xs
xsm
sm
md
lg

คาด กนง.คงอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่อง เหตุรอประเมินเลือกตั้งสหรัฐฯ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะมีมติ “คง” อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 1.50% ต่อเนื่อง ในการประชุมวันที่ 9 พฤศจิกายน 2559 เพื่อรอประเมินปัจจัยต่างๆ ทั้งใน และต่างประเทศ เช่น สัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในช่วงเหลือของปีนี้และปีหน้า ทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ รวมไปถึงท่าทีการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ภายใต้การบริหารประเทศของประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ ซึ่งคงจะทยอยมีรายละเอียด และความชัดเจนมากขึ้นหลังการเลือกตั้งวันที่ 8 พ.ย.นี้ผ่านพ้นไป

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า กนง. น่าจะยืนอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยที่ 1.50% ในระหว่างที่รอประเมินผลจาก 2 เหตุการณ์สำคัญจากฝั่งสหรัฐฯ ในช่วงที่เหลือของปี 2559 โดยเฉพาะโอกาสการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด และทิศทางนโยบายของสหรัฐฯ ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ โดยความเสี่ยงจากประเด็นการเมืองสหรัฐฯ ที่กำลังมีน้ำหนักมากขึ้นในช่วงนับถอยหลังสู่วันเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทำให้ทุกภาคส่วนเฝ้าติดตามนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วงหลังจากนี้อย่างใกล้ชิด เนื่องจากท่าที และนโยบายเศรษฐกิจของประธานาธิบดีคนใหม่ จะมีผลต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมไปถึงภาพรวมของเศรษฐกิจโลกในระยะข้างหน้า ทั้งนี้ หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของสหรัฐฯ ที่พลิกผัน สถานการณ์เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ทยอยปรับดีขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา น่าจะเอื้อให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุม FOMC รอบเดือน ธ.ค.2559 นี้ ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า กนง.น่าจะยังไม่มีการปรับเปลี่ยนการดำเนินนโยบายการเงินในรอบการประชุมวันที่ 9 พ.ย.นี้ โดย กนง.น่าจะรอทิศทางที่ชัดเจนจากปัจจัยข้างต้นก่อนที่จะมีการประเมินถึงระดับนโยบายการเงินที่เหมาะสมต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป

นอกจากนี้ เครื่องชี้เศรษฐกิจไทยที่ยังคงฟื้นตัวต่อเนื่อง ซึ่งตอกย้ำถึงโอกาสที่ กนง. จะยืนดอกเบี้ยนโยบายไว้ตามเดิมที่ 1.50% ในการประชุมรอบนี้ด้วยเช่นกัน โดยเครื่องชี้เศรษฐกิจเดือน ก.ย. และไตรมาส 3/2559 หลายตัวยังคงให้ภาพการทยอยฟื้นตัวดีขึ้น โดยการบริโภคภาคเอกชนยังคงขยายตัวต่อเนื่อง ซึ่งส่วนหนึ่งได้รับอานิสงส์จากรายได้เกษตรกรที่ขยายตัว 5 เดือนติดต่อกัน อีกทั้งภาคการท่องเที่ยวยังคงสามารถรักษาระดับการขยายตัวได้ดีอยู่ ขณะที่ภาคการส่งออกที่เคยเป็นปัจจัยฉุดรั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ กลับเริ่มมีสัญญาณที่ฟื้นตัวขึ้น โดยมูลค่าการส่งออกขยายตัว 2 เดือนติดต่อกัน และช่วยให้ยอดการส่งออก 9 เดือน ติดลบลดลงเหลือ 0.7% เทียบระหว่างปีนี้ และปีก่อนหน้า ดังนั้น ด้วยภาพการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในหลายๆ ส่วนที่ยังสามารถประคองการฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง ขณะที่แรงหนุนจากมาตรการทางการคลังของภาครัฐ เช่น มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรรอบใหม่ (ซึ่งคงเป็นอีกปัจจัยช่วยให้ความเสี่ยงด้านลบของภาคการบริโภคมีจำกัด) ก็คงมีบทบาทสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปีนี้ และเพียงพอในการรักษาการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยสำหรับทั้งปี 2559 ให้เติบโตใกล้เคียง3.3% ได้

อย่างไรก็ตาม นัยสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย แม้ว่าการส่งสัญญาณถึงจังหวะการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดที่เข้ามาใกล้มากขึ้น รวมถึงความไม่แน่นอนจากผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อาจส่งผลให้เกิดความผันผวน และเพิ่มความเสี่ยงต่อการไหลออกของเงินทุนจากตลาดประเทศเกิดใหม่ รวมทั้งไทย อันส่งผลให้สภาพคล่องในระบบทยอยปรับตึงตัวขึ้น แต่ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ผลของการลดลงของสภาพคล่องในตลาดการเงินโลกต่อไทยคงอยู่ในระดับที่สามารถบริหารจัดการได้ โดยสภาพคล่องคงค้างในตลาดการเงินที่เกี่ยวข้องต่อธุรกรรมสัญญาว่าจะขายคืนหรือซื้อคืน (Repo Market) ของไทยยังคงทรงตัวในระดับสูง โดยมีมูลค่าธุรกรรมคงค้างกว่า 1.6 ล้านล้านบาท อันเพียงพอต่อการสนับสนุนการขยายตัวของสินเชื่อ รวมทั้งความต้องการระดมทุนของภาครัฐฯ และเอกชนในช่วงปีข้างหน้า นอกจากนี้ ล่าสุด ธนาคารแห่งประเทศไทย ยังเปิดช่องให้สถาบันการเงินที่เป็นไพรมารี ดีลเลอร์ สามารถยกเลิก/คืนธุรกรรม Bilateral Repo (BRP) ก่อนครบกำหนด อันเป็นหลักประกันในการสร้างความมั่นใจต่อความเพียงพอของสภาพคล่องในระบบการเงินไทยอีกทางหนึ่ง
กำลังโหลดความคิดเห็น