ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - มาวันนี้ ความเป็น “รัฐธรรมกาย” ที่ทรงอิทธิพลและไม่อยู่ภายใต้กฎหมายของราชอาณาจักรไทยก็ยังคงสำแดงอิทธิฤทธิ์อย่างต่อเนื่อง ด้วยกลศึกที่ถือเป็นแก่นแท้ของ “วิชชาธรรมกาย” เพื่อปกป้อง “พระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโย” เจ้าอาวาสกิตติศักดิ์วัดพระธรรมกายที่ถูกแจ้งจับและสั่งฟ้องดำเนินคดีในข้อหา “ฟอกเงิน” และ “รับของโจร” คดีทุจริตสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น รวมทั้งคดีบุกรุกป่าสงวน ที่ อ.ภูเรือ จ.เลย และ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา
ในเที่ยวที่แล้ว เมื่อคราวที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) เดินทางไปแจ้งข้อกล่าวหากับพระเทพญาณมหามุนีหรือพระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโยในวัดพระธรรมกาย สังคมก็ได้ประจักษ์ถึง วิชชาธรรมกาย มาแล้วครั้งหนึ่ง
ครั้งนี้ เมื่ออัยการมีคำสั่งฟ้องคดี และศาลอนุมัติหมายค้นเพื่อไปนำตัวเจ้าคุณธัมมชโยมาดำเนินคดี วิชชาธรรมกายก็ยิ่งถูกนำมาใช้ในทุกรูปแบบ และเข้มข้นหนักหน่วงขึ้น และทำไปทำมาภาครัฐก็ทำท่าจะ “ล้มเหลว” และ “ยืดเยื้อ” จนเกิดคำถามดังอึงมี่ไปทั่วทั้งสังคมว่า ทำไม ทำไมและทำไมถึงจับพระธัมมชโยไม่ได้
เรื่องนี้ต้องวิเคราะห์ยุทธศาสตร์และยุทธวิธีที่ทั้งสองฝ่ายนำมาใช้ เพราะจะทำให้เข้าใจสถานการณ์ “ฟาวล์นะจ๊ะ” ที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี
ในฝั่งวัดพระธรรมกาย
หลังช่อง DMC TV ถูกปิด แม้จอดำสนิท แต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบการเคลื่อนไหวเพื่อปกป้องพระธัมมชโยและการระดมคนเข้ามาภายในวัดเลยแม้แต่น้อย เพราะทางวัดก็ยังคงเดินหน้าท้าทายอำนาจรัฐต่อไป โดยวันที่ 8 ธันวาคม DMC TV ได้หันไปใช้วิธีไลฟ์สด ผ่านเฟซบุ๊กและยูทูป ที่ กสทช.ไร้อำนาจปิด นอกจากนั้น หันมาใช้สื่อออนไลน์ที่เป็นเครื่องมือสื่ออันทรงพลัง สามารถใช้ในการติดต่อสื่อสารกันได้แบบตัวต่อตัว
นอกจากนี้ ยังมีทีวีแดงที่พร้อมใจเปิดโอกาสให้มาออกอากาศอีกต่างหาก ดังเช่น การที่ “โฆษกนะจ๊ะ”-นายองอาจ ธรรมนิทา ไปเป็นแขกรับเชิญให้สัมภาษณ์กับรายการ “เวทีทรรศน์” ทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม TV24 สถานีประชาชน ซึ่งเปลี่ยนชื่อมาจากสถานีโทรทัศน์ Asia Update และสถานีโทรทัศน์ DNN ซึ่งเป็นช่องทีวีของคนเสื้อแดง
ขณะเดียวกันในทางยุทธวิธี วัดพระธรรมกายก็วางแผนเคลื่อนไหวอย่างเป็นระบบไม่ต่างจาก “ม็อบการเมือง” และถ้าจะว่าไปแล้วก็ไม่ต่างจาก “ม็อบคนเสื้อแดง” ซึ่งถือเป็นแนวร่วมเสียด้วยซ้ำไป
ยกตัวอย่างเช่น มีการระดมศิษยานุศิษย์จากทั่วประเทศพร้อมเสบียงเข้ามาภายในวัดเพื่อปกป้องพระเทพญาณมหามุนี โดยอ้างว่า เพื่อสวดมนต์บทธัมมจักรกัปปวัตนสูตรเนื่องวันขึ้น 15 ค่ำ และปักหลักพักค้างคืนอย่างต่อเนื่อง พร้อม เสริมกำลังเข้ามาเป็นระยะๆ
การปลุกปั่นยุยงศิษยานุศิษย์ถูกนำมาใช้ด้วยท่วงทำนองเดิมๆ คือ “เราเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ของหลวงพ่อธัมมชโย” และกล่าวหาว่าถูกรังแกจากภาครัฐด้วยความไม่เป็นธรรม แถมเที่ยวนี้ยังเลยเถิดถึงขนาดอ้างว่า ต้นสายปลายเหตุมาจากศาสนาอิสลามที่ต้องการทำลายพุทธศาสนาในประเทศไทย
โพนทะนาอย่างต่อเนื่องว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐจะใช้ความรุนแรงในการเข้าจับกุมต้นธาตุต้นธรรมของตนเอง
แต่ในขณะเดียวกันก็มีการนำเสาเข็มมาปิดกั้นเส้นทางภายในวัดเพื่อไม่ให้เจ้าหน้าที่เข้าไปข้างใน รวมทั้งมีการโรยตะปูเรือใบ ใส่กุญแจล็อกประตูทางเข้าวัด พร้อมใช้โล่มนุษย์มาเป็นเกราะกำบังนั่งสวดมนต์และทำสมาธิขวางประตู
เหล่านี้คือสิ่งที่สังคมประจักษ์แจ้งในวิชชาธรรมกาย ซึ่งไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อว่า เหลี่ยมคูทางการเคลื่อนไหวเหล่านี้จะถูกองค์กรพุทธศาสนาที่อ้างนักอ้างหนาว่าสั่งสอนให้คนกระทำความดีเพื่อแสวงหาความหลุดพ้นนำมาใช้จนแทบไม่ต่างจากการเคลื่อนไหวทางการเมือง
ประตู 4 วัดพระธรรมกายที่ถูกล็อกเอาไว้ ซึ่งแม้เจ้าหน้าที่เพื่อขอให้เปิดประตู แต่ทางวัดได้ปฏิเสธเปิดประตู โดยให้เหตุผลว่าไม่สามารถเปิดได้
ถามว่า ได้ผลหรือไม่ ก็ต้องตอบว่า ได้ผลร้อยเปอร์เซ็นต์กับกลุ่มศิษยานุศิษย์เพราะทุกคนพร้อมจะเชื่อโดยไม่ต้องสงสัยและแสวงหาความจริงอะไรเพิ่มเติม
วัดพระธรรมกายแสดงให้เห็นชัดว่า พวกเขาไม่ยี่หระต่อกฎหมายและหลักนิติธรรมของบ้านเมือง โดยพร้อมจะทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องพระเดชพระคุณหลวงพ่อของพวกเขา
องอาจ ธรรมนิทา โฆษกคณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย ตั้งโต๊ะแถลงข่าวปลุกระดมมวลชนว่าภาครัฐดำเนินการโดยไม่เป็นธรรม อ้างสารพัดสารพันว่า เจ้าหน้าที่จะใช้ความรุนแรง เตรียมยกกำลังหลายพันคนราวกับจะทำสงคราม เพียงเพื่อจะจับกุมพระภิกษุชราที่อาพาธหนัก และทำความดีมาทั้งชีวิต
แต่นายองอาจกลับไม่สามารถอธิบายได้ว่า พระภิกษุชราที่อาพาธหนักทำไมถึงต้องกบดานอยู่ในวัดโดยไม่ไปรักษาตัวในโรงพยาบาล และทำไมในเมื่อเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ของตนเอง จึงไม่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเพื่อพิสูจน์ความจริง
แถมยังข่มขู่อีกว่า ถ้าเจ้าหน้าที่ตำรวจบุกเข้ามาภายในวัดอาจทำให้เสี่ยงต่อการสูญเสียมีผู้บาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก
นี่ไม่ใช่คำขู่ แต่เป็นการประกาศให้เห็นว่า วัดพระธรรมกายพร้อมรบ
ร้ายไปกว่านั้นยังมีหยิบยกเหตุที่ไม่บังควรมาอธิบายอีกต่างหากว่า “ในช่วงเวลานี้เป็นห้วงเวลาพิเศษที่ชาวไทยทั้งประเทศ รวมถึงคณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย ได้ร่วมใจกันจัดพิธีบำเพ็ญกุศลเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นประจำทุกวัน ยิ่งกว่านั้นยังเป็นโอกาสมหามงคลอันประเสริฐที่ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ได้เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นมิ่งขวัญของประชาชนชาวไทย ควรจะเป็นห้วงเวลาที่ชาวไทยทุกคนได้สมานฉันท์เป็นหนึ่งเดียวกัน รักษาสังคมบ้านเมืองที่สงบสันติสุขเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เสริมพระบรมเดชานุภาพของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยให้ปรากฏแก่ชาวโลก ไม่ควรที่จะมีเหตุการณ์รุนแรงใดๆ เกิดขึ้น”
คำถามที่เกิดขึ้นมีอยู่ว่า ในเมื่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโยถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด ทำไมถึงจะต้องไปอ้างสถาบันเบื้องสูง ซึ่งถือว่าเป็นการไม่บังควรเป็นอย่างยิ่ง
เพราะในความเป็นจริงแล้ว เรื่องนี้จะไม่มีปัญหาอะไรมากมาย ถ้าพระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโยของชาวธรรมกายตัดสินใจเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมของประเทศ โดยให้ศาลซึ่งดำเนินการภายใต้พระปรมาภิไธยเป็นผู้วินิจฉัยความผิดชอบชั่วดี
คณะศิษยานุศิษย์ไม่จำเป็นต้องอ้างสถาบัน แล้วก็ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการเดิมๆคือ ยุทธศาสตร์โลกล้อมประเทศเหมือนที่นักโทษชายหนีคดีทักษิณ ชินวัตรใช้ ด้วยการให้คณะสงฆ์หรือสถาบันสงฆ์ในต่างประเทศซึ่งอยู่ในเครือข่ายของตนเองทำหนังสือแสดงความวิตกกังวลต่อการจับกุมพระเทพญาณมหามุนีแต่ประการใด
ขอเพียงแค่การเข้ามอบตัวเท่านั้น เรื่องก็จะจบลงด้วยดี
ถ้าจำกันได้ก่อนสิ้นยุคอันเรืองโรจน์ของนักโทษชายหนีคดีทักษิณ อัยการสูงสุดได้ยื่นถอนฟ้องพระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโยของลัทธิธรรมกายกับพวกโดยอ้างว่าพระธัมมชโยได้มอบทรัพย์สิน ทั้งที่ดินและเงินกว่า 959 ล้านบาท คืนแก่วัดพระธรรมกายแล้ว จึงเป็นการปฏิบัติตามพระลิขิตของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก ครบถ้วนทุกประการ ประกอบกับขณะนี้บ้านเมืองต้องร่วมกันสร้างความสามัคคีของคนในชาติทุกหมู่เหล่า เห็นว่าหากดำเนินคดีพระธัมมชโยกับพวกต่อไป อาจก่อให้เกิดความแตกแยก นอกจากนี้การดำเนินคดีต่อไปยังไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ จึงมีคำสั่งให้ถอนฟ้องในคดีนี้
เป็นบริบทที่เหมือนกับครั้งที่ที่พระธัมมชโย วัดพระธรรมกายและคณะศิษยานุศิษย์อ้างในการต่อสู้คดีทุจริตสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นอย่างไม่มีผิดเพี้ยน คือคืนเงินแล้วก็เป็นอันจบไป ทั้งที่ทำผิดกฎหมาย และถ้าภาครัฐจะดำเนินคดีเจ้าลัทธิของตนเองบ้านเมืองก็จะวุ่นวาย และอาจนำไปสู่การบาดเจ็บล้มตายได้
แต่ไม่เพียงเท่านั้น คณะศิษยานุศิษย์ที่ไม่เคารพกระบวนการยุติธรรมของประเทศยังหาญกล้าที่จะทำหนังสือ กราบบังคมทูลฯ ถวายฎีการ้องทุกข์ เพื่อขอพึ่งพระบารมีให้ยุติการดำเนินคดีที่มิชอบดังกล่าวข้างต้น
นอกจากนี้ กลุ่มลูกศิษย์พระธัมมชโยได้ส่งข้อความและแบนเนอร์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์จำนวนมาก โดยกล่าวหาว่า ศาสนาอิสลามอยู่เบื้องหลังในการจับพระธัมมชโย สั่งตำรวจลุยวัด เพื่อปลุกกระแสความเกลียดชังต่อมุสลิม และกล่าวหาเจ้าหน้าที่ว่าดำเนินการเพื่อทำลายพุทธศาสนา นอกจากนี้ ยังพาดพิงไปถึง นายมหาเธร์ โมฮัมหมัด อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย, นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ อดีตเลขาธิการอาเซียน, จุฬาราชมนตรี อีกด้วย
ตัดกลับมาที่ฝั่งภาครัฐ
ยุทธวิธีนานัปการที่ทางวัดพระธรรมกายนำมาใช้ถือเป็นเรื่องที่ต้องยอมรับว่า เป็นเรื่องที่สร้างความลำบากใจให้กับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานอยู่ไม่น้อย เพราะไม่สามารถใช้แผนจัดการเช่นเดียวกับการชุมนุมทางการเมืองได้ แม้จะดำเนินไปในทิศทางเดียวกัน เนื่องจากต้องไม่ลืมว่า ภายในวัดคือผู้ที่มาปฏิบัติธรรม ซึ่งการบุกและการใช้ความรุนแรงที่อาจเกิดด้วยความไม่ตั้งใจ หรือถูกสร้างสถานการณ์ อาจทำให้เหตุการณ์บานปลายออกไปอีก
ยิ่งเมื่อปรากฏคลิปนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่หลุดออกมา ก็ยิ่งทำให้เห็นว่า การสกัดผู้คนของวัดพระธรรมกายที่ขนกันเข้ามาเพื่อเป็น “โล่มนุษย์” ขวางการจับกุมพระธัมมชโยของเจ้าหน้าที่นั้นไม่สามารถทำได้ง่าย
พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผบ.ตร. เดินทางร่วมประชุมพนักงานสอบสวนและตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง หน่วยที่เกี่ยวข้อง เตรียมความพร้อมในการบุกค้นวัดธรรมกาย ที่สภ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2559
ไม่นับรวมถึงข้อสงสัยว่า จะมีใครเป็น “สายวงใน” ให้กับทางวัดพระธรรมกายด้วยหรือไม่ เพราะต้องไม่ลืมว่า ศิษยานุศิษย์ของวัดแห่งนี้มีทุกระดับ ตั้งแต่นักการเมือง ทหาร ตำรวจ นักธุรกิจ ฯลฯ ซึ่งแต่ละคนก็ล้วนแล้วแต่อยู่ในขั้นไม่ธรรมดา พร้อมที่จะถวายหัวและถวายกำลังทรัพย์รับใช้พระเดชพระคุณหลวงพ่อเพื่อต่อกรกับอำนาจนิติรัฐอยู่แล้ว
ขณะเดียวกันด้วยพื้นที่อันกว้างใหญ่ไพศาลนับพันไร่ ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจยากยิ่งที่ใช้กำลังบุกเข้าไปในวัดแบบสุ่มสี่สุ่มห้า
ด้วยเหตุดังกล่าว แม้เจ้าหน้าที่ตำรวจจะมี “หมายค้น” จากศาลอยู่ในมือ แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ง่าย
ความคืบหน้าที่เห็นจึงเป็นเพียงการใช้อำนาจทางกฎหมายฟ้องร้องดำเนินคดีกับบุคคลที่ขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ เช่น การฟ้องร้องพระทัตตชีโว หรือการฟ้องร้อง การออกหมายจับนายองอาจ ธรรมนิทา โฆษกของวัดฯ ในข้อหาปลุกปั่นยุยง เป็นต้น
ดังจะเห็นได้จากการที่ บิ๊กตู่ -พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กล่าวให้สัมภาษณ์ถึงปัญหาการดำเนินคดีกับพระธัมมชโยเอาไว้ว่า
“การพูดกันไปมาไม่เกิดประโยชน์ เพราะจะทำให้เสียหายกันไปหมด ผมได้สั่งให้เลิกพูดไปแล้ว ทุกอย่างต้องทำให้เป็นเหมือนเรื่องทั่วๆ ไป โดยให้สังคมได้เรียนรู้เอง เพราะเหล่านี้ทำให้ประเทศไทยเดินหน้าไม่ได้ ความขัดแย้งเกิดขึ้นด้วยการไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ใช้ประชาชนที่มีความเชื่อมั่นและศรัทธาเข้ามาอยู่ด้วย นั่นคือปัญหาทั้งสิ้น วันนี้ต้องเอากติกามาเดินหน้า”
หลังจากนั้น ทุกอย่างก็เงียบสงบ ไม่มีคำให้สัมภาษณ์จากนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่อีกต่อไป โดยทีมงานโฆษกของสำนักงานตำรวจแห่งชาติต่างปฏิเสธที่จะตอบคำถามเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ พร้อมระบุว่า ผู้ที่จะตอบคำถามได้มีเพียง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเท่านั้น
และในวันถัดมาคือ วันที่ 15 ธันวาคม 2559 พล.ต.อ.จักรทิพย์ ก็ให้สัมภาษณ์ว่า ทุกวันนี้ตำรวจก็ดำเนินการอยู่ ส่วนปัจจุบันมีการนำมวลชนเข้าไปภายในวัดพระธรรมกายอย่างต่อเนื่อง เป็นเรื่องของทางวัด กฎหมายให้อำนาจแค่ไหนก็แค่นั้น ตำรวจทำตามกฎหมาย ส่วนจะมีการตรวจสอบมวลชนที่เข้ามาว่านำสิ่งของผิดกฎหมายมาด้วยหรือไม่นั้น เรื่องนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจเขาทำอยู่แล้ว ซึ่งการนำมวลชนมาจำนวนมากๆ เป็นการผิดสังเกตหรือไม่นั้นไม่ทราบ ผมไม่ตอบ”
ขณะเดียวกันคำให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ก็ทำให้สามารถอนุมานได้หรือไม่ว่า การบุกวัดพระธรรมกายจะไม่เกิดขึ้นอย่างน้อยก็ภายในระยะเวลาอันใกล้ และสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปก็คือ การใช้กระบวนการหรือขั้นตอนทางกฎหมายในการจัดการ
ดังเช่นข้อมูลที่ออกมาจากที่ประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจับกุมพระธัมชโยว่า เจ้าหน้าที่ได้แจ้งดำเนินคดีไปแล้วทั้งหมด 43 คดี รวมทั้งการที่ศาลจังหวัดธัญบุรีอนุมัติให้เข้าตรวจค้นบ่อน้ำบาดาลภายในวัด และพบว่า ไม่ได้รับอนุญาต และพบความผิดเกี่ยวกับการก่อสร้างอาคารต่างๆ โดยไม่ได้รับอนุญาตผิดกฎหมายที่เกี่ยวข้อง อาทิ พ.ร.บ. อาคารฯ พ.ร.บ.โรงงาน พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อม พ.ร.บ.สาธารณสุข พร้อมเตรียมประสาน “ตัดน้ำตัดไฟ” ภายในวัดพระธรรมกาย เป็นต้น
การตรวจค้นผู้ที่เดินทางเข้าออกวัดดำเนินไปด้วยความเข้มงวด เตรียมสัมภาระกันมาแบบปักหลักพักค้างคืนยาวๆ
หรือสรุปก็คือ ต้องมีการปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์และยุทธวิธีในการจัดการกับวัดพระธรรมกายใหม่ด้วยการใช้กฎหมายนวดไปทีละนิดเพื่อทำให้สังคมได้เรียนรู้
กระนั้นก็ดี สิ่งที่สังคมอยากรู้ก็คือ แล้วเมื่อไหร่จะจับพระธัมมชโยเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมได้ เพราะยิ่งนานวันแรงกดดันที่เคยอยู่ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ แรงกดดันที่เคยอยู่ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยเฉพาะ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แม่ทัพใหญ่ปราบธรรมกายจะหวนกลับคืนสู่ตัว “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เอง และเป็นแรงกดดันที่ท้าทายต่ออำนาจของรัฐบาลและ คสช.มากขึ้นทุกขณะ เพราะต้องไม่ลืมว่า เป้าหมายสูงสุดอันเป็นทางรอดของพระธัมมชโยก็คือการล้มรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์
พล.อ.ประยุทธ์จะทำอย่างไร
จะตัดสินใจใช้ ม.44 เพื่อแก้ปัญหาหรือไม่
จะใช้ ม.44 ในรูปลักษณะใด
จะมีการสั่งปิดวัดพระธรรมกายเป็นมาตรการเด็ดขาดในขั้นสุดท้ายหรือไม่
คำตอบเหล่านี้ยังคงอยู่ในสายลม หรือจะปล่อยให้สังคมเรียนรู้ไปเองและไปเรื่อยๆ โดยไม่มีที่สิ้นสุด
ส่วน “มหาเถรสมาคม(มส.)” ซึ่งเป็นองค์ปกครองสูงสุดของคณะสงฆ์ไทย ก็ยังไม่มีแนวโน้มว่าจะมีท่าทีอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องการต่อต้านนิติรัฐของวัดพระธรรมกายและพระธัมมชโย เหมือนเช่นที่ผ่านมา.....นะจ๊ะ