ปัญญาพลวัตร
โดย พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต

ชัยชนะในการเลือกตั้งตำแหน่งประธานาธิบดีประเทศสหรัฐอเมริกาของ นายโดนัลด์ ทรัมป์ สร้างความประหลาดใจแต่ผู้คนจำนวนมาก เพราะก่อนหน้านี้บรรดานักวิเคราะห์รวมทั้งสำนักโพลล์ต่างๆมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ไม่มีทางที่จะชนะการเลือกตั้งได้ แต่ความไม่แน่นอนก็ได้ทำลายผลการวิเคราะห์ของบรรดาผู้เชี่ยวชาญลงไปอย่างไม่มีชิ้นดี
อย่างหนึ่งที่เราเห็นคือจากชัยชนะของนายโดนัลด์ ทรัมป์ คือการทำให้เราเข้าใจสภาพสังคมการเมืองของประเทศสหรัฐอเมริกามากขึ้น ภาพลวงตาที่เรารับรู้ว่าประเทศนี้มีค่านิยมประชาธิปไตยเป็นแกนหลักของสังคมได้จางหายลงไป ขณะเดียวกันลักษณะความเป็นธรรมชาติอันเป็นแก่นแท้ของสังคมสหรัฐอเมริกาได้เผยตัวออกมาให้ชาวโลกได้เห็นอย่างชัดเจน
ก่อนหน้านี้บรรดาชนชั้นนำและนักการเมืองของประเทศสหรัฐอมริกาพยายามแสดงให้ชาวโลกเห็นว่าพวกเขาเป็นผู้ที่เทิดทูนสิทธิมนุษยชน ยึดมั่นในความเสมอภาคของมนุษย์โดยไม่คำนึงถึงสถานภาพทางเพศ เชื้อชาติ พร้อมจะช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อพยพเข้าเมืองหรือแม้แต่ปกป้องพวกหนีคดีจากประเทศอื่นให้เข้ามาอาศัยในสหรัฐ และพร้อมที่จะเข้าไปแทรกแซงประเทศอื่นๆ ที่พวกเขาเห็นว่าไม่ใช้หลักการปกครองแบบเดียวกับพวกเขา แต่ชัยชนะของนายโดนัลล์ ทรัมป์ทำให้เราทราบว่าสิ่งที่พวกเขาโฆษณาต่อชาวโลกนั้นเป็นคนละเรื่องกับสิ่งที่พวกเขายึดถือและปฏิบัติจริง
ปัจจัยที่ทำให้นายโดนัลด์ ทรัมป์ประสบชัยชนะในการเลือกตั้งคือ การใช้นโยบายเหยียดเชื้อชาติและศาสนา การประกาศว่าจะเนรเทศผู้อพยพโดยเฉพาะชาวเม็กซิกันออกจากประเทศสหรัฐ การเพิ่มโทษทางอาญาให้รุนแรงขึ้นแก่ผู้หลบหนีเข้าเมือง การกีดกันทางการค้า การลดความช่วยเหลือต่างประเทศ การมีนโยบายต่อต้านชาวมุสลิมอย่างชัดเจน และการทำให้ประเทศสหรัฐฯ กลับมายิ่งใหญ่ ดังนั้นแม้ว่านายโดนัลด์ ทรัมป์เคยมีพฤติกรรมล่วงละเมิดทางเพศ และมีทัศนะในการดูแคลนสตรีเพศอย่างชัดเจน คนอเมริกาส่วนใหญ่จึงไม่ติดใจแต่อย่างใด
นายโดนัลด์ ทรัมป์ยังสร้างแพะรับบาปต่อความตกต่ำทางเศรษฐกิจของประเทศ สหรัฐอเมริกาขึ้นมาสองกลุ่มคือ กลุ่มแรกเป็นกลุ่มผู้อพยพโดยเฉพาะชาวเม็กซิกัน จนถึงกับมีนโยบายสร้างกั้นระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกาและเม็กซิโกขึ้นมาเพื่อป้องกันไม่ให้ชาวเม็กซิกันเข้ามาในสหรัฐอเมริกาได้อีกต่อไป ส่วนกลุ่มที่สองคือบรรดานักการเมืองสหรัฐอมริกาทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นพวกรีพับริกันหรือเดโมแครต ว่า เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้สหรัฐอ่อนแอลงทั้งทางเศรษฐกิจและทางการทหาร ในทางเศรษฐกิจนายทรัมป์กล่าวหาว่านักการเมืองทำให้คนอเมริกันตกงานนับล้านคน เพราะไม่จัดการอย่างเด็ดขาดกับผู้อพยพ และยังปล่อยบริษัทใหญ่ของสหรัฐหนีไปลงทุนต่างประเทศเป็นจำนวนมาก ส่วนทางทหารทำให้ผู้ก่อการร้ายจับคนอเมริกันไปสังหารจำนวนมาก และไม่ใส่ใจทหารผ่านศึก
หากพิจารณาสิ่งที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ พูดเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆและแนวนโยบายที่เขาเสนอนั้น ผมเห็นว่ามีความคล้ายคลึงอย่างใกล้ชิดกับนโยบายที่นายฮิตเลอร์ อดีตผู้นำพรรคนาซีแห่งประเทศเยอรมันใช้ในการหาเสียงจนได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง การกล่าวหาผู้อพยพชาวเม็กซิกันว่าเป็นสาเหตุของปัญหาทางเศรษฐกิจ และการต่อต้านชาวมุสลิมไม่ต่างจากที่พรรคนาซีกล่าวหาชาวยิวว่าเป็นสาเหตุของการตกต่ำทางเศรษฐกิจของประเทศเยอรมันในอดีต และนำไปสู่การสังหารหมู่ชาวยิวในเวลาต่อมา
ส่วนการกล่าวหานักการเมืองว่าเป็นสาเหตุของปัญหาต่างๆและทำให้ประเทศอ่อนแอลง ก็อาจจะเป็นข้ออ้างในการเปลี่ยนโครงสร้างการเมืองเพื่อกระชับรวบอำนาจและการพัฒนาความแข็งแกร่งให้แก่กองทัพ เพื่อทำให้ประเทศสหรัฐอเมริกากลับมายิ่งใหญ่เหมือนเดิม เฉกเช่นเดียวกับการที่พรรคนาซีสร้างความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรไรซ์ที่สามนั่นเอง ดังนั้นเมื่อนายโดนัลด์ ทรัมป์ประสบชัยชนะการเลือกตั้งจึงมีข่าวออกมาว่ากลุ่มนีโอนาซีในประเทศสหรัฐต่างฉลองชัยชนะด้วยความยินดีปรีดา
แน่นอนว่าบุคลิกและประวัติความเป็นมาของของนายโดนัลด์ ทรัมป์อาจแตกต่างจากอดีตผู้นำพรรคนาซีอย่างนายฮิตเลอร์ในหลายมิติ อีกทั้งสถานการณ์โลกในปัจจุบันก็แตกต่างจากยุคที่พรรคนาซีเรืองอำนาจ ความรุนแรงและขอบเขตของอำนาจเผด็จการที่นายโดนัลด์ ทรัมป์จะใช้ย่อมไม่อาจเทียบเท่าได้กับอดีตผู้นำพรรคนาซีกระทำ แต่เมื่อดูนโยบายต่างๆที่นายโดนัลด์ ทรัมป์เสนอออกมาและบุคลิกในเชิงอำนาจนิยมของนายโดนัลด์ ทรัมป์แล้ว เราก็พอประเมินได้ว่าความรุนแรงทางสังคมของประเทศสหรัฐอเมริกาในอนาคตจะมีมากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นัยอีกประการหนึ่งที่เราเห็นได้จากชัยชนะของนายโดนัลด์ ทรัมป์ คือการกระชากหน้ากากของสังคมอเมริกาออกมาให้ชาวโลกได้เห็นถึงโฉมหน้าอันแท้จริง หากย้อนหลังไปเมื่อแปดปีที่แล้วที่คนสหรัฐเลือกนายโอบามาเป็นประธานาธิบดีนั้น พวกเขาพยายามแสดงต่อชาวโลกว่าพวกเขายึดมั่นในค่านิยมความเท่าเทียมและความเสมอภาคทางเชื้อชาติและศาสนา จึงได้เกิดการเทคะแนนเสียงให้นายโอบามาซึ่งเป็นคนผิวดำ แต่เมื่อพวกเขาเผชิญกับภาวะการบีบคั้นการดำรงชีพจากการตกต่ำทางเศรษฐกิจ พวกเขาก็ละทิ้งค่านิยมอุดมการณ์ที่พวกเขาคิดว่าทำให้ดูดีในสายตาชาวโลกลงไปอย่างไม่ใยดี และแสดงพฤติกรรมตามอารมณ์ความรู้สึกแท้จริงที่พวกเขาพยายามกดทับเอาไว้ออกมาอย่างโจ่งแจ้ง ซึ่งได้แก่การรังเกียจเหยียดผิวและเชื้อชาติ ความเห็นแก่ตัว ความก้าวร้าว ความสูงส่งของตนเอง และการไม่เชื่อในหลักความเสมอภาคของมนุษย์และสิทธิมนุษยชน
ยิ่งกว่านั้นเรายังพบลักษณะความเป็นอนาธิปไตยหรือการไม่เคารพกติกาประชาธิปไตยที่พวกเขาบอกต่อชาวโลกว่าเป็นสิ่งที่พวกเขาเชิดชูหนักหนาออกมาพร้อมๆกันด้วย เมื่อมีคนจำนวนมากในหลายมลรัฐออกมาชุมนุมประท้วง โดยใช้ความรุนแรง และเผาบ้านเผาเมืองเพื่อต่อต้านผลการเลือกตั้งที่ไม่เป็นไปตามที่พวกเขาปรารถนา ปรากฏการณ์เช่นนี้ย่อมแสดงให้เห็นว่าประชาธิปไตยสหรัฐอเมริกาเปราะบางยิ่งนัก การใช้อารมณ์และความไร้เหตุผลในการตัดสินกระทำสิ่งต่างๆดำรงอยู่ในทั่วไปในสังคมของประเทศสหรัฐอเมริกา โดยหาได้แตกต่างจากประเทศอื่นในโลกแต่อย่างใด การทำตัวเป็นพี่ใหญ่ของระบอบประชาธิปไตยและยกตนเองว่ามีศีลธรรมทางการเมืองสูงกว่าประเทศอื่นๆจึงกลายเป็นเรื่องที่น่าตลกขบขันในสายตาชาวโลก
ผมประเมินว่าหลังจากนี้ประเทศสหรัฐอเมริกาจะมีความขัดแย้งและความรุนแรงภายในเพิ่มมากขึ้น การชุมนุมประท้วงของกลุ่มชนต่างๆจะมีบ่อยขึ้น การปะทะระหว่างฝ่ายสนับสนุนกับฝ่ายต่อต้านนายโดนัลด์ ทรัมป์จะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ซึ่งจะทำให้นายทรัมป์ใช้เป็นข้ออ้างในการใช้อำนาจเด็ดขาดและรุนแรงในการจัดการกับผู้ต่อต้านและผู้ที่ถูกสงสัยว่าเป็นผู้ก่อการร้าย และมีความเป็นไปได้สูงที่นายทรัมป์จะผลักดันให้มีการแก้ไขกฎหมาย เพื่อเพิ่มอำนาจของประธานาธิบดีและลดอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติให้น้อยลง
ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและองค์การระหว่างประเทศ ในระยะแรกสหรัฐมีแนวโน้มจะลดความช่วยเหลือลงทุกประเภทเพื่อนำงบประมาณไปใช้ในการพัฒนาเศรษฐกิจภายใน ข้อตกลงทางการค้าใดที่สหรัฐได้ประโยชน์น้อยจะถูกแก้ไขหรือยกเลิก ขณะเดียวกันก็จะมีการใช้งบประมาณเพื่อพัฒนาแสนยานุภาพทางทหารเพิ่มขึ้น
กล่าวโดยสรุปยุทธศาสตร์ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ในระยะแรกคือ ยุทธศาสตร์การกระชับอำนาจทางการเมือง การแสวงหาการสนับสนุนจากมวลชนอย่างต่อเนื่อง การสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจภายใน และการพัฒนาความเกรียงไกรของกองทัพ เพื่อให้ประเทศสหรัฐอเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง ซึ่งแนวทางยุทธศาสตร์แบบนี้คล้ายคลึงกับที่นายฮิตเลอร์ใช้ในการสร้างความยิ่งใหญ่ให่แก่ประเทศเยอรมันุคก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง
ดังนั้นหากนายโดนัลด์ ทรัมป์ประสบความสำเร็จ บริหารประเทศบรรลุเป้าหมายตามยุทธศาสตร์แล้ว จังหวะก้าวต่อไปของนายโดนัลด์ ทรัมป์จะเป็นอย่างไร การสร้างความยิ่งใหญ่ของประเทศสหรัฐอเมริกาจะมีความหมายเหมือนกับความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรไรซ์ที่สามของนายฮิตเลอร์ แห่งพรรคนาซีเยอรมันหรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไป
โดย พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
ชัยชนะในการเลือกตั้งตำแหน่งประธานาธิบดีประเทศสหรัฐอเมริกาของ นายโดนัลด์ ทรัมป์ สร้างความประหลาดใจแต่ผู้คนจำนวนมาก เพราะก่อนหน้านี้บรรดานักวิเคราะห์รวมทั้งสำนักโพลล์ต่างๆมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ไม่มีทางที่จะชนะการเลือกตั้งได้ แต่ความไม่แน่นอนก็ได้ทำลายผลการวิเคราะห์ของบรรดาผู้เชี่ยวชาญลงไปอย่างไม่มีชิ้นดี
อย่างหนึ่งที่เราเห็นคือจากชัยชนะของนายโดนัลด์ ทรัมป์ คือการทำให้เราเข้าใจสภาพสังคมการเมืองของประเทศสหรัฐอเมริกามากขึ้น ภาพลวงตาที่เรารับรู้ว่าประเทศนี้มีค่านิยมประชาธิปไตยเป็นแกนหลักของสังคมได้จางหายลงไป ขณะเดียวกันลักษณะความเป็นธรรมชาติอันเป็นแก่นแท้ของสังคมสหรัฐอเมริกาได้เผยตัวออกมาให้ชาวโลกได้เห็นอย่างชัดเจน
ก่อนหน้านี้บรรดาชนชั้นนำและนักการเมืองของประเทศสหรัฐอมริกาพยายามแสดงให้ชาวโลกเห็นว่าพวกเขาเป็นผู้ที่เทิดทูนสิทธิมนุษยชน ยึดมั่นในความเสมอภาคของมนุษย์โดยไม่คำนึงถึงสถานภาพทางเพศ เชื้อชาติ พร้อมจะช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อพยพเข้าเมืองหรือแม้แต่ปกป้องพวกหนีคดีจากประเทศอื่นให้เข้ามาอาศัยในสหรัฐ และพร้อมที่จะเข้าไปแทรกแซงประเทศอื่นๆ ที่พวกเขาเห็นว่าไม่ใช้หลักการปกครองแบบเดียวกับพวกเขา แต่ชัยชนะของนายโดนัลล์ ทรัมป์ทำให้เราทราบว่าสิ่งที่พวกเขาโฆษณาต่อชาวโลกนั้นเป็นคนละเรื่องกับสิ่งที่พวกเขายึดถือและปฏิบัติจริง
ปัจจัยที่ทำให้นายโดนัลด์ ทรัมป์ประสบชัยชนะในการเลือกตั้งคือ การใช้นโยบายเหยียดเชื้อชาติและศาสนา การประกาศว่าจะเนรเทศผู้อพยพโดยเฉพาะชาวเม็กซิกันออกจากประเทศสหรัฐ การเพิ่มโทษทางอาญาให้รุนแรงขึ้นแก่ผู้หลบหนีเข้าเมือง การกีดกันทางการค้า การลดความช่วยเหลือต่างประเทศ การมีนโยบายต่อต้านชาวมุสลิมอย่างชัดเจน และการทำให้ประเทศสหรัฐฯ กลับมายิ่งใหญ่ ดังนั้นแม้ว่านายโดนัลด์ ทรัมป์เคยมีพฤติกรรมล่วงละเมิดทางเพศ และมีทัศนะในการดูแคลนสตรีเพศอย่างชัดเจน คนอเมริกาส่วนใหญ่จึงไม่ติดใจแต่อย่างใด
นายโดนัลด์ ทรัมป์ยังสร้างแพะรับบาปต่อความตกต่ำทางเศรษฐกิจของประเทศ สหรัฐอเมริกาขึ้นมาสองกลุ่มคือ กลุ่มแรกเป็นกลุ่มผู้อพยพโดยเฉพาะชาวเม็กซิกัน จนถึงกับมีนโยบายสร้างกั้นระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกาและเม็กซิโกขึ้นมาเพื่อป้องกันไม่ให้ชาวเม็กซิกันเข้ามาในสหรัฐอเมริกาได้อีกต่อไป ส่วนกลุ่มที่สองคือบรรดานักการเมืองสหรัฐอมริกาทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นพวกรีพับริกันหรือเดโมแครต ว่า เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้สหรัฐอ่อนแอลงทั้งทางเศรษฐกิจและทางการทหาร ในทางเศรษฐกิจนายทรัมป์กล่าวหาว่านักการเมืองทำให้คนอเมริกันตกงานนับล้านคน เพราะไม่จัดการอย่างเด็ดขาดกับผู้อพยพ และยังปล่อยบริษัทใหญ่ของสหรัฐหนีไปลงทุนต่างประเทศเป็นจำนวนมาก ส่วนทางทหารทำให้ผู้ก่อการร้ายจับคนอเมริกันไปสังหารจำนวนมาก และไม่ใส่ใจทหารผ่านศึก
หากพิจารณาสิ่งที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ พูดเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆและแนวนโยบายที่เขาเสนอนั้น ผมเห็นว่ามีความคล้ายคลึงอย่างใกล้ชิดกับนโยบายที่นายฮิตเลอร์ อดีตผู้นำพรรคนาซีแห่งประเทศเยอรมันใช้ในการหาเสียงจนได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง การกล่าวหาผู้อพยพชาวเม็กซิกันว่าเป็นสาเหตุของปัญหาทางเศรษฐกิจ และการต่อต้านชาวมุสลิมไม่ต่างจากที่พรรคนาซีกล่าวหาชาวยิวว่าเป็นสาเหตุของการตกต่ำทางเศรษฐกิจของประเทศเยอรมันในอดีต และนำไปสู่การสังหารหมู่ชาวยิวในเวลาต่อมา
ส่วนการกล่าวหานักการเมืองว่าเป็นสาเหตุของปัญหาต่างๆและทำให้ประเทศอ่อนแอลง ก็อาจจะเป็นข้ออ้างในการเปลี่ยนโครงสร้างการเมืองเพื่อกระชับรวบอำนาจและการพัฒนาความแข็งแกร่งให้แก่กองทัพ เพื่อทำให้ประเทศสหรัฐอเมริกากลับมายิ่งใหญ่เหมือนเดิม เฉกเช่นเดียวกับการที่พรรคนาซีสร้างความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรไรซ์ที่สามนั่นเอง ดังนั้นเมื่อนายโดนัลด์ ทรัมป์ประสบชัยชนะการเลือกตั้งจึงมีข่าวออกมาว่ากลุ่มนีโอนาซีในประเทศสหรัฐต่างฉลองชัยชนะด้วยความยินดีปรีดา
แน่นอนว่าบุคลิกและประวัติความเป็นมาของของนายโดนัลด์ ทรัมป์อาจแตกต่างจากอดีตผู้นำพรรคนาซีอย่างนายฮิตเลอร์ในหลายมิติ อีกทั้งสถานการณ์โลกในปัจจุบันก็แตกต่างจากยุคที่พรรคนาซีเรืองอำนาจ ความรุนแรงและขอบเขตของอำนาจเผด็จการที่นายโดนัลด์ ทรัมป์จะใช้ย่อมไม่อาจเทียบเท่าได้กับอดีตผู้นำพรรคนาซีกระทำ แต่เมื่อดูนโยบายต่างๆที่นายโดนัลด์ ทรัมป์เสนอออกมาและบุคลิกในเชิงอำนาจนิยมของนายโดนัลด์ ทรัมป์แล้ว เราก็พอประเมินได้ว่าความรุนแรงทางสังคมของประเทศสหรัฐอเมริกาในอนาคตจะมีมากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นัยอีกประการหนึ่งที่เราเห็นได้จากชัยชนะของนายโดนัลด์ ทรัมป์ คือการกระชากหน้ากากของสังคมอเมริกาออกมาให้ชาวโลกได้เห็นถึงโฉมหน้าอันแท้จริง หากย้อนหลังไปเมื่อแปดปีที่แล้วที่คนสหรัฐเลือกนายโอบามาเป็นประธานาธิบดีนั้น พวกเขาพยายามแสดงต่อชาวโลกว่าพวกเขายึดมั่นในค่านิยมความเท่าเทียมและความเสมอภาคทางเชื้อชาติและศาสนา จึงได้เกิดการเทคะแนนเสียงให้นายโอบามาซึ่งเป็นคนผิวดำ แต่เมื่อพวกเขาเผชิญกับภาวะการบีบคั้นการดำรงชีพจากการตกต่ำทางเศรษฐกิจ พวกเขาก็ละทิ้งค่านิยมอุดมการณ์ที่พวกเขาคิดว่าทำให้ดูดีในสายตาชาวโลกลงไปอย่างไม่ใยดี และแสดงพฤติกรรมตามอารมณ์ความรู้สึกแท้จริงที่พวกเขาพยายามกดทับเอาไว้ออกมาอย่างโจ่งแจ้ง ซึ่งได้แก่การรังเกียจเหยียดผิวและเชื้อชาติ ความเห็นแก่ตัว ความก้าวร้าว ความสูงส่งของตนเอง และการไม่เชื่อในหลักความเสมอภาคของมนุษย์และสิทธิมนุษยชน
ยิ่งกว่านั้นเรายังพบลักษณะความเป็นอนาธิปไตยหรือการไม่เคารพกติกาประชาธิปไตยที่พวกเขาบอกต่อชาวโลกว่าเป็นสิ่งที่พวกเขาเชิดชูหนักหนาออกมาพร้อมๆกันด้วย เมื่อมีคนจำนวนมากในหลายมลรัฐออกมาชุมนุมประท้วง โดยใช้ความรุนแรง และเผาบ้านเผาเมืองเพื่อต่อต้านผลการเลือกตั้งที่ไม่เป็นไปตามที่พวกเขาปรารถนา ปรากฏการณ์เช่นนี้ย่อมแสดงให้เห็นว่าประชาธิปไตยสหรัฐอเมริกาเปราะบางยิ่งนัก การใช้อารมณ์และความไร้เหตุผลในการตัดสินกระทำสิ่งต่างๆดำรงอยู่ในทั่วไปในสังคมของประเทศสหรัฐอเมริกา โดยหาได้แตกต่างจากประเทศอื่นในโลกแต่อย่างใด การทำตัวเป็นพี่ใหญ่ของระบอบประชาธิปไตยและยกตนเองว่ามีศีลธรรมทางการเมืองสูงกว่าประเทศอื่นๆจึงกลายเป็นเรื่องที่น่าตลกขบขันในสายตาชาวโลก
ผมประเมินว่าหลังจากนี้ประเทศสหรัฐอเมริกาจะมีความขัดแย้งและความรุนแรงภายในเพิ่มมากขึ้น การชุมนุมประท้วงของกลุ่มชนต่างๆจะมีบ่อยขึ้น การปะทะระหว่างฝ่ายสนับสนุนกับฝ่ายต่อต้านนายโดนัลด์ ทรัมป์จะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ซึ่งจะทำให้นายทรัมป์ใช้เป็นข้ออ้างในการใช้อำนาจเด็ดขาดและรุนแรงในการจัดการกับผู้ต่อต้านและผู้ที่ถูกสงสัยว่าเป็นผู้ก่อการร้าย และมีความเป็นไปได้สูงที่นายทรัมป์จะผลักดันให้มีการแก้ไขกฎหมาย เพื่อเพิ่มอำนาจของประธานาธิบดีและลดอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติให้น้อยลง
ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและองค์การระหว่างประเทศ ในระยะแรกสหรัฐมีแนวโน้มจะลดความช่วยเหลือลงทุกประเภทเพื่อนำงบประมาณไปใช้ในการพัฒนาเศรษฐกิจภายใน ข้อตกลงทางการค้าใดที่สหรัฐได้ประโยชน์น้อยจะถูกแก้ไขหรือยกเลิก ขณะเดียวกันก็จะมีการใช้งบประมาณเพื่อพัฒนาแสนยานุภาพทางทหารเพิ่มขึ้น
กล่าวโดยสรุปยุทธศาสตร์ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ในระยะแรกคือ ยุทธศาสตร์การกระชับอำนาจทางการเมือง การแสวงหาการสนับสนุนจากมวลชนอย่างต่อเนื่อง การสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจภายใน และการพัฒนาความเกรียงไกรของกองทัพ เพื่อให้ประเทศสหรัฐอเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง ซึ่งแนวทางยุทธศาสตร์แบบนี้คล้ายคลึงกับที่นายฮิตเลอร์ใช้ในการสร้างความยิ่งใหญ่ให่แก่ประเทศเยอรมันุคก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง
ดังนั้นหากนายโดนัลด์ ทรัมป์ประสบความสำเร็จ บริหารประเทศบรรลุเป้าหมายตามยุทธศาสตร์แล้ว จังหวะก้าวต่อไปของนายโดนัลด์ ทรัมป์จะเป็นอย่างไร การสร้างความยิ่งใหญ่ของประเทศสหรัฐอเมริกาจะมีความหมายเหมือนกับความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรไรซ์ที่สามของนายฮิตเลอร์ แห่งพรรคนาซีเยอรมันหรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไป