xs
xsm
sm
md
lg

ลับสุดยอด!!! มติ ครม. เรื่องการคืนท่อก๊าซธรรมชาติ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

ณ บ้านพระอาทิตย์
โดย...ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2559 นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ทำหนังสือเรียนผู้ว่าตรวจเงินแผ่นดินและคณะรัฐมนตรี ยอมรับว่า :

“ศาลปกครองสูงสุดมิได้แยกระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติออกเป็นส่วนๆ หรือคำนึงว่าท่อก๊าซธรรมชาติและอุปกรณ์ตั้งอยู่บนพื้นที่ของใคร ทั้งอาจเป็นเพราะว่าท่อส่งก๊าซธรรมชาติเป็นสิ่งที่ต้องใช้ทั้งระบบไม่สามารถแยกออกเป็นท่อนๆได้” และ

“คณะรัฐมนตรีได้รับทราบและมีมติเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2550 “ให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเป็นผู้ตรวจสอบและรับรองความถูกต้อง หากมีข้อโต้แย้งทางกฎหมายเกี่ยวกับการตีความตามคำพิพากษา ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นผู้พิจารณาเพื่อให้มีข้อยุติ” แต่ก็ไม่ปรากฏว่าตุลาการศาลปกครองสูงสุดได้เรียก สตง. มาสอบถามถึงการตรวจสอบและรับรองความถูกต้องแต่อย่างใด และโดยที่เรื่องนี้เป็นประโยชน์ของแผ่นดินที่กระทรวงการคลังมีหน้าที่จะต้องรักษาไว้ให้ถูกต้องครบถ้วน กระทรวงการคลัง และสตง. จึงสมควรร่วมกันเสนอให้ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาเพื่อหาข้อยุติต่อไป”

ความเห็นจากคณะกรรมการกฤษฎีกานั้นถือว่ามีน้ำหนักอย่างยิ่งเพราะเป็นองค์กรที่คณะรัฐมนตรีได้เคยได้มีมติเอาไว้เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2550 ว่า:

“หากมีข้อโต้แย้งทางกฎหมายเกี่ยวกับการตีความตามคำพิพากษา ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นผู้พิจารณาเพื่อให้มีข้อยุติ”

ความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2559 ต่อกรณีที่ ปตท.คืนทรัพย์สินไม่ครบถ้วนนั้น สอดคล้องกับมติผู้ตรวจการแผ่นดิน ที่ยื่นฟ้องกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กับพวกเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2559 ปัจจุบันศาลปกครอง ประทับรับฟ้องในส่วนขององค์กรของรัฐเอาแล้ว

คณะกรรมการกฤษฎีกา ที่เห็นว่าการคืนทรัพย์สินครั้งนี้ไม่ครบถ้วนก็ให้ความเห็นสอดคล้องไปกับคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) ซึ่งได้ยื่นต่อหน่วยงานของรัฐเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2559 อีกด้วย

สรุปได้ว่า 2 องค์กรตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2550 คือสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน และคณะกรรมการกฤษฎีกา ต่างเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่าปตท.ยังคืนท่อก๊าซไม่ครบถ้วนตามคำพิพากษา

เป็นการลงดาบซ้ำตามรอย 2 องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ คือมติผู้ตรวจการแผ่นดิน และมติคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) ที่ไม่เพียงแต่เห็นว่าการคืนท่อก๊าซไม่ครบถ้วนตามคำพิพากษาเท่านั้น แต่ยังเห็นว่าต้องดำเนินคดีความเอาผิดกับผู้ที่กระทำความผิดทั้งหมดด้วย

แต่สถานการณ์ที่จะต้องมาถึงเป็น “หมากบังคับ” ให้คณะรัฐมนตรีต้องตัดสินใจในทางใดทางหนึ่งภายใน 60 วันอย่างแน่นอน ก็เพราะมีมติคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินนั้นมีอำนาจและสภาพบังคับตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. 2542 คอยผลักดันคณะรัฐมนตรีเอาไว้อยู่ด้วยจนยากที่จะหลบเลี่ยงต่อไปได้

ย้อนกลับไปในการทวงคืนท่อก๊าซมาอย่างยาวนานของ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค พร้อมด้วย นางสาวรสนา โตสิตระกูล นางสาวบุญยืน ศิริธรรม กับพวกรวม 4,450 คน ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และกระทรวงการคลัง โดยระบุว่า มีการส่งมอบท่อก๊าซไม่ครบถ้วน ขอให้บังคับผู้ถูกฟ้องให้ส่งมอบให้ครบถ้วน”

การยื่นฟ้องครั้งนั้น ส่งผลทำให้ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งที่ 800/2557 ลงวันที่ 12 ธันวาคม 2557 ระบุข้อความการวินิจฉัยสำคัญว่า

“เรื่องการไม่ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเป็นเรื่องที่หน่วยราชการต้องไปว่ากล่าวกันเอง โดยคณะรัฐมนตรีที่เป็นผู้บังคับบัญชาหน่วยงานทั้งหลาย”

คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 800/2557 มีความชัดเจนว่าการไม่ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีนั้น เป็นเรื่องที่หน่วยงานของรัฐต้องไปจัดการว่ากล่าวกันเอง เพราะต่างมีสถานภาพที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาคณะรัฐมนตรีทั้งสิ้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับศาลปกครองสูงสุดอีกแล้ว

และเมื่อคณะรัฐมนตรีไม่ได้มีการว่ากล่าวหน่วยงานผู้ใต้บังคับบัญชาใดๆ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค พร้อมด้วย นางสาวรสนา โตสิตระกูล, นางสาวบุญยืน ศิริธรรม, นายอิฐบูรณ์ อ้นวงษา กับพวก ได้ไปยื่นคำร้องต่อสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน เพื่อให้คณะรัฐมนตรีดำเนินตามคำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 800/2557

เมื่อคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ได้รับคำร้องแล้ว จึงได้มีคำสั่งให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ตรวจสอบ และเมื่อตรวจสอบเสร็จแล้วคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินได้มีมติดังนี้

1.ท่อก๊าซธรรมชาติทั้งบนบกและในทะเลเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน เพราะได้มาจากการประกอบกิจการและใช้เพื่อกิจการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นหน่วยงานของรํฐตามพระราชบัญญัติการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2513 ก่อนมีการแปรรูปและส่งมอบให้กับ บริษัท ปตท.

2.อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. กับพวกฝ่าฝืนมติคณะรัฐมนตรีและมีพฤติการณ์น่าเชื่อว่าปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ โดยส่งมอบท่อก๊าซธรรมชาติไม่ครบถ้วนตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด ขาดไปคิดเป็นเงิน 32,000 ล้านบาทเศษ ทำให้รัฐขาดประโยชน์จากค่าเช่าที่พึงได้รับ

นอกจากนี้ยังยื่นคำร้องอันเป็นเท็จต่อศาลปกครองสูงสุดว่ามีการส่งมอบก๊าซครบถ้วนแล้ว โดยไม่รอผลการตรวจสอบและรับรองจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน และเสนอขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี ตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 18 ธันวาคม 2550 และ พรบ.ทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2542 มาตรา 24 เสียก่อน

3.ให้ส่งเรื่องไปยังสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พิจารณาดำเนินคดีอาญากับอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กับพวก เนื่องจากมีพฤติการณ์น่าเชื่อว่าปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ ทั้งให้ผู้บังคับบัญชาดำเนินการทางวินัยและความรับผิดชอบทางละเมิดด้วย

4.คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 44, 46, และ 15 แห่ง พ.ร.บ.ว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. 2542 ขอให้นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. กับผู้เกี่ยวข้องดำเนินการให้มีการส่งมอบท่อก๊าซธรรมชาติที่ขาดไปคิดเป็นเงิน 32,000 ล้านบาทเศษแก่กระทรวงการคลัง และให้คณะรัฐมนตรียื่นคำร้องต่อศาลปกครองสูงสุดเพื่อให้มีการบังคับคดีที่ถูกต้องครบถ้วนต่อไปภายใน 60 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน มิฉะนั้นคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน จะดำเนินการตามมาตรา 17, 63, และ 64 แห่ง พ.ร.บ.ว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. 2542 และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และ พ.ร.บ.ความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 11 ต่อไป

การที่คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ให้คณะรัฐมนตรีต้องดำเนินการตามข้อ 4 ให้เสร็จภายใน 60 วัน ก็เพราะคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน อาศัยพระราชบัญญัติว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. 2542 ตามมาตรา 44 วรรคแรก และมาตรา 46 วรรคแรกซึ่งกำหนดเอาไว้ว่า :

มาตรา 44 วรรคแรก ในกรณีที่คณะกรรมการ (คตง.) พิจารณาผลการตรวจสอบแล้วปรากฏว่ามีข้อบกพร่องเนื่องจากไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ หรือมติคณะรัฐมนตรี ให้คณะกรรมการ (คตง.) มีหนังสือแจ้งให้หน่วยรับตรวจชี้แจงหรือแก้ไขข้อบกพร่องหรือปฏิบัติให้ถูกต้องหรือให้ดำเนินการตามกฎหมายหรือระเบียบแบบแผนที่ราชการหรือหน่วยรับตรวจกำหนดไว้แก่เจ้าหน้าที่หน่วยรับตรวจซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบตามสมควรแก่กรณี และให้หน่วยรับตรวจแจ้งผลการดำเนินการให้คณะกรรมการ (คตง.)ทราบภายใน 60 วัน เว้นแต่คณะกรรมการ (คตง.)จะกำหนดเป็นอย่างอื่น

ส่วนคณะรัฐมนตรีหากนิ่งเฉยและไม่ปฏิบัติตามมติคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) ตามมาตรา 44 และ 46 แห่ง พ.ร.บ.ว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. 2542 หรือไม่ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน นอกจากจะต้องถูกดำเนินคดีความฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 แล้ว พ.ร.บ.ว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. 2542 ยังกำหนดเอาไว้ในมาตรา 63 ด้วยว่าให้ถือว่ากระทำผิดวินัย และมีระวางโทษจำคุก 1 ปี ถึง 10 ปี ตามมาตรา 11 แห่ง พ.ร.บ.ว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. 2542 อีกด้วย

ด้วยเหตุผลนี้ เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2559 นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีจึงได้ให้สัมภาษณ์ในกรณีดังกล่าวเอาไว้ว่า :

“ยอมรับเรื่องนี้มีความสำคัญ ไม่เช่นนั้นคณะรัฐมนตรี (ครม.) และนายกรัฐมนตรีอาจจะต้องรับผิดและอาจถูกฟ้องมาตรา 157 ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ดังนั้นเมื่อกระทรวงการคลังได้รับหนังสือถึงเวลาหนึ่งก็นัดที่จะเจอกัน ถึงอย่างไรเรื่องนี้ต้องยุติ แต่อาจจะไม่ยุติในทันที และถ้าเห็นไม่ตรงกันต้องไปศาล”

และกรณีดังกล่าวข้างต้นคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ได้ยื่นเรื่องเอาไว้ถึงคณะรัฐมนตรีตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2559

ดังนั้น 60 วันที่จะต้องดำเนินการตามมาตรา 44 แห่งพ.ร.บ.ว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. 2542 ให้แล้วเสร็จ คือก่อนวันที่ 24 ตุลาคม 2559 !!!!

และเมื่อคณะกรรมการกฤษฎีกาซึ่งเป็นที่ปรึกษากฎหมายของรัฐบาลมีมติสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกับคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2559 ที่ผ่านมา ก็เป็นผลทำให้คณะรัฐมนตรีต้องประชุมในวาระดังกล่าวโดยไม่สามารถที่จะถ่วงเวลาออกไปได้ คณะรัฐมนตรีได้ประชุมเมื่อวันอังคารที่ 27 กันยายน 2559 โดยได้ปรากฏเป็นข่าวว่าจริงหรือไม่ว่าในการประชุมครั้งนั้นคณะรัฐมนตรีมีมติว่า:

“รับทราบเรื่องการแบ่งแยกทรัพย์สินของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยของคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) ที่มีถึงคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2559 และรับทราบผลการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา(คณะพิเศษ)”

และยังปรากฏเป็นข่าวว่าจริงหรือไม่ว่าในการประชุมครั้งนั้นคณะรัฐมนตรียังมีมติอีกด้วยว่า:

“มอบหมายให้กระทรวงการคลังและกระทรวงพลังงาน นำรายงานการตรวจสอบของคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินไปพิจารณาและให้รายงานต่อคณะรัฐมนตรีก่อนครบกำหนด 60 วัน (ก่อนวันที่ 24 ตุลาคม 2559) และมอบหมายให้กระทรวงการคลังหารือร่วมกับสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินว่ายังมีเรื่องใดที่จะต้องดำเนินการเพิ่มเติมให้ได้ข้อยุติ โดยยึดประโยชน์ของแผ่นดินเป็นสำคัญ”

และเนื่องจากคณะรัฐมนตรีจะมีการประชุมเพียงสัปดาห์ละ 1 ครั้งคือ ทุกวันอังคาร ดังนั้นอังคารสุดท้ายก่อนวันที่ 24 ตุลาคม 2559 ที่จะมีมติอย่างใดอย่างหนึ่งในเรื่องนี้คือวันอังคารที่ 18 ตุลาคม 2559

บัดนี้ได้เข้าสู่เดือนพฤศจิกายน 2559 ซึ่งเลยระยะเวลาเกินกว่า 60 วันไปเรียบร้อยแล้ว ปัญหาคือจนถึงบัดนี้ก็ไม่ปรากฏว่ามติคณะรัฐมนตรีได้ตัดสินใจอย่างไรในเรื่องนี้ แต่กลับเก็บเรื่องนี้เป็นความลับไม่ให้ประชาชนทั่วไปได้รับทราบ (อีกเช่นเคย)

สิ่งที่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา พึงจะต้องระวังในเรื่องนี้คือการส่งไปให้ศาลปกครองสูงสุด ไปพิจารณาวินิจฉัยซ้ำอีก ทั้งๆ ที่ ศาลปกครองสูงสุด ได้มีคำสั่งที่ 800/2557 แล้วว่าเป็นเรื่องที่ไม่ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีนั้นรัฐบาลต้องไปรับผิดชอบเอาเอง ซึ่งความจริงแล้วรัฐบาลมีหน้าที่และความรับผิดชอบนำทรัพย์สินของรัฐที่คืนไม่ครบถ้วนนั้นกลับคืนมา และแจ้งให้ศาลปกครองสูงสุดเพื่อทราบการดำเนินการดังกล่าว จึงจะครบถ้วนตามเจตนารมณ์ของศาลปกครองสูงสุดที่ 800/2557 จริงหรือไม่?

แต่ถ้าพ้นจากนี้แล้วยังไม่มีความชัดเจนใดๆ นอกจากจะทำให้ประชาชนที่เขาฝากความหวังเอาไว้กับรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องผิดหวังแล้ว รัฐบาลก็อาจมีความเสี่ยงต่อคดีความทั้งปวงในอนาคตอีกด้วย

ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น !!!


กำลังโหลดความคิดเห็น