ้นไป...
แต่ระหว่างที่กำลังพัฒนา...ข่าวคราวเรื่องจรวด “ตงเฟิง” ของจีน หรือที่กองทัพสหรัฐฯ เรียกว่า “Wu-14” เกิดมาแรงแซงโค้งยิ่งขึ้นเรื่อยๆ บริษัท “Lockheed” จึงได้โอกาสเสนอที่จะให้หาทางรับมือ เล่นงานขีปนาวุธชนิดใหม่ของจีนไปด้วยในตัว ด้วยการยืดพิสัยทำการของระบบป้องกันชนิดนี้ให้ยาวไกลออกไปในระดับข้ามทวีป ปกปิดช่องว่างระหว่างพื้นที่พิกัดระดับต่ำและระดับสูง ซึ่งขีปนาวุธตงเฟิงอาจสามารถสอดแทรกเข้ามาได้ เพิ่มขนาดหรือขยายลำตัวของจรวดแต่ละลำ จากระดับ 37 เซนติเมตร ขึ้นไปเป็น 53 เซนติเมตร ฐานปล่อยจรวดที่เคยมีอยู่ 5 ช่อง เพิ่มขึ้นเป็น 8 ช่อง ฯลฯ หรือโดยสรุปก็คือเพื่อเอาไว้สู้กับขีปนาวุธของจีน รวมไปถึงของรัสเซีย เป็นการเฉพาะนั่นแล...
อย่างไรก็ตาม...การประดิษฐ์คิดค้น และพัฒนาอาวุธเหล่านี้ คงไม่ถึงกับต้องถือสาหาความมากมายซักเท่าไหร่ ถ้าหากมันเป็นเพียงการ “ป้องกันตัว” อันถือเป็น “สิทธิ” ของแต่ละประเทศไปด้วยกันทั้งสิ้น เพียงแต่ว่า...สำหรับคุณพ่ออเมริกาแล้ว คงไม่ได้แค่เอาไว้ป้องกันตัว แต่ยังพร้อมที่จะเข็น “ถาด” เข้าไปติดตั้งไว้ในพื้นที่ต่างๆ ทั่วทั้งโลก ไล่มาตั้งแต่ฮาวาย เกาะกวมไปยันยูเออี ซาอุดีอาระเบีย ตุรกี ยุโรปตะวันออก ไปจนถึงเกาหลีใต้ ฯลฯ อันสะท้อนถึงจุดมุ่งหมายว่าเพื่อหาทางกดดัน รุกราน “ยุทธศาสตร์ความมั่นคง” ของประเทศคู่แข่ง อย่างจีนและรัสเซียกันโดยเฉพาะ หรือเพื่อทำลาย “ความสมดุลทางยุทธศาสตร์” ที่จีนและรัสเซียพยายามก่อร่างสร้างตัว ขึ้นมาใหม่นั่นเอง...
ดังนั้น...การเข็น “ถาด” ของอเมริกาเข้าไปไว้ในพื้นที่ต่างๆ จึงออกจะเป็นไปอย่างที่ประธานาธิบดี “ปูติน” แห่งรัสเซียท่านว่าเอาไว้นั่นแหละว่า ด้วยการอาศัยขีปนาวุธอิหร่านเป็นข้ออ้าง หรือขีปนาวุธเกาหลีเหนือเป็นข้ออ้าง แต่จริงๆ แล้ว...ถาดแต่ละถาดที่ถูกเรียงรายเอาไว้ในยุโรปตะวันออก ตะวันออกกลาง และคาบสมุทรเกาหลีนั้น ล้วนมีจุดมุ่งหมายต้องการจะบั่นทอนทำลายศักยภาพทางทหารของจีนและรัสเซียไปด้วยกันทั้งสิ้น อันทำให้ “หุ้นส่วนยุทธศาสตร์” ที่กำลังป่าวประกาศว่าพร้อมร่วมมือ ร่วมใจในการ “เปลี่ยนแปลงระบบโลก” จากแบบ “ขั้วอำนาจเดียว” มาเป็นแบบ “หลายขั้วอำนาจ” พร้อมจะจัดสร้างระเบียบโลกใหม่ที่ไม่เหมือนเดิม หรือระเบียบโลกที่ไม่ได้ตกอยู่ภายใต้อำนาจของ “เผด็จการดอลลาร์” อีกต่อไป จึงไม่อาจอยู่นิ่งๆ เฉยๆ ไม่อาจเอามือซุกหีบได้อีกต่อไปแล้ว...
ภายใต้ฉากสถานการณ์เช่นนี้...จึงทำให้บรรยากาศของการแข่งขันทางอาวุธ การช่วงชิงความได้เปรียบ-เสียเปรียบในทางทหาร จึงเป็นไปในลักษณะดังที่ “เจฟฟรีย์ ลูอิส” (Jeffrey Lewis) ผู้อำนวยการโครงการริเริ่มทางยุทธศาสตร์เพื่อการไม่แพร่กระจายนิวเคลียร์ (Nuclear Strategy and Nonproliferation Initiative) ได้เคยตั้งคำถามเอาไว้ก่อนหน้านี้นั่นแหละว่า... “ขณะที่สหรัฐฯ พยายามทุ่มเทพัฒนาอาวุธตามแบบแผนที่ไม่ใช่นิวเคลียร์ เพื่อเพิ่มสมรรถนะและความแม่นยำ โดยมิอาจปฏิเสธได้เลยว่ามหาอำนาจคู่แข่งอย่างจีนและรัสเซีย ย่อมเลี่ยงไม่พ้นที่จะต้องหาทางพัฒนาศักยภาพตัวเองควบคู่ไปด้วย สิ่งเหล่านี้จึงก่อให้เกิดคำถามขึ้นมาว่า...เมื่อถึงจุดๆ หนึ่ง แสนยานุภาพตามแบบแผนของสหรัฐฯ จะกลายเป็นภัยคุกคามต่อแสนยานุภาพนิวเคลียร์ของจีนหรือไม่ หรือเมื่อถึงจุดที่จีนเกิดตั้งคำถามขึ้นมาว่า ถ้าสหรัฐฯ ฉวยโอกาสโจมตีแสนยานุภาพนิวเคลียร์ของจีนด้วยอาวุธตามแบบแผนขึ้นมาล่ะ จีนจะทำอย่างไร จะยังยอมยึดมั่นอยู่กับคำสัญญาในเรื่องการไม่เป็นผู้ใช้อาวุธนิวเคลียร์ก่อนอีกหรือเปล่า...” สรุปก็คือ...สุดท้าย คงหนีไม่พ้นต้องเดินหน้าไปสู่ “วันสิ้นโลก” จนได้!!!