xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

สาธุ!!! คืนความสุขพุทธศาสนา ส่ง “เจ้าคุณประยุทธ์” ชำระ มส. บีบ “ธัมมชโย” ขี่จานบินหนี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีที่ต้องมาไชโยโห่ร้องอะไรกับการที่ สำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) แถลงความชัดเจนอันเกี่ยวเนื่องจากคดียักยอกเงินจาก “สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น” โดยสาระสำคัญอยู่ที่การมีความเห็น “สั่งฟ้อง” ผู้ต้องหาทั้ง 5 รายที่เกี่ยวข้อง ฐานกระทำความผิดสมคบกันฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงินและรับของโจร

ผู้ต้องหาทั้ง 5 รายประกอบด้วย นายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ผู้ต้องหาที่ 1 พระเทพญาณมหามุนี หรือ “พระธัมมชโย” อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ผู้ต้องหาที่ 2 น.ส.ศรัญญา มานหมัด อดีตคณะบริหารสหกรณ์ฯ ผู้ต้องหาที่ 3 นางทองพิน กันล้อม อดีตคณะบริหารสหกรณ์ฯ ผู้ต้องหาที่ 4 และ นางศศิธร โชคประสิทธิ์ ผู้ต้องหาที่ 5

ที่น่าประหลาดใจเล็กๆก็คงเป็นประเด็นที่ “อัยการ” มาก่อนนัด จากเดิมที่ขีดเส้นไว้วันที่ 30 พฤศจิกายน แต่กลับมาแถลงเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน ล่วงหน้าถึง 1 สัปดาห์เต็ม ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็อ้างนู่นนี่แล้วเลื่อนการสั่งคดีมาเกือบครึ่งปี ครั้งหนึ่งอ้างถึงขนาดเอกสารเยอะ อ่านไม่ทันด้วยซ้ำ

มาคราวนี้กลับรวบรัดแถลงสั่งฟ้องแบบเซอไพร์ส ราวกับมี “สัญญาณพิเศษ” อย่างไรอย่างนั้น

ก็ที่ผ่านมาเป็น “อัยการ” เองที่ออกอาการ “เงื้อง่าราคาแพง” มาโดยตลอด จับอาการ “บิ๊กต๊อก” พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ที่กำกับดูแล กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ดูก็รู้ว่าหงุดหงิดกับการทำงานของ “อัยการ” แค่ไหน

เป็น “บิ๊กต๊อก” ที่ให้สัมภาษณ์แบบรายสัปดาห์ในเชิงตำหนิ สำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) ตั้งแต่พนักงานสอบสวนคดีพิเศษของดีเอสไอ ส่งสำนวนคดีให้ พนักงานอัยการ สำนักงานคดีพิเศษ พิจารณาเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2559 แต่ก็เจอ “โรคเลื่อน” แบบรัวๆ มาถึง 4 ครั้ง

ย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่ “อัยการ” เลื่อนสั่งคดีครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 6 ต.ค.59 โดยให้เหตุผลว่า “ดีเอสไอ” ส่งผลสอบเพิ่มให้ไม่ครบ ครั้งนั้น “บิ๊กต๊อก" ให้สัมภาษณ์แบบไม่สบอารมณ์ว่า “ไม่รู้เหตุผลที่อัยการยังไม่สั่งฟ้อง ส่วนจะเป็นการถ่วงคดีหรือไม่ตอบไม่ได้ แต่ยอมรับว่าวันนี้ สังคมก็กำลังตั้งคำถามเช่นกันว่า เกิดอาการถ่วงคดีหรือไม่ เรื่องนี้ต้องไปถามที่อัยการและพนักงานสอบสวน แต่ดีเอสไอย้ำว่าสิ่งที่เป็นจุดแตกหักทั้งหมดได้สอบสวนจนครบถ้วนแล้ว”

และเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี "บิ๊กต๊อก" ก็ให้สัมภาษณ์เรื่องนี้อีกครั้งในลักษณะ “กดดัน” ให้ “อัยการ” ต้องสั่งฟ้องภายในวันที่ 30 พฤศจิกายนตามที่นัดหมายไว้ และไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่สั่งฟ้อง เพราะทาง “ดีเอสไอ” ทำสำนวนไว้อย่างรัดกุมเอาผิดได้แน่นอน หากแต่ถูกทาง “อัยการ” หยิบประเด็นยิบย่อย จนทำให้กระบวนการต่างๆล่าช้า

เชื่อว่าสุ้มเสียงของ รมว.ยุติธรรมในวันนั้นมีส่วนทำให้ “อัยการ” ต้องเร่งตัดสินใจไม่มากก็น้อย จนเป็นที่มาของการแถลงสั่งฟ้องคดี “ธัมมชโย” และพวก ในข้อหาร่วมกันฟอกเงินและรับของโจร

จริงๆแล้วโฟกัสของเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่การสั่งฟ้องหรือไม่สั่งฟ้อง เพราะอย่างน้อยๆตอนนี้ “เจ้าลัทธิธรรมกาย” ก็มีหมายจับอยู่ในคอลเลทชั่นแล้ว 3 คดี ประกอบด้วยหมายจับของศาลจังหวัดเลย กรณีวัดป่าหิมวันต์ อ.ภูเรือ จ.เลย ในเครือธรรมกายบุกรุกป่า หมายจับของศาลจังหวัดสีคิ้ว จ.นครราชสีมา กรณีศูนย์ปฏิบัติธรรม เวิลด์พีซวัลเล่ย์ เขาใหญ่ บุกรุกป่า และหมายจับคดีสมคบกันฟอกเงินฯที่ “อัยการ” เพิ่งมีความเห็นสั่งฟ้องนี่แหละ

โฟกัสของเรื่องจึงอยู่ที่การล่าตัว “ธัมมชโย” มากกว่า เพราะเชื่อว่าจากเรื่องราวหลักฐานที่ปรากฏออกมา อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายคงรอดพ้นอาญาแผ่นดินลำบาก แต่ถ้ายังไม่สามารถลากคอ “ธัมมชโย” มาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมไม่ได้ การสั่งฟ้องต่อศาล หรือกระทั่งมีคำพิพากษาว่ามีความผิดก็หมดความหมาย เมื่อคนทำผิดยังลอยนวลอยู่

คำถามจึงมีว่า “เจ้าลัทธิธรรมกาย” ยังอยู่ในวัดหรือเปล่า

เพราะล่าสุดที่ “ธัมมชโย” ปรากฏตัวต่อสาธารณชนต้องย้อนกลับไปเมื่อช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ที่มี “ภาพหลุด” ของเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย (ในขณะนั้น) เดินทางไปร่วมทำบุญปล่อยนก เนื่องในวันคล้ายวันเกิดลูกศิษย์วัดพระธรรมกาย บริเวณอาคารหลังหนึ่งภายในวัด

ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่ “ดีเอสไอ” ออกหมายเรียกให้ “ธัมมชโย” ไปรับทราบข้อกล่าวหาฐานสมคบกันฟอกเงินและร่วมกันฟอกเงิน และร่วมกันรับของโจร ครั้งที่ 3 หลังจากที่ก่อนหน้านั้นทางวัดได้ขอเลื่อน ระบุว่าไม่สามารถเดินทางมารับทราบข้อกล่าวหาได้ โดยอ้างว่าเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายมีอาการอาพาธ ส่งผลให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงว่าวัดพระธรรมกายไม่ยำเกรงกฎหมาย และท้าทายอำนาจของ “ดีเอสไอ” อย่างชัดเจน และจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีการรับทราบข้อกล่าวหาแต่อย่างใด นำมาซึ่งหมายจับในคดีนี้นั่นเอง

ช่วงปลายเดือนกฤษภาคมหลังพ้น “เส้นตาย” ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษเรียกเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายเข้าพบตามหมายจับคดีรับของโจรและร่วมกันฟอกเงิน ซึ่งได้มีการนัดหมายกันดิบดีที่สถานีตำรวจภูธร (สภ.) คลองหลวง จ.ปทุมธานี ฝั่งตรงข้ามวัดพระธรรมกายนั่นเอง แต่ระหว่างวันก็มีการปล่อยข่าว “สับขาหลอก” มากมาย ที่สุดก็ไร้เงา “ธัมมชโย” เข้าพบเจ้าหน้าที่ ตามที่มีการคาดหมายไว้ตั้งแต่ตอนแรก

หากจำกันได้ช่วงนั้นสถานการณ์ค่อนข้างเร่งเร้า ฝ่ายรัฐ-ฝ่ายวัดเดินหมากหยั่งเชิงกันอยู่ตลอด ฝ่ายวัดพระธรรมกาย ตั้งป้อมคุ้มกันเต็มกำลัง มีการยกรถแบ็กโฮมาปิดประตูทางเข้าวัด และตรวจสอบคนเข้าออกพื้นที่อย่างเข้มงวด รวมทั้งกระแสข่าวมีการระดมคนเข้าไปอยู่ในวัดเป็นจำนวนมาก ซึ่งทำให้การทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐเป็นไปด้วยความลำบาก ถึงขนาดต้องไปขอความร่วมมือ “สมเด็จช่วง” สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ผู้ปฏิบัติหน้าที่รักษาการสมเด็จพระสังฆราช และเป็นพระอุปัชฌาย์ “ธัมมชโย” ให้กล่อม “ศิษย์เอก” เข้ามอบตัว

อีกทั้งมีการเสนอให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ใช้อำนาจ “กระบองยักษ์” มาตรา 44 ตามรัฐธรรมนูญชั่วคราว เข้าสะสาง “คดีธรรมกาย” และใช้เป็นเครื่องมือในการลากคอ “ธัมมชโย” มาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม แต่ที่สุดก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งหลายทั้งปวงก็คงเป็นเพราะ “รัฐบาล คสช.” เองก็หลีกเลี่ยงการปะทะโดยตรงกับ “ลัทธิธรรมกาย” ซึ่งมีสาวกเป็นจำนวนมาก อีกทั้งมีเส้นสายร่องรอยของกลุ่มการเมืองหนุนหลังอยู่ด้วย

ต่อเนื่องมาถึงเหตุการณ์ที่ยืนยันอีกครั้งว่าวัดพระธรรมกายแหล่งกบดานของ “ธัมมชโย” เป็น “เขตปกครองพิเศษ” ที่อยู่เหนือตัวบทกฎหมาย เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน “ดีเอสไอ” ได้ระดมเจ้าหน้าที่และตำรวจชุดควบคุมฝูงชนกว่าพันนาย ขอเข้าค้นวัดตามหมายศาล เพื่อจับกุมตัว “ธัมมชโย” แต่ก็ต้องยุติภารกิจหลังเจอเหล่าศิษยานุศิษย์ทำตัวเป็น “กำแพงมนุษย์” ขัดขวางการดำเนินการของเจ้าหน้าที่จนเกิดเหตุการณ์วุ่นวาย สุดท้ายฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐต้องล่าถอย เพราะเกรงสถานการณ์บานปลายจนเกิดความรุนแรง

แถมมีการเล่นแง่ ประกาศว่า “พระเดชพระคุณหลวงพ่อ” จะไม่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมจนกว่าบ้านเมืองจะมีประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ให้เป็นที่ขบขันไปทั้งเมืองอีกต่างหาก
เจ้าคุณประยุทธ์
จากนั้นข่าวคราวเกี่ยวกับ “ธัมมชโย” ก็สร่างซาไปพอสมควร ทั้งจากประเด็นการเมือง ในการลงประชามติรับ-ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญเมื่อเดือนสิงหาคม ตลอดจนเหตุการณ์สำคัญๆที่ขึ้นมาเบียดข่าวการล่าตัวอดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายตกขอบไป

ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาก็มีคำถามถึงการดำรงอยู่ของ “ธัมมชโย” ในวัด แต่ก็ไม่มีใครกล้าฟันธงว่ายังอยู่หรือหนีไปแล้ว ทั้งนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ รัฐมนตรี หรือกระทั่งนายกรัฐมนตรีเองก็ตาม

ย้ำอีกครั้งว่าการสั่งคดีของ “อัยการ” ไม่ใช่การปลดล็อก หรือแสดงให้เห็นความคืบหน้าในการเอาจริงเอาจังกับ “ธัมมชโย” หากแต่การยืนยันว่าอดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายยังอยู่ในวัด หรืออยู่ในประเทศมากกว่าที่เป็นข้อขุ่นเคืองใจสังคมที่ภาครัฐต้องเร่งไขกระจ่างอย่างเร่งด่วน

เพราะหากมีเครื่องการันตีว่า “ธัมมชโย” ยังอยู่ในวัด หรืออยู่ในประเทศ สเต็ปต่อไปก็คงเป็นการเรียกร้องให้นำตัวมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ซึ่งเรื่องนี้ทุกฝ่ายก็ฝากความหวังไว้ที่ “บิ๊กต๊อก” ผู้ได้ชื่อเรื่องการทำงานที่เด็ดขาดดุดัน ผ่านกลไกภายใน “ดีเอสไอยุคใหม่” ที่พลิกโฉมไม่เป็นเครื่องมือทางการเมืองเหมือนหลายปีที่ผ่านมาอีกต่อไป

ที่สำคัญวันนี้ไม่มีใครให้ราคาคำพูดของ นายองอาจ ธรรมนิทา โฆษกวัดพระธรรมกาย ที่รับหน้าออกมาแถลงยืนยันว่า “พระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโย” อยู่ที่วัด รักษาอาการอาพาธอย่างต่อเนื่อง ไม่มีการเดินทางออกนอกประเทศอย่างที่เป็นข่าว

แต่ก็มีการตั้งข้อสังเกตว่า ความเคลื่อนไหวที่ค่อนข้าง “เร็วผิดปกติ” ของทาง “อัยการ” ในการสั่งฟ้องคดีก่อนกำหนดนัดนั้น เป็นหนึ่งใน “มาตรการกดดัน” ของภาครัฐ ที่ต้องการแสดงให้เห็นว่า “เริ่มเอาจริง” แล้ว รวมทั้งส่งสัญญาณให้ฝ่ายตั้งรับอย่าง “ธัมมชโย” ตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่ง ก่อนที่ภาครัฐจะยกระดับมาตรการให้เข้มข้นขึ้น

ไม่นับการโยนหินถามทางของ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ระบุว่า พนักงานสอบสวนได้ประสานกับทนายความวัดพระธรรมกาย กำหนดกรอบระยะเวลาในการตอบรับเข้ามอบตัวภายใน 5 วัน

อีกด้านหนึ่งเมื่อถอดรหัสคำแถลงของ “โฆษกองอาจ” ไม่มีคำพูดใดเลยว่า “ธัมมชโย” จะยอมมอบตัวและเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแต่โดยดี อีกทั้งคำแถลงที่ว่า “ยืนยันหากเจ้าหน้าที่เข้ามาจับกุมทางศิษยานุศิษย์จะไม่มีการขัดขวางใดๆทั้งสิ้น แต่อย่าทำให้ตกใจ เพราะหากตกใจก็ไม่สามารถระบุได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น”

ย้ำเน้นๆว่า “อย่าทำให้ตกใจ” ซึ่งเป็นคำคุ้นๆที่ คน กทม.จำได้แม่น นอกจากไม่ยี่หระกับกระบวนการของเจ้าหน้าที่รัฐแล้ว ยัง “เบ่งกล้าม” ขู่กลับด้วยว่า วัดพระธรรมกายคือ “เขตปกครองพิเศษ” ที่กฎหมายเข้าไม่ถึง แม้จะเป็นยุคที่รัฐบาลมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดก็ตาม

น่าสังเกตด้วยว่า หลังจากที่อัยการมีความเห็นสั่งฟ้อง “ธัมมชโย” และพวกแล้ว บรรยากาศที่วัดพระธรรมกายกลับเงียบเหงาผิดปกติ ทั้งที่มีกระแสข่าว “ดีเอสไอ” เตรียมขอหมายค้นและเข้าจับกุมตัวอดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายในเร็วๆนี้ ต่างจากหนก่อนที่มีการระดมสาวกมาตั้งรับอย่างแน่นหนา ความผิดปกติที่ว่านี้ก็เพิ่มน้ำหนักให้แก่ “ข่าวลือ” ที่ว่า “ธัมมชโย” ได้หนีออกนอกประเทศไปอยู่ที่ “พม่า” แล้ว

แต่ก็ต้องจับตาความเคลื่อนไหวของวัดพระธรรมกายในช่วงต่อจากนี้ให้ดี เพราะเห็ฯว่ามีการจัดกิจกรรมสวดธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ให้ได้วันละ 111,111 จบ ที่ตั้งเป้าหมายสวดรวม 11,111,111 จบ ในช่วงเดือนธันวาคมนี้ ซึ่งย่อมต้องมีเหล่าวาวกแห่แหนกันมาที่วัดเพื่อร่วมสวดให้ได้รอบที่ว่า

ถ้าเรื่อง “ธัมมชโย” หลบหนีไปต่างประเทศเป็นจริง ก็เป็นอะไรที่ “รัฐบาล คสช.” อาจจะรู้สึก “โล่งใจ” มากกว่าการที่ “ธัมมชโย” ยังกบดานอยู่ในวัดหรือในประเทศก็เป็นได้ แม้อาจจะถูกมองว่า “รู้เห็นเป็นใจ” หรือจงใจเปิดทางให้หนีก็ตาม อย่างน้อยก็ดีกว่าการต้องไปเผชิญหน้ากับ “สาวกธรรมกาย” ในการบุกเข้าไปลากคอ “เจ้าลัทธิ” ภายในวัด ที่อาจเกิดความรุนแรงถึงขั้นเสียเลือดเสียเนื้อ ซึ่งย่อมไม่เป็นที่ปรารถนาของฝ่ายรัฐอย่างแน่นอน

ซึ่งตอนนี้ “ฝ่ายรัฐ” อาจจะภาวนาให้ “ธัมมชโย” ขี่จานบินหนีไปไหนต่อไหนอยู่ก็เป็นได้

ก็ต้องจับตาว่าการเดินหมากแก้เกมของ “ฝ่ายรัฐ – ฝ่ายวัด” จะออกไปในแนวทางใด จะเป็นเพียงการขู่แล้วเปิดทางให้หนีอย่างที่ถูกจับตามองหรือไม่ แล้ว “ธัมมชโย” จะทำตัวเป็น “กบจำศีล” ไม่ออกมาปรากฏตัวพึ่งแดดตากลมได้นานเพียงใด

ไม่ว่าจะออกหน้าไหน เรื่องนี้ก็ยังไม่จบง่ายๆ ชัวร์!!

ในขณะที่ “มหากาพย์ธัมมชโย” ยังคลุมเครือขมุกขมัวอยู่ ก่อนหน้านั้นไม่นานก็ปรากฏ “ข่าวดี” แก่วงการพุทธศาสนาไทย เป็นข่าวดีที่ชวนกระโดดโลดเต้นไชโยโห่ร้องมากกว่าเรื่องข้างต้นมากมาย เมื่อที่ประชุม มหาเถรสมาคม (มส.) ได้พิจารณารายชื่อพระเถรานุเถระ ที่จะเข้ารับพระราชทานสถาปนาเลื่อนและตั้งสมณศักดิ์จำนวน 159 รูป เนื่องในวาระวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในวันที่ 5 ธันวาคมนี้

ความน่ายินดีไม่ใช่เรื่องจำนวน 159 รูปที่มากกว่าที่ผ่านมาเป็นเท่าตัว แต่เป็นการที่ พระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) หรือที่รู้จักกันในนาม “ป.อ.ปยุตฺโต” วัดญาณเวศกวัน จ.นครปฐม ได้รับการเสนอให้ขึ้นชั้น “สมเด็จพระราชาคณะ” เป็น “สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์” และจะมีการโปรดเกล้าฯในวันที่ 5 ธันวาคมที่จะถึงนี้ และแม้ว่าจะไม่เคยผ่าน “สายปกครอง” เป็นเจ้าคณะในทุกระดับ แต่คนในวงการสงฆ์มองว่า “เจ้าคุณประยุทธ์” มีความเหมาะสมมานานแล้ว

เป็นข่าวที่นำมาซึ่งเสียงแซ่ซ้องสรรเสริญกระหึ่ม ในฐานะที่ “เจ้าคุณประยุทธ์” เป็น “พระแท้” ที่กราบไหว้ได้อย่างสนิทใจ และท่านถือเป็นพระนักวิชาการนักคิดนักเขียน ได้รับการยกย่องให้เป็น “ปราชญ์คนสำคัญ” ในพระพุทธศาสนา ทั้งในประเทศและทั่วโลกให้การยอมรับ มีผลงานโดดเด่นเป็นหนังสือพระพุทธศาสนาหลายเล่ม ด้วยผลงานและคุณูปการที่ผ่านมา ทำให้ท่านได้รับรางวัลและดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากหลายสถาบันทั้งในและนอกประเทศ นับว่าเป็นพระภิกษุสงฆ์ไทยที่ได้รับการยกย่องให้ได้รับดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์มากที่สุดในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ “เจ้าคุณประยุทธ์” เป็นคนไทยคนแรกที่ได้รับรางวัลการศึกษาเพื่อสันติภาพ จากองค์การยูเนสโก (UNESCO Prize for Peace Education)

การเลื่อนสมณศักดิ์ “เจ้าคุณประยุทธ์” เป็นสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เป็นการทดแทนตำแหน่ง สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( วีระ ภททจารี) เจ้าอาวาสวัดสุทัศน์เทพวราราม ซึ่งมรณภาพเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ถือเป็นความพิเศษสุดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน อันนำมาซึ่งความปิติยินดีของพุทธศาสนิกชน เพราะปัจจุบันนี้นอกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดญาณเวศกวัน ซึ่งเป็นวัดราษฎร์ ไม่ใช่พระอารามหลวง “เจ้าคุณประยุทธ์” ไม่มีตำแหน่ง “ เจ้าคณะ” ซึ่งเป็นตำแหน่งทางการปกครองไม่ว่าในระดับใดๆ เพราะโดยปกติ พระราชาคณะระดับสมเด็จ รองสมเด็จจะมีตำแหน่ง เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะภาค เจ้าคณะหนด้วย
ธัมมชโย
ที่สำคัญคือ การได้รับการเลื่อนสมณศักดิ์เป็น “สมเด็จพระราชาคณะ” ก็เท่ากับ “เจ้าคุณประยุทธ์” จะเข้าไปเป็นกรรมการ มส.โดยตำแหน่ง แม้อาจจะเป็นเพียงเสียงเดียว แต่ก็เชื่อว่าด้วย “หลักการ-จุดยืน” ที่มั่นคงของท่าน จะช่วยประคับประคอง “มหาเถรสมาคม” ที่ระยะหลังถูกมองว่าหลงทิศหลงทางเสียหลักไปพอสมควร ให้กลับมาเข้ารูปเข้ารอยสมกับเป็นศูนย์รวมของ “พระเถระชั้นผู้ใหญ่” ที่น่านับถือ ไม่ให้ถูกมองว่าเป็นแหล่งรวมตัวของ “มาเฟียวงการสงฆ์” ตามที่ถูกวิจารณ์ไว้อย่างเสียหาย

หากกล่าวว่าการเลื่อนสมณศักดิ์ “เจ้าคุณประยุทธ์” ขึ้นเป็น “สมเด็จพระราชาคณะ” เท่ากับการชูธงภารกิจ “สังคายนา มส.” ก็คงไม่ผิดนัก

ที่สำคัญ “เจ้าคุณประยุทธ์” เคยมี “คอมเมนต์ทางวิชาการ” ที่เป็นที่โจษจันอย่างมากกับผ่านหนังสือ “กรณีวัดธรรมกาย” ซึ่งท่านเขียนด้วยตัวเอง และผลงานวิจัย ของ พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือ “ว.วชิรเมธี” ที่ได้ทำการศึกษาและจัดทำขึ้นในหัวข้อ “บทบาทในการรักษาพระธรรมวินัยของพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) : ศึกษาเฉพาะกรณีธรรมกาย” ซึ่งได้ตีแผ่ในแง่มุมต่างๆที่น่าสะพรึงกลัวของ “ลัทธิธรรมกาย”

โดยเนื้อหาบางช่วง “เจ้าคุณประยุทธ์” ได้แสดงความห่วงใยเอาไว้ว่า “ปัญหาจึงร้ายแรงถึงขั้นที่อาจทำให้พุทธศาสนาดั้งเดิมที่รักษากันมาเป็นพันๆ ปี อาจจะถึงคราวสูญสิ้นลงให้ประวัติศาสตร์ได้จารึกไว้ในคราวนี้”

“ปัญหาที่ร้ายแรง” ที่ว่านั้นก็หมายถึง การแพร่ระบาดของ “ลัทธิธรรมกาย” ในการเผยแพร่คำสอนคลาดเคลื่อนไปจากหลักพระพุทธศาสนาหลายประการ อาทิ การสอนคำว่านิพพานเป็นอัตตา หรือการสอนเรื่อง “อายตนนิพพาน” ที่แต่งถ้อยคำขึ้นมาเองใหม่ให้เป็นดินแดนที่จะเข้าสมาธิไปเฝ้าพระพุทธเจ้าได้ เป็นต้น ยิ่งกว่านั้นวัดพระธรรมกายยังได้เผยแพร่เอกสารที่จาบจ้วงพระธรรมวินัย ชักจูงให้คนเข้าใจผิด สับสน หรือแม้แต่หลบหลู่พระไตรปิฎกบาลีที่เป็นหลักของพระพุทธศาสนาเถรวาท เช่น ให้เข้าใจว่าพระไตรปิฎกบาลี บันทึกคำสอนไว้ตกหล่น หรือมีฐานะเป็นเพียงความคิดเห็นอย่างหนึ่ง เชื่อถือ หรือใช้เป็นมาตรฐานไม่ได้ รวมๆแล้วคือการทำพระธรรมวินัยให้วิปริต และการประพฤติวิปริตจากพระธรรมวินัย นั่นเอง

“พฤติการณ์อันสืบเนื่องมาจากสำนักวัดพระธรรมกายทั้งหมดเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของพระพุทธศาสนาและต่อสังคมไทยอย่างลึกซึ้งถึงรากฐาน ถ้าสำนักวัดพระธรรมกายทำสำเร็จจะส่งผลให้พระพุทธศาสนาในประเทศไทยซึ่งเป็นเถรวาทต้องสูญสิ้นไปสังคมไทยจะกลายเป็นสังคมที่มีค่านิยมหวังผลดลบันดาล มัวเมาอยู่ในอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ และไม่อาจหลุดพ้นไปจากการครอบงำของลัทธินี้ได้” ผลงานวิจัยของ “ว.วชิรเมธี” บันทึกข้อคิดเห็นของ “เจ้าคุณประยุทธ์” ไว้เช่นนี้

จากจุดยืนที่ควรค่าแห่งการกราบได้อย่างสนิทใจนี้ ทำให้เชื่อมั่นได้ว่า “เจ้าคุณประยุทธ์” ในวันนี้ หรือ “สมเด็จประยุทธ์” ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เป็นแสงสว่างในการปกป้อง “สังฆมณฑลในประเทศไทย” ให้คงอยู่ และขจัด “มารศาสนา” ให้หมดไปจากแผ่นดิน

นี่สิถึงเรียกการคืนความสุข และเป็นการคืนความสุขที่แท้จริงแก่พุทธศาสนาไทย
.


กำลังโหลดความคิดเห็น