“หนึ่งความคิด”
โดย “สุรวิชช์ วีรวรรณ”
ไม่รู้ว่ากรณี ธรรมกายและธัมมชโย จะจบลงอย่างไร แต่เมื่อเกิดกรณีที่กำลังเป็นที่กล่าวขานกันอยู่ตอนนี้มันทำให้ผมอดคิดถึงผู้ชายที่ชื่อ สนธิ ลิ้มทองกุล ไม่ได้ในฐานะที่เขาเคยเป็นหัวหอกคนสำคัญที่ลุกขึ้นมาต่อสู้เรื่องนี้
การเติบใหญ่ของธรรมกายนั้นไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้นแต่มีการวางแผนอย่างเป็นระบบมานับสิบๆ ปี โดยเจตนารมณ์และปณิธานที่สำคัญของธัมมชโย ก็คือการจัดตั้งธรรมกายเป็นวาติกันของพุทธศาสนา โดยพยายามสร้างธรรมกายให้ขยายตัวเติบใหญ่อย่างไม่หยุดยั้ง ทั้งกำลังเงิน กำลังคน เครือข่าย และการเข้าครอบงำมหาเถรสมาคมให้ได้
แต่สิ่งที่เป็นอุปสรรคขวากหนามสำคัญของธรรมกายก็คือ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก อดีตสมเด็จพระสังฆราชนั่นเอง เพราะสมเด็จพระสังฆราชได้ทรงมีพระลิขิตหลายครั้งว่า ธัมมชโย อาบัติปาราชิกพ้นจากความเป็นพระแล้ว
ดังพระลิขิตฉบับที่ 2 เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2542ว่า “ไม่คิดให้มีโทษ เพราะคิดในแง่ยกประโยชน์ให้ ว่าในขั้นต้นอาจมิใช่มีเจตนาถือเอาสมบัติของวัดเป็นของตนจริงๆ แต่เมื่อถึงอย่างไรก็ไม่ยอมมอบคืนสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะเป็นพระ ให้แก่วัด ก็แสดงชัดแจ้ง ว่าต้องอาบัติปาราชิก ต้องพ้นจากความเป็นสมณะโดยอัตโนมัติ ต้องถูกจัดการอย่างเด็ดขาด เช่นเดียวกับผู้ที่ไม่ใช่พระปลอมเป็นพระ ด้วยการนำผ้ากาสาวพัสตร์ไปครอง ทำความเศร้าหมองเสื่อมเสีย ให้เกิดแก่สงฆ์ในพระพุทธศาสนา”
แต่แม้จะมีพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชออกมาหลายครั้ง ก็ไม่มีใครทำอะไรธัมมชโยได้จนทักษิณเข้าสู่อำนาจเมื่อปี 2544
เราปฏิเสธไม่ได้ก็คือว่าธัมมชโยกับทักษิณ นั้นเป็นแนวร่วมเดียวกัน คนหนึ่งมีเป้าหมายทางการเมืองคนหนึ่งมีเป้าหมายทางศาสนาจึงเกิดเป็นแรงสองประสานระหว่างเจ้าแห่งลัทธิการตลาดการเมืองกับ เจ้าแห่งลัทธิการตลาดการพุทธศาสนา โดยมีเป้าหมายการเข้าครอบครองสังคมไทยและคนไทยอย่างเบ็ดเสร็จ ในระดับลึกถึง จิตวิญญาณ และเราจะเห็นในเวลาต่อมาเมื่อคนเสื้อแดงชุมนุมก็ใช้วัดธรรมกายนั่นแหละเป็นแหล่งพักพิง
แต่ไม่ว่าความสัมพันธ์ของทักษิณกับธัมมชโยจะโยงใยกันหรือไม่ก็ตาม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในยุคนั้นก็คือ การลิดรอนอำนาจของสมเด็จพระญาณสังวรฯ
นั่นคือ ที่มาของตำแหน่งประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ของ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโน) เจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร เพื่อมาทำหน้าที่แทนสมเด็จพระญาณสังวรฯ
โดยรัฐบาลในขณะนั้นพยายามทำให้สังคมเข้าใจว่า สมเด็จพระญาณสังวรฯ สมเด็จพระสังฆราชทางกฎหมายในขณะนั้นทรง ชราภาพ, ประชวร จนถึงขั้น เสียสมณสารูป และ/หรือ ไม่สามารถลงพระนามในพระบัญชาแต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนด้วยพระองค์เองได้ ทั้งที่ตอนนั้น คณะแพทย์ผู้ให้การรักษายืนยันว่า สมเด็จพระสังฆราชฯ ยังมีสติสัมปชัญญะที่ครบถ้วน
และเป็นที่รับรู้กันอย่างเปิดเผยว่า สมเด็จเกี่ยวซึ่งขึ้นมาปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราชนั้นมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับธัมมชโยและวัดธรรมกาย
นี่เป็นจุดสำคัญที่ทำให้สนธิ ลิ้มทองกุล มองเห็นถึงความผิดปกตินี้และลุกขึ้นมาต่อสู้ ผ่านรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ โดยสนธิเรียกร้องให้แก้ไข พ.ร.บ.คณะสงฆ์ เพื่อเป็นการ ถวายคืนพระราชอำนาจเต็มในการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชให้แก่สถาบันพระมหากษัตริย์ รวมทั้งดำเนินมาตรการทางการบริหารเพื่อ ยกเลิกตำแหน่งประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ของ สมเด็จเกี่ยวเพื่อถวายพระเกียรติคืนแด่ สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก และเปิดโปงให้เห็นถึงสายสัมพันธ์ที่โยงใยกับธรรมกาย
ในตอนนั้นสนธิชี้ให้เห็นถึงภยันตรายของธรรมกายและธัมมชโยถึงคำสอนและวิธีการสอน รวมทั้งชี้ให้เห็นถึงระบบการเผยแพร่ทั้งหมดของสำนักนี้ที่ผิดเพี้ยนไปจากพุทธศาสนาเถรวาทที่เคยสอน และถือปฏิบัติกันมาในประเทศนี้ บุญกลายเป็นสินค้าที่ซื้อหามาได้เพื่อหวังผลกำไรคือความร่ำรวยและชีวิตที่ดีกว่าในภพหน้า มีเงินไม่พอลงทุนซื้อบุญก็ผ่อนส่งเป็นงวดๆ ได้ หรือกู้เงินมาลงทุนได้ ปฏิบัติธรรมไม่ต้องหวังการหลุดพ้นเหมือนที่สอนกันมาแล้วแต่หวังร่ำรวยหวังสวรรค์ชั้นสูงๆ ไว้ก่อน
สิ่งที่สนธิชี้ให้เห็นตอนนั้น โยงมาสู่คดีสหกรณ์เครดิตยูเนียนคลองจั่นซึ่งเป็นแหล่งกู้เงินไปลงทุนในบุญให้แก่ผู้ปรารถนาผลกำไรเป็นสวรรค์ชั้นสูงๆ ที่นำมาสู่การออกหมายจับธัมมชโยในคดีฉ้อโกงในขณะนี้นั่นเอง
เมื่อรวมกับเรื่องลิดรอนอำนาจสมเด็จพระสังฆราชที่โยงใยกับธรรมกายและเรื่องอื่นๆที่สนธิเปิดโปงทักษิณหนักขึ้นผ่านรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ สิ่งที่ทักษิณคิดได้ในขณะนั้นก็คือ สั่งปิดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์เสีย
ตอนที่ ธงทอง จันทรางศุ ซึ่งเป็นกรรมการ อสมท.ในขณะนั้นขันอาสามารับหน้าเสื่อแถลงข่าวเพื่อสั่งปิดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ธงทองอ้างข้อความตอนหนึ่งว่า “นายสนธิมีวิธีการพูดให้ประชาชนเข้าใจและอนุมานได้ว่า ในสังคมไทยปัจจุบันกำลังมีปัญหา โดยเกิดจากรัฐบาลทั้งจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ในเรื่องการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช จนเกิดความเข้าใจของคนไทยส่วนหนึ่งว่า มีสังฆราชสองพระองค์ องค์หนึ่งเป็นของรัฐบาล และองค์หนึ่งเป็นของพระมหากษัตริย์”
การสั่งปิดเมืองไทยรายสัปดาห์ครั้งนั้นนี่เองที่นำมาสู่จุดเปลี่ยนของสังคมไทยทำให้คนชั้นกลางส่วนใหญ่ออกมาร่วมต่อสู้กับสนธิเพราะเห็นว่า สิ่งที่สนธิออกมาต่อสู้นั้นเป็นการต่อสู้เพื่อประเทศชาติเพื่อยับยั้งการเข้าครอบงำสังคมไทยของเจ้าหน้าลัทธิการตลาดทางการเมืองอย่างทักษิณและเจ้าลัทธิการตลาดด้านศาสนาอย่างธัมมชโยที่แฝงอยู่ภายใต้การลิดรอนอำนาจของสมเด็จพระสังฆราช
ถ้าจำกันได้ก่อนสิ้นยุคทักษิณ อัยการได้ยื่นถอนฟ้องธัมมชโชกับพวกโดยอ้างว่าธัมมชโยได้มอบทรัพย์สิน ทั้งที่ดินและเงินกว่า 959 ล้านบาท คืนแก่วัดพระธรรมกายแล้ว จึงเป็นการปฏิบัติตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชฯ ครบถ้วนทุกประการ ประกอบกับขณะนี้บ้านเมืองต้องร่วมกันสร้างความสามัคคีของคนในชาติทุกหมู่เหล่า เห็นว่าหากดำเนินคดีธัมมชโยกับพวกต่อไป อาจก่อให้เกิดความแตกแยก นอกจากนี้การดำเนินคดีต่อไปยังไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ จึงมีคำสั่งให้ถอนฟ้องในคดีนี้
เอาเงินไปแล้วเอากลับมาคืนกลายเป็นไม่มีความผิด เหมือนกฎหมายไม่มีความหมาย พระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชไม่มีความหมายสะท้อนอำนาจที่โยงใยทั้งด้านการเมืองและวงการศาสนาของธัมมชโยได้เป็นอย่างดี
การหลุดพ้นจากคดีนี้เองทำให้ธรรมกายเติบใหญ่ขยายสาขากว้างขวางขึ้นเป็นที่รับรู้กันว่า ธรรมกายนั้นได้หว่านลาภผลไปยังพระสงฆ์ทั่วประเทศ ไม่เว้นแม้แต่สมเด็จหลายองค์ที่เป็นกรรมการมหาเถระสมาคม โดยเฉพาะความสัมพันธ์ฉันลูกศิษย์กับอาจารย์ระหว่างธัมมชโยกับ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (สมเด็จวัดปากน้ำ ช่วง วรปุญฺโญ) ซึ่งเป็นรักษาการสมเด็จพระสังฆราชในขณะนี้
จากวันนั้นธัมมชโยกลายเป็นพยัคฆ์ติดปีก เลื่อนจาก พระราชภาวนาวิสุทธิ์ ขึ้นเป็น พระเทพญาณมหามุนี ในปี 2554 แล้วอาณาจักรขายบุญก็เติบใหญ่มั่นคงขึ้น
สนธิ ลิ้มทองกุล ผู้มาก่อนกาลลุกขึ้นสู้และชี้ให้เห็นถึงความซับซ้อนในการลิดรอนพระราชอำนาจของสมเด็จพระสังฆราชมาตั้งแต่ปี 2550 จนกระทั่งนำมาสู่ความขัดแย้งกับทักษิณ เกิดเป็นปรากฏการณ์สนธิ ที่ทุกคนไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า ถ้าไม่มีคนชื่อสนธิ วันนี้เราอาจยังอยู่ใต้อำนาจของคนชื่อทักษิณ ชินวัตร
น่าตั้งคำถามเหมือนกันนะครับว่า ถ้าไม่มีความขัดแย้งระหว่างสนธิกับทักษิณในวันนั้นที่เริ่มต้นจากกรณีนี้ วันนี้บ้านเมืองจะเป็นอย่างไรภายใต้การสืบทอดอำนาจทางการเมืองของตระกูลชินวัตร และถ้าตระกูลชินวัตรยังครองอำนาจธัมมชโยจะมีชะตากรรมเช่นนี้ไหม
แต่หากเราย้อนกลับไปในวันที่สนธิออกมาต่อสู้เรื่องการลิดรอนอำนาจสมเด็จพระสังฆราชและชี้ให้เห็นถึงผิดภัยของธรรมกายและธัมมชโยที่อยู่เบื้องหลัง ถ้าสามารถหยุดยั้งธรรมกายและธัมมชโยได้เสียตั้งแต่วันนั้นความเสียหายที่เกิดขึ้นก็อาจจะไม่เท่าวันนี้
สนธิ ลิ้มทองกุล ต่อสู้กับเรื่องนี้เกือบ 10 ปีแล้ว ไม่รู้ว่าวันนี้อำนาจรัฐจะจัดการกับธัมมชโยที่ถูกปล่อยให้เติบโตขึ้นมาจนกลายเป็นอำนาจรัฐซ้อนรัฐได้หรือไม่ แต่เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า การต่อสู้เพื่อให้ประเทศชาติบ้านเมืองหลุดพ้นจากสองประสานทักษิณกับธัมมชโยที่หวังจะยึดครองประเทศอย่างเบ็ดเสร็จนั้นเริ่มต้นจากผู้ชายคนนี้
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan