“หนึ่งความคิด”
โดย “สุรวิชช์ วีรวรรณ”
ปี 2559 กำลังจะผ่านไป และปี 2560 กำลังจะมาถึง มีคำถามมากมายว่า ประเทศไทยในยุคสมัยใหม่จะเป็นอย่างไรจะก้าวไปสู่ทิศทางไหน ความขัดแย้งของคนในชาติจะดำรงอยู่ต่อไปแค่ไหนและจะจบลงอย่างไร
ปีที่ผ่านมานับเป็นปีที่สาหัสที่สุดของคนไทยก็ว่าได้ การเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 นั้นนำความเศร้าสลดมาสู่คนไทยอย่างใหญ่หลวง แม้ว่าความทุกข์ครั้งนี้เป็นเรื่องที่ยากจะกล้ำกลืนให้ผ่านพ้นไป แต่สิ่งที่ดีที่สุดที่จะถวายความจงรักภักดีก็คือ การช่วยกัน นำความมั่นคงสมัครสมานสามัคคีกลับมาสู่สังคมไทย
โดยเฉพาะแนวพระราชดำรัสของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี บอกว่า “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใหม่ทรงรับสั่งกับรัฐบาล และรัฐมนตรีบางท่านว่า ขอให้รัฐบาลทำหน้าที่เพื่อให้ประชาชนมีความสุขให้มากที่สุดในรัชกาลปัจจุบัน โดยใช้แนวทางของสมเด็จพระบรมชนกนาถ ซึ่งได้ทรงทำมาตลอด 70 ปีที่ผ่านมา พระองค์ท่านทรงให้สืบสายต่อในสิ่งเหล่านี้ไม่ให้เสื่อมถอย หรือน้อยลงไปกว่าเดิมที่มีอยู่ พระองค์ท่านทรงรับสั่งด้วยความห่วงใย ในสิ่งสำคัญหลัก ๆ คือเรื่องของการศึกษา การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การสาธารณสุข การเสริมสร้างอาชีพรายได้ และคุณภาพชีวิต สิ่งสำคัญจะต้องทำให้ประเทศชาติสงบสุข สันติไม่มีความขัดแย้ง ดังนั้นพวกเราทุกคนจะต้องสนองพระราชปณิธานของพระองค์ท่านตามแนวทางของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใหม่ โดยใช้ศาสตร์พระราชาของพระบรมชนกนาถ รัชกาลที่ 9 มาเป็นแนวทางในการปฏิบัติ”
ผมเชื่อเช่นกันว่า นับแต่นี้ความขัดแย้งในสังคมไทยจะยิ่งลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเห็นจากการที่ประชาชนแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันใน วันสูญเสียพ่อหลวงของปวงชนชาวไทย ทำให้เห็นว่ากลุ่มคนที่ต้องการบั่นทอนสถาบันนั้นเป็นเพียงคนกลุ่มน้อยเหลือเกินในสังคมไทยจนเรียกว่าแทบจะไม่มีความหมายก็ได้
แม้จะยังมีคนที่มีความคิดเห็นทางการเมืองแตกต่างกัน แต่ถ้าไม่เป็นเครื่องมือของใครและมีความมุ่งหมายต่อชาติบ้านเมืองด้วยกันแล้วก็ไม่ยากที่จะหลอมหลวมกันได้ ผมเชื่อทุกฝ่ายยังมีคนดีๆ อยู่ ฝ่ายหนึ่งต้องการรัฐบาลที่มีคุณธรรม ฝ่ายหนึ่งต้องการรัฐบาลที่ตัวเองเลือก ฝ่ายหนึ่งต้องการสังคมที่แบ่งบัน ฝ่ายหนึ่งต้องการการแข่งขันที่เป็นธรรม ไม่ได้มีเรื่องที่ขุ่นข้องหมองใจกันเลย
ความขัดแย้งตลอด 10 ปีมานี้ที่มาจากการออกมาต้านตัวบุคคลในทางการเมืองนั้น เห็นชัดแล้วว่าถึงวันนี้ความอึกเหิมของบุคคลผู้นั้นที่ต้องการให้สังคมไทยไม่มีความสงบสุขหลังจากตัวเองสูญเสียอำนาจค่อยๆที่จะสิ้นเรี่ยวแรงไป มีเพียงคนส่วนน้อยที่ยังปลุกปั่นเพราะต้องการเปลี่ยนแปลงสังคมไทยอย่างถึงรากถึงโคนโค่นล้มและสร้าง ระบอบใหม่ขึ้นมาเท่านั้นที่ยังฝันเฟื่องแต่ก็ยากจะกลายเป็นฝันที่เป็นจริงได้ ดูแล้วหลายคนที่มีอายุมากแล้วน่าจะจบชีวิตลงในต่างแดนในฐานะผู้ลี้ภัยและไม่มีโอกาสกลับคืนมาสู่แผ่นดินเกิดอีก
ตอนที่ คสช.เข้ามายึดอำนาจนั้น แม้เราจะชอบหรือไม่ชอบก็ตามสิ่งที่เราต้องยอมรับก็คือบ้านเมืองกำลังไร้ทางออก และกำลังนำประเทศไปสู่ความล้มเหลว ฝ่ายสนับสนุนอำนาจเก่าหยิบอาวุธสงครามออกมาเข่นฆ่าประชาชนที่ออกมาต่อต้านจนทหารใช้เป็นเหตุผลในการยึดอำนาจ ไม่รู้เหมือนกันว่า พวกที่เรียกตัวเองว่าฝ่ายประชาธิปไตยเพื่อกดทับคนอื่นนั้น มองเห็นการฆ่าคนที่มีความคิดทางการเมืองไม่ตรงกับตัวเองเป็นความชอบธรรมหรือไม่เพราะพวกนี้ไม่เคยพูดถึงพร่ำร้องแต่เพียงการสูญเสียของฝ่ายตัวเองราวกับคนมีคุณค่าไม่เท่ากัน แถมไม่เคยคิดเลยหรือว่าในวันที่ฝ่ายตัวเองตัดสินใจที่จะหยิบอาวุธขึ้นมาต่อสู้กับอำนาจรัฐนั้นย่อมจะต้องมีความสูญเสียตามมา
ดังนั้นใครจะเรียกตัวเองว่าฝ่ายประชาธิปไตยก็เรียกไปเถอะ อาจจะมีที่ขำขันอยู่บ้างก็คือ บางคน คสช.ไม่ได้ต้องการหรือให้ความสลักสำคัญอะไร แค่เรียกตัวมารายงานที่ทำเหมือนกันทุกฝ่าย จะเห็นว่า คนที่มารายงานตัววันนี้ก็กลับไปอยู่บ้านนอนสบาย แต่บางคนอยากจะสร้างโปรไฟล์ตัวเองให้กลายเป็นนักต่อสู้ก็เลยอพยพตัวเองไปอยู่ต่างประเทศ แบ่งกันไปตามชนชั้น เกรดดีหน่อยก็ได้ไปอยู่ยุโรปอเมริกา เกรดต่ำหน่อยก็อยู่แถวลาวเขมร ไม่รู้ว่านี่คือความไม่เท่าเทียมหรือไม่
แน่นอนความคิดเป็นเสรีภาพไม่มีใครห้ามความคิดฝันของใครได้ ใครจะมีความคิดทางการเมืองแบบไหนก็แล้วแต่ แต่ในที่สุดคนส่วนใหญ่ของประเทศนั้นจะเป็นผู้ตัดสิน และวันนี้เห็นแล้วว่า คนไทยส่วนใหญ่เลือกนำพาบ้านเมืองของตัวเองไปในทิศทางใดนี่แหละคุณค่าของประชาธิปไตยที่แท้จริง ซึ่งไม่ว่ารัฐบาลไหนก็ต้องตระหนักต่อความต้องการของคนส่วนใหญ่
จากประชามติของการรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ สะท้อนว่าวันนี้เราเลือกที่จะบ้านเมืองเดินแบบนี้ไปชั่วระยะหนึ่งแล้วค่อยๆ เปลี่ยนผ่าน
ภาระสำคัญของรัฐบาลประยุทธ์ที่จะนำพาประเทศชาติไปในขณะนี้จนเปลี่ยนผ่านไปสู่การเลือกตั้งนั้นย่อมจะต้องมีเป้าหมายเพื่อความมั่นคงของชาติบ้านเมืองเพื่อสร้างรากฐานทางการเมืองภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขขึ้นมาใหม่ ทำอย่างไรให้การเมืองแบบเก่าที่ประชาชนเอือมระอาเพราะเต็มไปด้วยการแสวงหาผลประโยชน์นั้นหมดสิ้นไปจากสังคมไทย
เราเห็นอยู่ว่ารัฐธรรมนูญใหม่นั้นถูกเขียนขึ้นให้รัดกุมกว่าเก่าเมื่อเทียบกับรัฐธรรมนูญปี2550 ที่เกิดขึ้นหลังการรัฐประหา ร2549 เพราะครั้งนั้นหลังกลับมาสู่การเลือกตั้งเราก็ได้การเมืองแบบเดิมและพาประเทศชาติดิ่งเหวไปยิ่งกว่าเดิม แต่ครั้งนี้อำนาจจะค่อยเปลี่ยนกลับมาสู่มือของประชาชนอย่างมีขั้นมีตอน
แน่นอนว่าระบอบประชาธิปไตยนั้นการตัดสินของประชาชนเป็นอำนาจสูงสุด และเราปฏิเสธอำนาจนี้ไม่ได้ แต่ทางออกแบบไทยของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ผ่านประชามติของประชาชนนั้นค่อยๆ นำไปสู่การเปลี่ยนผ่านกลับไปสู่ประชาชนนั้นอาจเป็นทางออกที่ดีกว่าเพราะเรามีบทเรียนการกลับไปย่ำอยู่ที่เดิม ของรัฐธรรมนูญ2550มาแล้ว
สิ่งที่สำคัญก็คือ ที่ผ่านมานักการเมืองอ้างเอาอำนาจประชาชนที่มอบให้นี่แหละไปแสวงหาผลประโยชน์ แต่เมื่อถูกจับได้แล้วก็กลับไปปลุกปั่นประชาชนว่า อำนาจของประชาชนนั้นกำลังถูกสั่นคลอนหลอกลวงประชาชนให้ออกมาสู้แทนนักการเมืองด้วยการปลุกสงครามทางชนชั้นขึ้นมา วันนี้ประชาชนส่วนหนึ่งกลับไปบ้านแล้วต้องก้มหน้าทำมาหากินดิ้นรนกับชีวิต บางคนติดคุกเพราะถูกยุยงให้ไปเผาสถานที่ราชการ ในขณะที่แกนนำนั้นสร้างฐานะร่ำรวยขึ้นจากหน้ามือเป็นหลังมือกลายเป็นชนนั้นเศรษฐีใหม่ขึ้นมาเสียเอง
แล้วยังเรียกการต่อสู้เพื่อปลุกปั่นหลอกลวงประชาชนนั้นว่า เป็นการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย กล่าวหาว่าฝ่ายที่ออกมาต่อต้านนักการเมืองโกงว่าเป็นฝ่ายต่อต้านประชาธิปไตย
ปี 2560 เรายังคงต้องอยู่กับรัฐบาลประยุทธ์ไปอีกหนึ่งปี ผมยังไม่อยากมองยาวไกลไปกว่านั้น ว่าการเลือกตั้งยังคงมาตามนัดหมายหรือไม่ หรือรัฐธรรมนูญใหม่ที่จะประกาศใช้จะเขียนให้นายกรัฐมนตรีที่มาจากคนนอกมีโอกาสได้ตำแหน่งสูงหลังการเลือกตั้งครั้งต่อไปถ้าสามารถกุมเสียง ส.ว.250เสียงไว้ได้ก็ตาม พล.อ.ประยุทธ์ที่เราเชื่อว่ามาแน่ๆ เอาไว้ให้ถึงตอนนั้นดีกว่า เอาเป็นว่าปี 2560 นี้ในขณะที่ยังมีอำนาจเต็มเป็นรัฐบาลทหารรัฐบาลชุดนี้จะนำพาประเทศไทยฟันฝ่าวิกฤตที่จะถั่งโถมได้มากขนาดไหน
ผมคิดว่าทิศทางข้างหน้าฟ้าใหม่นั้น ไม่ว่าใครก็มีชะตากรรมที่พลิกผันได้เสมอ แต่ที่เห็นชัดแล้วจากแนวทางของบ้านเมืองที่กำลังจัดแถวอยู่ในเวลานี้ บอกได้คำเดียวว่า หนทางของคนแดนไกลและลิ่วล้อจบลงแล้ว
โดย “สุรวิชช์ วีรวรรณ”
ปี 2559 กำลังจะผ่านไป และปี 2560 กำลังจะมาถึง มีคำถามมากมายว่า ประเทศไทยในยุคสมัยใหม่จะเป็นอย่างไรจะก้าวไปสู่ทิศทางไหน ความขัดแย้งของคนในชาติจะดำรงอยู่ต่อไปแค่ไหนและจะจบลงอย่างไร
ปีที่ผ่านมานับเป็นปีที่สาหัสที่สุดของคนไทยก็ว่าได้ การเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 นั้นนำความเศร้าสลดมาสู่คนไทยอย่างใหญ่หลวง แม้ว่าความทุกข์ครั้งนี้เป็นเรื่องที่ยากจะกล้ำกลืนให้ผ่านพ้นไป แต่สิ่งที่ดีที่สุดที่จะถวายความจงรักภักดีก็คือ การช่วยกัน นำความมั่นคงสมัครสมานสามัคคีกลับมาสู่สังคมไทย
โดยเฉพาะแนวพระราชดำรัสของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี บอกว่า “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใหม่ทรงรับสั่งกับรัฐบาล และรัฐมนตรีบางท่านว่า ขอให้รัฐบาลทำหน้าที่เพื่อให้ประชาชนมีความสุขให้มากที่สุดในรัชกาลปัจจุบัน โดยใช้แนวทางของสมเด็จพระบรมชนกนาถ ซึ่งได้ทรงทำมาตลอด 70 ปีที่ผ่านมา พระองค์ท่านทรงให้สืบสายต่อในสิ่งเหล่านี้ไม่ให้เสื่อมถอย หรือน้อยลงไปกว่าเดิมที่มีอยู่ พระองค์ท่านทรงรับสั่งด้วยความห่วงใย ในสิ่งสำคัญหลัก ๆ คือเรื่องของการศึกษา การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การสาธารณสุข การเสริมสร้างอาชีพรายได้ และคุณภาพชีวิต สิ่งสำคัญจะต้องทำให้ประเทศชาติสงบสุข สันติไม่มีความขัดแย้ง ดังนั้นพวกเราทุกคนจะต้องสนองพระราชปณิธานของพระองค์ท่านตามแนวทางของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใหม่ โดยใช้ศาสตร์พระราชาของพระบรมชนกนาถ รัชกาลที่ 9 มาเป็นแนวทางในการปฏิบัติ”
ผมเชื่อเช่นกันว่า นับแต่นี้ความขัดแย้งในสังคมไทยจะยิ่งลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเห็นจากการที่ประชาชนแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันใน วันสูญเสียพ่อหลวงของปวงชนชาวไทย ทำให้เห็นว่ากลุ่มคนที่ต้องการบั่นทอนสถาบันนั้นเป็นเพียงคนกลุ่มน้อยเหลือเกินในสังคมไทยจนเรียกว่าแทบจะไม่มีความหมายก็ได้
แม้จะยังมีคนที่มีความคิดเห็นทางการเมืองแตกต่างกัน แต่ถ้าไม่เป็นเครื่องมือของใครและมีความมุ่งหมายต่อชาติบ้านเมืองด้วยกันแล้วก็ไม่ยากที่จะหลอมหลวมกันได้ ผมเชื่อทุกฝ่ายยังมีคนดีๆ อยู่ ฝ่ายหนึ่งต้องการรัฐบาลที่มีคุณธรรม ฝ่ายหนึ่งต้องการรัฐบาลที่ตัวเองเลือก ฝ่ายหนึ่งต้องการสังคมที่แบ่งบัน ฝ่ายหนึ่งต้องการการแข่งขันที่เป็นธรรม ไม่ได้มีเรื่องที่ขุ่นข้องหมองใจกันเลย
ความขัดแย้งตลอด 10 ปีมานี้ที่มาจากการออกมาต้านตัวบุคคลในทางการเมืองนั้น เห็นชัดแล้วว่าถึงวันนี้ความอึกเหิมของบุคคลผู้นั้นที่ต้องการให้สังคมไทยไม่มีความสงบสุขหลังจากตัวเองสูญเสียอำนาจค่อยๆที่จะสิ้นเรี่ยวแรงไป มีเพียงคนส่วนน้อยที่ยังปลุกปั่นเพราะต้องการเปลี่ยนแปลงสังคมไทยอย่างถึงรากถึงโคนโค่นล้มและสร้าง ระบอบใหม่ขึ้นมาเท่านั้นที่ยังฝันเฟื่องแต่ก็ยากจะกลายเป็นฝันที่เป็นจริงได้ ดูแล้วหลายคนที่มีอายุมากแล้วน่าจะจบชีวิตลงในต่างแดนในฐานะผู้ลี้ภัยและไม่มีโอกาสกลับคืนมาสู่แผ่นดินเกิดอีก
ตอนที่ คสช.เข้ามายึดอำนาจนั้น แม้เราจะชอบหรือไม่ชอบก็ตามสิ่งที่เราต้องยอมรับก็คือบ้านเมืองกำลังไร้ทางออก และกำลังนำประเทศไปสู่ความล้มเหลว ฝ่ายสนับสนุนอำนาจเก่าหยิบอาวุธสงครามออกมาเข่นฆ่าประชาชนที่ออกมาต่อต้านจนทหารใช้เป็นเหตุผลในการยึดอำนาจ ไม่รู้เหมือนกันว่า พวกที่เรียกตัวเองว่าฝ่ายประชาธิปไตยเพื่อกดทับคนอื่นนั้น มองเห็นการฆ่าคนที่มีความคิดทางการเมืองไม่ตรงกับตัวเองเป็นความชอบธรรมหรือไม่เพราะพวกนี้ไม่เคยพูดถึงพร่ำร้องแต่เพียงการสูญเสียของฝ่ายตัวเองราวกับคนมีคุณค่าไม่เท่ากัน แถมไม่เคยคิดเลยหรือว่าในวันที่ฝ่ายตัวเองตัดสินใจที่จะหยิบอาวุธขึ้นมาต่อสู้กับอำนาจรัฐนั้นย่อมจะต้องมีความสูญเสียตามมา
ดังนั้นใครจะเรียกตัวเองว่าฝ่ายประชาธิปไตยก็เรียกไปเถอะ อาจจะมีที่ขำขันอยู่บ้างก็คือ บางคน คสช.ไม่ได้ต้องการหรือให้ความสลักสำคัญอะไร แค่เรียกตัวมารายงานที่ทำเหมือนกันทุกฝ่าย จะเห็นว่า คนที่มารายงานตัววันนี้ก็กลับไปอยู่บ้านนอนสบาย แต่บางคนอยากจะสร้างโปรไฟล์ตัวเองให้กลายเป็นนักต่อสู้ก็เลยอพยพตัวเองไปอยู่ต่างประเทศ แบ่งกันไปตามชนชั้น เกรดดีหน่อยก็ได้ไปอยู่ยุโรปอเมริกา เกรดต่ำหน่อยก็อยู่แถวลาวเขมร ไม่รู้ว่านี่คือความไม่เท่าเทียมหรือไม่
แน่นอนความคิดเป็นเสรีภาพไม่มีใครห้ามความคิดฝันของใครได้ ใครจะมีความคิดทางการเมืองแบบไหนก็แล้วแต่ แต่ในที่สุดคนส่วนใหญ่ของประเทศนั้นจะเป็นผู้ตัดสิน และวันนี้เห็นแล้วว่า คนไทยส่วนใหญ่เลือกนำพาบ้านเมืองของตัวเองไปในทิศทางใดนี่แหละคุณค่าของประชาธิปไตยที่แท้จริง ซึ่งไม่ว่ารัฐบาลไหนก็ต้องตระหนักต่อความต้องการของคนส่วนใหญ่
จากประชามติของการรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ สะท้อนว่าวันนี้เราเลือกที่จะบ้านเมืองเดินแบบนี้ไปชั่วระยะหนึ่งแล้วค่อยๆ เปลี่ยนผ่าน
ภาระสำคัญของรัฐบาลประยุทธ์ที่จะนำพาประเทศชาติไปในขณะนี้จนเปลี่ยนผ่านไปสู่การเลือกตั้งนั้นย่อมจะต้องมีเป้าหมายเพื่อความมั่นคงของชาติบ้านเมืองเพื่อสร้างรากฐานทางการเมืองภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขขึ้นมาใหม่ ทำอย่างไรให้การเมืองแบบเก่าที่ประชาชนเอือมระอาเพราะเต็มไปด้วยการแสวงหาผลประโยชน์นั้นหมดสิ้นไปจากสังคมไทย
เราเห็นอยู่ว่ารัฐธรรมนูญใหม่นั้นถูกเขียนขึ้นให้รัดกุมกว่าเก่าเมื่อเทียบกับรัฐธรรมนูญปี2550 ที่เกิดขึ้นหลังการรัฐประหา ร2549 เพราะครั้งนั้นหลังกลับมาสู่การเลือกตั้งเราก็ได้การเมืองแบบเดิมและพาประเทศชาติดิ่งเหวไปยิ่งกว่าเดิม แต่ครั้งนี้อำนาจจะค่อยเปลี่ยนกลับมาสู่มือของประชาชนอย่างมีขั้นมีตอน
แน่นอนว่าระบอบประชาธิปไตยนั้นการตัดสินของประชาชนเป็นอำนาจสูงสุด และเราปฏิเสธอำนาจนี้ไม่ได้ แต่ทางออกแบบไทยของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ผ่านประชามติของประชาชนนั้นค่อยๆ นำไปสู่การเปลี่ยนผ่านกลับไปสู่ประชาชนนั้นอาจเป็นทางออกที่ดีกว่าเพราะเรามีบทเรียนการกลับไปย่ำอยู่ที่เดิม ของรัฐธรรมนูญ2550มาแล้ว
สิ่งที่สำคัญก็คือ ที่ผ่านมานักการเมืองอ้างเอาอำนาจประชาชนที่มอบให้นี่แหละไปแสวงหาผลประโยชน์ แต่เมื่อถูกจับได้แล้วก็กลับไปปลุกปั่นประชาชนว่า อำนาจของประชาชนนั้นกำลังถูกสั่นคลอนหลอกลวงประชาชนให้ออกมาสู้แทนนักการเมืองด้วยการปลุกสงครามทางชนชั้นขึ้นมา วันนี้ประชาชนส่วนหนึ่งกลับไปบ้านแล้วต้องก้มหน้าทำมาหากินดิ้นรนกับชีวิต บางคนติดคุกเพราะถูกยุยงให้ไปเผาสถานที่ราชการ ในขณะที่แกนนำนั้นสร้างฐานะร่ำรวยขึ้นจากหน้ามือเป็นหลังมือกลายเป็นชนนั้นเศรษฐีใหม่ขึ้นมาเสียเอง
แล้วยังเรียกการต่อสู้เพื่อปลุกปั่นหลอกลวงประชาชนนั้นว่า เป็นการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย กล่าวหาว่าฝ่ายที่ออกมาต่อต้านนักการเมืองโกงว่าเป็นฝ่ายต่อต้านประชาธิปไตย
ปี 2560 เรายังคงต้องอยู่กับรัฐบาลประยุทธ์ไปอีกหนึ่งปี ผมยังไม่อยากมองยาวไกลไปกว่านั้น ว่าการเลือกตั้งยังคงมาตามนัดหมายหรือไม่ หรือรัฐธรรมนูญใหม่ที่จะประกาศใช้จะเขียนให้นายกรัฐมนตรีที่มาจากคนนอกมีโอกาสได้ตำแหน่งสูงหลังการเลือกตั้งครั้งต่อไปถ้าสามารถกุมเสียง ส.ว.250เสียงไว้ได้ก็ตาม พล.อ.ประยุทธ์ที่เราเชื่อว่ามาแน่ๆ เอาไว้ให้ถึงตอนนั้นดีกว่า เอาเป็นว่าปี 2560 นี้ในขณะที่ยังมีอำนาจเต็มเป็นรัฐบาลทหารรัฐบาลชุดนี้จะนำพาประเทศไทยฟันฝ่าวิกฤตที่จะถั่งโถมได้มากขนาดไหน
ผมคิดว่าทิศทางข้างหน้าฟ้าใหม่นั้น ไม่ว่าใครก็มีชะตากรรมที่พลิกผันได้เสมอ แต่ที่เห็นชัดแล้วจากแนวทางของบ้านเมืองที่กำลังจัดแถวอยู่ในเวลานี้ บอกได้คำเดียวว่า หนทางของคนแดนไกลและลิ่วล้อจบลงแล้ว