ในช่วงประมาณปลายปี ค.ศ. 2010 ขณะกำลังมั่นอกมั่นใจว่าการทุ่มทุน ทุ่มเท พัฒนา “อาวุธตามแบบแผน” มาโดยตลอดทำให้แสนยานุภาพทางทหารของอเมริกานั้น แทบไม่เปิดโอกาสให้ใครๆ วิ่งไล่กวด ไล่ตาม ได้ทันเอาเลยแม้แต่น้อย หรือทำให้โลกทั้งโลกมีแต่ต้องสยบยอมอยู่ภายใต้อำนาจทางทหารของสหรัฐฯ หรือเป็นโลกที่จะต้องนอบน้อมยอมรับต่อ “ความเป็นมหาอำนาจเดียว” หรือ “โลกขั้วอำนาจเดียว” ของสหรัฐฯ อย่างมิมีทางหลีกเลี่ยงไปเป็นอื่น...
แต่จากข่าวคราว ข้อมูลที่ได้รับการเปิดเผยโดยวารสารด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและนโยบายต่างประเทศสหรัฐฯ เอง ชื่อว่า “ออร์บิส” (Orbis) ได้เริ่มส่งสัญญาณให้เห็นข้อเท็จจริงบางอย่าง ที่อาจทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างไม่เป็นไปตามนั้นซะทีเดียวนัก โดยเฉพาะเมื่อการหันมาพัฒนาอาวุธตามแบบแผนของบางประเทศ อย่างเช่นรัสเซียหรือจีน ส่งผลให้เกิดอาวุธใหม่ๆ ที่ทรงประสิทธิภาพ มีขีดความสามารถมากพอที่จะตอบโต้ ทำลาย “จุดแข็ง” ของศักยภาพทางทหารของสหรัฐฯ แม้แต่บรรดา “เรือบรรทุกเครื่องบิน” ในแต่ละลำ ให้พังพินาศลงไปภายในเวลาไม่ถึง 20 นาทีเอาเลยก็ไม่แน่!!! หรือทำให้ “สมดุลแห่งความกลัว” สามารถถูกรื้อฟื้นกลับคืนขึ้นมาใหม่ แม้ว่าสหรัฐฯ เคยกล้าพอที่จะตัดสินใจฉีกสนธิสัญญาข้อตกลงทางอาวุธอย่าง “ABM” ไปแล้วก็ตาม...
อาวุธใหม่ๆ ของจีน อย่างที่รู้จักกันในนาม “Dong Feng 21 D” หรือ “DF-ZF” ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นมาตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1960 นั้น...ว่ากันว่าเป็นขีปนาวุธแบบจรวดร่อนที่วิ่งด้วยความเหนือเสียงระดับ 5 Mach ถึง 10 Mach หรือระดับประมาณ 6,173 – 12,359 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ติดตั้งหัวรบนิวเคลียร์ ใช้เชื้อเพลิงแข็ง มีพิสัยทำการยาวไกลเอามากๆ ชนิดสามารถเล่นงานเรือบรรทุกเครื่องบินของสหรัฐฯ ที่อยู่ห่างจากแท่นยิงภาคพื้นดินไปประมาณ 3,000 กิโลเมตร ให้จมลงภายในระยะเวลาประมาณ 20 นาทีได้สบายๆ เพราะด้วยความเร็วเช่นนี้ทำให้มีโอกาสเจาะทะลวงระบบป้องกันทางอากาศของสหรัฐฯ ชนิดยากที่จะสกัดกั้นได้ด้วยระบบป้องกันขีปนาวุธตามแบบแผน (Conventional Missile Defense System) ที่ใช้การตรวจจับด้วยสัญญาณดาวเทียม เรดาร์ภาคพื้นดิน หรือในทะเล...
แม้ว่าช่วงแรกๆ...กองทัพสหรัฐฯ ยังพออุ่นใจได้บ้างนิดๆ ว่าด้วยความเร็วของอาวุธชนิดนี้ยังน่าจะมีจุดอ่อนอยู่ตรงที่ไม่อาจควบคุมความแม่นยำด้วยระบบคอมพิวเตอร์แบบธรรมดาๆ ได้ แต่เผอิญคุณพี่จีน...ท่านไม่ได้เพียงแต่ทุ่มเทพัฒนาเฉพาะตัวอาวุธล้วนๆ ยังยกเครื่องวิจัย และพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์จนไปโลด ไปแรง ถึงขั้นสามารถสร้าง “Supercomputer” ที่มีขีดความสามารถสูงเอามากๆ หรือที่รู้จักกันในนาม “Thianhe-1A” มาใช้ในกิจการทางทหาร ตามแผนระยะ 5 ปีเพื่อรองรับสงครามไซเบอร์ ได้อย่างสอดคล้อง ลงตัว พอดิบพอดี...
และนั่นเองที่ทำให้ “นายโรเบิร์ต เกตส์” (Robert Gates) อดีตรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ยุครัฐบาลบุช ต้องออกมาสารภาพในระหว่างเดินทางไปเยือนกรุงปักกิ่งเมื่อเดือนมกราคมปี ค.ศ. 2011 ว่า “เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ขีปนาวุธตงเฟิง 21 ดีของจีน มีขีดความสามารถพอที่จะรบกวนเสรีภาพการเคลื่อนไหวของสหรัฐฯ ทำให้สมรรถนะทางทหารบางอย่างของเราตกอยู่ในความเสี่ยง และทำให้ทางเลือกในด้านยุทธศาสตร์ของเราหดแคบลงไป ซึ่งเราจะต้องหาทางรับมือและตอบโต้อย่างเหมาะด้วยโครงการต่างๆของเราเอง...” คือแทนที่จะยอมปล่อยให้ธรรมชาติแห่งความกลัวสร้าง “สมดุลทางยุทธศาสตร์” ขึ้นมาใหม่ กองทัพสหรัฐฯ ก็หันไปทุ่มทุน ทุ่มเท พัฒนาระบบป้องกันขีปนาวุธของตัวเอง ให้แสบสันพิสดารยิ่งๆ ขึ้นไป จนทำให้ “ระบบป้องกันขีปนาวุธบนพื้นที่พิกัดระดับสูง” หรือ “ถาด” หรือ “ทาด” จึงปรากฏเป็นรูปเป็นร่างอย่างที่เห็นๆ กันในทุกวันนี้เป็นอุปกรณ์เครื่องมือทางทหารที่มุ่งไว้ใช้ทำลาย “ยุทธศาสตร์ความมั่นคง” ของใครก็ตามที่คิดโผล่ขึ้นมาเทียบเคียงอำนาจของสหรัฐฯ หรือเพื่อรับประกันการันตีว่าอำนาจสูงสุดในโลกนี้ ย่อมมีอยู่เพียงอำนาจเดียวในโลกแบบขั้วอำนาจเดียว...