ถ้าหากยังมัววนไป-วนมาอยู่กับเรื่องในบ้าน...คงหนีไม่พ้นต้องนั่งตอบ “คำถาม” 4 ข้อของ “บิ๊กตู่” แบบซ้ำๆ ซากๆ ไม่ก็หันไป “ถามกลับ” ไม่ต่างไปจากการกระพือปีกกิ๊บๆ ก๊าบๆ อยู่ภายในกรงเป็ด กรงไก่ อะไรประมาณนั้น ด้วยเหตุนี้...คงต้องขออนุญาตอีกซะแว้วขอเปิดกรง เปิดเล้า บินออกไปนอกบ้าน นอกประเทศ ไปว่ากันเรื่องอาวุธยุทโธปกรณ์ระดับที่ยิงกันข้ามฟ้า ข้ามโลก สูงขึ้นไปหวิดๆ ถึงชั้นอวกาศอย่าง “ระบบป้องกันขีปนาวุธบริเวณพิกัดตำแหน่งสูง” (Terminal High Altitude Area Defense) หรือที่เรียกกันสั้นๆ ย่อๆ ว่า “ทาด” หรือ “ถาด” (THAAD) โน่นเลย...
คืออย่างน้อย...ต้องถือเป็นเรื่องสำคัญระดับคอขาดบาดตายพอสมควร ไม่เช่นนั้น กระทรวงต่างประเทศจีนเค้าคงไม่เสียเวลามอบหมายให้โฆษกประจำกระทรวง “นางหัว ชุนหยิง” (Hua Chunying) ออกมาอ่านแถลงการณ์ย้ำไว้อีกครั้ง หลังจากที่เคยย้ำไป-ย้ำมาไม่รู้จะกี่ครั้งต่อกี่ครั้งมาแล้ว เมื่อวันพฤหัสบดี (1 มิถุนายน) ที่เพิ่งผ่านมานี่เอง โดยการย้ำคราวนี้ถึงกับใช้คำว่า “การติดตั้งระบบขีปนาวุธชนิดนี้ในเกาหลีใต้ ถือเป็นตัวสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อผลประโยชน์ด้านความมั่นคงของจีน อีกทั้งยังถือเป็นการบ่อนทำลายความสมดุลทางยุทธศาสตร์โลก” อีกด้วยต่างหาก...
และก็ไม่ใช่แค่กระทรวงต่างประเทศจีน หรือรัฐบาลพญามังกรเท่านั้น ที่ออกมาฟ้อนงิ้วต่อระบบอาวุธยุทโธปกรณ์ชนิดนี้อย่างเป็นงานเป็นการ แม้กระทั่งหมีขาวรัสเซีย นั่นถึงขั้น...ระดับประธานาธิบดี “ปูติน” มาเอง ออกมาป่าวประกาศบนเวที “International Economic Forum” ณ กรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กช่วงวันเดียวกัน ประมาณว่า...รัฐบาลรัสเซียจะไม่เอามือซุกหีบ หรือนั่งเบ้อๆ เฉยๆ อยู่แล้วแน่ๆ ขณะที่คุณพ่ออีแร้งอเมริกา เข็น “ถาด” มาซุกไว้ในเกาหลีใต้ ยุโรปตะวันออก ไปจนถึงอลาสกา ด้วยเหตุผลที่ว่า... “ประเด็นในเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องหลักสำหรับเรา และเป็นสิ่งที่เราเคยตอกย้ำมาโดยตลอดนับเป็นทศวรรษ ว่านี่คือ...การทำให้ความสมดุลทางยุทธศาสตร์ของโลกต้องสับสนวุ่นวายขึ้นมาอีกครั้ง เพียงแต่โลกยังคงเงียบอยู่เพราะไม่มีใครฟังเรา...”
อย่างไรก็ตาม...เหตุที่โลกยังคงเงียบๆ เฉยๆ แม้เรื่องราวของ “ถาด” หรือ “ทาด” ที่ว่านี้ น่าจะมีความสำคัญมิใช่น้อย อาจเป็นเพราะมันเป็นเรื่องที่ออกจะซับซ้อนซ่อนเงื่อนอยู่พอสมควร เต็มไปด้วยรายละเอียดทางเทคนิคด้านอาวุธ จนใครต่อใครอาจ “ฟังไม่รู้เรื่อง” หรือ “ฟังแล้วไม่ได้ยิน” ด้วยเหตุนี้...เลยถือเป็นโอกาสที่จะลองมาแยกแยะ ชำแหละ เพื่อให้เห็นบางสิ่งบางอย่างซึ่งอยู่ลึกลงไปกว่าข่าวคราวที่ไหลไป-ไหลมาเป็นวันๆ หรือเพื่อพอให้เห็นภาพคร่าวๆ เท่าที่ศักยภาพของตัวเองพอจะค้นคว้า รวบรวมเอาไว้ได้ แม้แต่เล็กๆ น้อยๆ ก็ยังดี...
คือก่อนจะไปว่ากันในรายละเอียดเรื่อง “ถาด” เรื่อง “ทาด” ...อันดับแรกคงต้องมาเริ่มทำความเข้าใจกันเอาไว้ซะก่อนว่า สิ่งที่เรียกว่า “สมดุลทางยุทธศาสตร์” หรือ “สมดุลทางทหาร” ของโลกนั้น ก่อนๆ นี้...มันก็เคยพอหลงๆ เหลือๆ อยู่มั่ง แม้ว่าโลกทั้งโลกจะเต็มไปด้วยอาวุธมหาประลัย อย่างระดับ “อาวุธนิวเคลียร์” ที่สามารถสังหาร พร่าผลาญมวลมนุษยชาติคราวละเป็นแสนๆ ล้านๆ กระจัดกระจายอยู่ในประเทศต่างๆ ไม่ว่าคุณพ่ออเมริกาที่เคยสะสมหัวรบนิวเคลียร์เอาไว้ถึง 7,000 หัวรบ บวกกับที่สำรองเอาไว้อีกถึง 3,000 หัวรบ หรือกำอาวุธมหาประลัยเอาไว้ในมือเกือบครบ 10,000 ลูก พอที่จะระเบิดโลกทั้งโลกให้แตกสลายได้โดยทันที ส่วนรัสเซียนั้นเคยมีถึง 8,500 หัวรบ บวกกับที่สำรองเอาไว้อีก 11,000 ลูก ขณะที่คุณพี่จีนซึ่งยังไม่ถึงกับขึ้นชั้นเป็นอภิมหาอำนาจในช่วงระยะนั้น มีหัวรบนิวเคลียร์ประจำการอยู่ 400 ลูก ฝรั่งเศส 350 อังกฤษ 200 อินเดีย 120 ปากีสถาน 90 เกาหลีเหนือประมาณ 1-10 ลูก นั่นยังไม่นับรวมไปถึงส่วนที่ไม่พยายามเปิดเผยให้ใครๆ เขารู้ แต่ก็ปิดกันให้แซ่ดไปหมด อย่างเช่น อิสราเอล ฯลฯ เป็นต้น จะมีนิวเคลียร์อยู่ซักกี่ลูกต่อกี่ลูกก็มิอาจทราบชัด...
แต่ภายใต้สภาพที่ต่างฝ่ายต่างมีอาวุธมหาประลัยอยู่ในมือด้วยกันทั้งสิ้นนี่เอง ไม่ว่าใครก็ใคร...เลยไม่ถึงกับกล้างัดเอาอาวุธชนิดนี้มายิงใส่กันและกัน เพราะอาจส่งผลให้ฉิบหายวายวอดไปด้วยกันทั้งคู่ มันเลยก่อให้เกิด “สมดุลทางทหาร” หรือ “สมดุลแห่งความกลัว” ขึ้นมาในตัว แม้ว่าโลกทั้งโลกจะเต็มไปด้วยกลิ่นอายสงครามก็ตามที แต่ก็ด้วยสมดุลแห่งความกลัวที่ว่า...เลยทำให้สงครามมันไม่ถึงกับร้อนฉ่า ร้อนระเบิดเถิดเทิงกลายสภาพมาเป็น “สงครามเย็น” ตลอดช่วง 40-50 ปี หรือตลอดช่วงหลังจากการยุติ “สงครามโลกครั้งที่ 2” เป็นต้นมา...
อย่างไรก็ตาม...ระหว่างต่างฝ่ายต่างกลัว จนต้องหันมาลดๆ ความกลัว ด้วยการเสนอให้ลดการสะสมอาวุธนิวเคลียร์ โดยเฉพาะระหว่างอภิมหาอำนาจทุนนิยมอย่างอเมริกากับอภิมหาอำนาจสังคมนิยมอย่างโซเวียตรัสเซีย ในช่วงปลายยุค “สงครามเย็น” อันนำไปสู่ข้อตกลงหรือสนธิสัญญาที่เรียกว่า “Anti-Ballistic Missile Treaty” หรือ “ABM” แต่เผอิญขณะที่สังคมนิยมดันเกิดอาการล่มสลายลงไปเป็นแถบๆ ทุนนิยมที่ยังคงยืนหยัดค้ำฟ้า กลับโตเอาๆ และไม่ใช่โตแต่เฉพาะเรื่องเศรษฐกิจ การเมือง ล้วนๆ โดยเฉพาะคุณพ่ออเมริกา บิดาบังเกิดเกล้าของทุนนิยมทั้งหลาย ที่พยายามหันมา “โตทางทหาร” อย่างเป็นระบบและเป็นกิจการ จนนำไปสู่จุดเริ่มต้นของการทำลาย “สมดุลทางยุทธศาสตร์” ของโลกทั้งโลก อย่างเป็นขั้นเป็นตอน ซึ่งจะเป็นไปในรูปใดนั้น...พรุ่งนี้ ค่อยมาว่ากันต่อ...