xs
xsm
sm
md
lg

ศาลรธน.ตีกลับ"ร่างมีชัย" ไม่ให้ส.ว.เสนอชื่อนายกฯ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

วานนี้ (28ก.ย.) นายพิมล ธรรมพิทักษ์พงษ์ เลขาธิการศาลรัฐธรรมนูญ แถลงว่า ศาลรธน.มีมติให้กรธ. ไปปรับแก้เนื้อหาร่างรธน. เพื่อให้สอดคล้องกับผลการออกเสียงประชามติ โดย
1. ในประเด็นที่กรธ.กำหนดเป็น มาตรา 272 วรรคสอง ของร่างรธน.ว่า "กรณีไม่อาจแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีตามบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองเสนอ ให้ ส.ส.จำนวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนส.ส.ทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ มีสิทธิเสนอต่อประธานรัฐสภาเพื่อยกเว้นได้" นั้น เห็นว่าควรเป็นอำนาจหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภา ที่จะต้องเข้ามาร่วมแก้ไขปัญหาข้อขัดข้องดังกล่าวให้ผ่านพ้นไปด้วย สมตามเจตนารมณ์ของผลการออกเสียงประชามติ ดังนั้น ให้กรธ.แก้ไขให้ผู้มีสิทธิเสนอขอยกเว้นการเสนอชื่อนายกฯ จากผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อของพรรคการเมือง คือสมาชิกรัฐสภา จำนวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา
2. ในประเด็นที่ กรธ.กำหนดเป็น มาตรา 272 วรรคหนึ่งว่า “ในระยะ 5 ปีแรก”นับแต่วันที่มีรัฐสภา ภายหลังการเลือกตั้งส.ส.ตาม มาตรา 268 และวรรคสอง บัญญัติว่า“ในวาระเริ่มแรก” เมื่อมีการเลือก ส.ส. ตามมาตรา 268 แล้ว หากมีกรณีที่ไม่อาจแต่งตั้งนายกฯ จากบัญชีรายชื่อพรรคการเมืองที่แจ้งไว้ ตามมาตรา 88 ไม่ว่าด้วยเหตุใด ส.ส.จำนวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ เข้าชื่อเสนอต่อประธานรัฐสภา มีมติยกเว้นไม่ต้องเสนอชื่อนายกฯจากบัญชีพรรคการเมือง เห็นว่าการกำหนดระยะเวลาวันเริ่มนับกำหนดเวลาตามร่างรธน. มาตรา 272 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง ต้องสอดคล้องกัน จึงได้กำหนดให้ที่ประชุมสมาชิกรัฐสภา เป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลที่สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกฯ เพื่อให้ได้นายกฯ เข้ามาทำหน้าที่บริหารราชการในช่วงเวลาเดียวกัน และสามารถขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านต่างๆ สำเร็จบรรลุผลตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ และเจตนารมณ์ที่ร่างรธน. กำหนดอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติ และประชาชน ซึ่งที่ประชุมสมาชิกรัฐสภา จะต้องประกอบด้วย ส.ส. และ ส.ว. ดังนั้นกำหนดเวลา และวันเริ่มนับเวลาตามร่างรธน. มาตรา 272 วรรคหนึ่ง และวรรค 2 คือ ใน ระหว่าง 5 ปีแรก นับแต่วันที่มีรัฐสภาชุดแรก ตามรธน. ดังนั้น กรธ.ต้องไปดำเนินการตามที่ศาลรธน.วินิจฉัย รวมทั้งปรับแก้ถ้อยคำในคำปรารภ ให้สอดคล้องตามรธน. ชั่วคราว โดยดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 15 วัน นับแต่ศาลรธน.วินิจฉัย และเสนอต่อนายกรัฐมนตรี เพื่อทูลเกล้าฯ ต่อไป
อย่างไรก็ตาม หลังจากศาลรธน. มีคำวินิจฉัยแล้ว ได้มีการเผยแพร่คำวินิจฉัยกลาง มีทั้งสิ้น 19 หน้า ซึ่งในคำวินิจฉัยกลาง ได้ระบุถึงผู้มีสิทธิที่จะเสนอชื่อนายกฯ และผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบนายกฯ ไว้ตอนหนึ่งว่า
เมื่อ พิจารณาเจตนารมณ์ของร่างรธน. และประเด็นคำถามพ่วง ห็นว่าการได้มาซึ่งนายกฯ ได้แบ่งขั้นตอนการเสนอชื่อ และการให้ความเห็นชอบ ออกจากกัน เนื่องจากต้องการให้การเสนอชื่อบุคคล ซึ่งสมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกฯ เป็นหน้าที่ของส.ส. ที่เป็นตัวแทนของประชาชน เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงความไว้วางใจของประชาชน จึงได้กำหนดไว้ใน มาตรา 88 ให้พรรคการเมือง ต้องคัดเลือกบุคคลที่พรรคจะสนับสนุนให้เป็นนายกฯ
ขณะที่ในประเด็นคำถามพ่วง ที่ให้ประชาชนลงมตินั้น เขียนเพียงว่า“ให้ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาเป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคล ซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกฯ” ย่อมทำให้เข้าใจได้ว่า คำถามพ่วงประสงค์เฉพาะให้ที่ประชุมรัฐสภา มีมติให้ความเห็นชอบบุคคล ซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกฯ ไม่รวมถึงการเสนอชื่อบุคคล ที่สมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกฯด้วย ดังนั้นการร่างฯ ม. 272 วรรคหนึ่งไว้ในร่างรธน. ของกรธ. จึงสอดคล้อง และชอบด้วยผลการออกเสียงประชามติแล้ว
ส่วนการเสนอขอยกเว้น เพื่อไม่ต้องเสนอชื่อนายกฯ จากบัญชีของพรรคการเมือง แม้ไม่อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาให้ความเห็นชอบตัวบุคคล ผู้จะเป็นนายกฯ ตามถ้อยคำในประเด็นคำถามพ่วงก็ตาม แต่การแก้ไขร่างรธน. ผลการออกเสียงประชามติ จำต้องแก้ไขให้สอดคล้องกันทุกส่วน ทุกขั้นตอน รวมถึงขั้นตอนการเสนอขอยกเว้นดังกล่าวด้วย ซึ่งศาลรธน.เห็นว่า การกำหนดให้ ส.ส.เป็นองค์กรมีสิทธิเสนอขอยกเว้น เพื่อไม่ต้องเสนอชื่อนายกฯ จากบัญชีพรรคการเมือง โดยอาศัยเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของเท่าที่มีอยู่ หากการดำเนินการในขั้นตอนการรวบรวมรายชื่อ เพื่อให้ถึงจำนวนดังกล่าวเกิดข้อขัดข้อง เป็นเหตุให้กระบวนการทั้งหมดต้องล่าช้า หรือไม่ว่าด้วยเหตุใด ย่อมส่งผลกระทบต่อความราบรื่นในกระบวนการได้มาซึ่งนายกฯ ที่ต้องดำเนินการภายใต้การตัดสินใจร่วมกันของที่ประชุมรัฐสภา
ดังนั้น เพื่อให้บรรลุผลตามเจตนารมณ์ของผลการออกเสียงประชามติ ในประเด็นคำถามพ่วงร่างรธน. มาตรา 272 วรรคสอง ที่มุ่งหมายให้เป็นทางออก กรณีที่ไม่อาจแต่งตั้งนายกฯได้ จึงจำเป็นให้ส.ว. ร่วมเป็นผู้เสนอขอยกเว้นดังกล่าวไว้ด้วย ประกอบกับผลการออกเสียงประชามติ ในประเด็นคำถามพ่วง มีผลให้การได้มาซึ่งนายกฯ เปลี่ยนจากการยึดหลักการแบ่งแยกบทบาทหน้าที่ของแต่ละสภา ตามระบบสองสภา มาเป็นการแสดงบทบาทหน้าที่ร่วมกันของทั้งสองสภา ในฐานะเทียบเท่าการทำงานในระบบสภาเดียว ซึ่งจะทำหน้าที่เฉพาะในกระบวนการแต่งตั้งนายกฯ ภายในระยะเวลา 5 ปี นับแต่มีรัฐสภาชุดแรกเท่านั้น จึงมีผลทำให้ที่ประชุมร่วมรัฐสภาเป็นองค์กรที่มีบทบาทร่วมกัน ในกระบวนการได้มาซึ่งนายกฯ โดยการดำเนินการขั้นตอนต่างๆ ต้องกระทำในที่ประชุมร่วมรัฐสภา อย่างต่อเนื่อง ทั้งในขั้นตอนของการขอยกเว้นตามความใน มาตรา 272 วรรคสอง แต่ไม่ใช่เป็นการเสนอชื่อนายกฯ แต่เป็นขั้นตอนหลังจากการเสนอชื่อบุคคลผู้สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกฯ จากส.ว.แล้ว
ส่วนกำหนดเวลา และวันเริ่มนับเวลา ตามร่างรธน. มาตรา 272 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง ที่ศาลรธน. ให้มีการแก้ไขนั้น ในคำวินิจฉัยกลาง ระบุเหตุผลเพิ่มเติมไว้ว่า การเขียนบทบัญญัติลักษณะดังกล่าวของกรธ. อาจทำให้เกิดข้อขัดแย้งได้ ว่าหมายถึงรัฐสภาชุดใดแน่ อาจทำให้เข้าใจผิดว่าเริ่มนับเวลาของรัฐสภา จากการเริ่มจากความเป็นส.ส.เท่านั้น โดยไม่ได้ยึดโยงความเป็นรัฐสภา ดังนั้นในระหว่าง 5 ปีแรก นับแต่วันที่มีรัฐสภาชุดแรก ตามรธน.นี้ จึงหมายถึงวันที่มี ส.ส.และ ส.ว.ครบองค์กรประกอบที่จะเป็นรัฐสภาโดยสมบูรณ์ สามารถจะปฏิบัติหน้าที่ในฐานะรัฐสภาได้
ส่วนการที่กรธ. บัญญัติคำว่า “ในวาระเริ่มแรก”เมื่อมีการเลือก ส.ส.ตาม มาตรา 268 แล้ว อาจทำให้เข้าใจว่า หมายถึง การเลือกตั้งส.ส.ครั้งแรกเท่านั้น ที่ต้องทำภายใน 150 วัน นับแต่ ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรธน. ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มีผลใช้บังคับเท่านั้น โดยไม่สามารถนำการเสนอขอยกเว้นการเลือกนายกฯจากบัญชีพรรคการเมืองมาใช้ได้อีก หากเกิดกรณีนายกฯ ต้องพ้นจากตำแหน่ง ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดๆ แล้วต้องให้ความเห็นชอบแต่งตั้งบุคคลเป็นนายกฯใหม่ ในระหว่าง 5 ปีแรก ตามร่างรธน. มาตรา 272 วรรค 1
ดังนั้น เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของผลการออกเสียงประชามติ ในประเด็นคำถามพ่วงที่ประชาชนได้ให้ความเห็นชอบถึงร้อยละ 58.07 การกำหนดเวลา และวันเริ่มนับกำหนดเวลาตามร่างรธน. มาตรา 272 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง จึงถือเป็นสาระสำคัญของผลการออกเสียงประชามติ จึงจำเป็นต้องแก้ไขให้สอดคล้องกัน
กำลังโหลดความคิดเห็น