ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -นาทีนี้ดูเหมือนคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะมั่นอกมั่นใจเป็นพิเศษ นับตั้งแต่ร่างรัฐธรรมนูญผ่านการทำประชามติ เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม โดยเฉพาะภารกิจเก็บกวาดนักการเมืองขั้วตรงข้าม หลังก่อนหน้านี้ร่ำๆ อยู่ว่า คดีนักการเมืองจะทยอยออกมาเรื่อยๆ
แล้วก็ดังประกาศิต“บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. เพราะบรรดาคดีนักการเมืองต่างทยอยออกมากันพรึบพรับ แก๊งเพื่อไทยโดนสอยกันทีละคนสองคน ตั้งแต่หางแถวถึงหัวแถว ใครมีชนักปักหลัง ปิดเทอมยาวทางการเมืองกันไปหมดแล้ว
ไล่ตั้งแต่คนดังเมืองปากน้ำ ประชา ประสพดี อดีต ส.ส.สมุทรปราการ เบญจา หลุยเจริญ อดีต รมช.คลัง และยังมีพวกที่รอขึ้นเขียงสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ไม่ว่าจะเป็น “บิ๊กโอ๋”พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต อดีต รมว.กลาโหม กรณีแทรกแซงการแต่งตั้งปลัดกระทรวงกลาโหม สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร อุดมเดช รัตนเสถียร อดีต ส.ส.นนทบุรี และ อดีตประธานวิปรัฐบาล นริศร ทองธิราช อดีต ส.ส.สกลนคร กรณีสลับร่างรัฐธรรมนูญ ประเด็นที่มาส.ว. และเสียบบัตรลงคะแนนแทนกัน
โอกาสรอด ถ้าดูจากบรรทัดฐานพรรคพวกก่อนๆ หน้า บอกเลยมีน้อยมาก โอกาสที่จะปิดเทอมยาวตามกันไปมีสูงลิ่ว ดูแต่ละคดีที่เข้าไปในสนช. ถ้าขึ้นยี่ห้อเพื่อไทย ตายอย่างเขียดทุกคน สภาฝักถั่วยกมือท่วมท้นให้ถอดถอน เพื่อตัดสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี
หมดล็อตนี้ ดูท่าแล้วยังไม่น่าจะหยุด เพราะหันไปมองคดีความต่างๆ ของลูกหาบเพื่อไทยในองค์กรอิสระ แต่ละคนมีเรื่องที่ถูกร้องเรียนกันทั้งนั้น เอาที่ยกกระบิได้ถ้าคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูล หนีไม่พ้น คำร้องที่ให้เอาผิดคณะรัฐมนตรีของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทั้งคณะ กรณีมีมติเห็นชอบจ่ายเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมือง เมื่อปี 2553 โดยมิชอบ ที่บัดนี้อยู่ในชั้นอนุกรรมการไต่สวน ถ้าโดนขึ้นมาพวกเกรดเอ มีโอกาสรูดม่านเหมือนกัน
ก็มีตั้ง 35 ชีวิต ที่นั่งอยู่ในวันประชุมครม.วันนั้น ถ้ารอดก็รอดหมด ถ้าโดนก็โดนหมด แต่โอกาสรอดค่อนข้างเป็นไปได้ยาก เนื่องจากการที่“รัฐบาลบิ๊กตู่”มีมติจ่ายเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมือง เมื่อปี 2556 -2557 หรือการชุมนุม กปปส. ในตัวเลขที่น้อยกว่าหลายเท่า นั่นเป็นสัญญาณบ่งบอกแล้วว่า การไม่เดินตามทางเดียวกัน เป็นนัยบ่งบอกว่า การกระทำครั้งนั้นเป็นสิ่งที่ผิด
นอกจากนี้ ยังมีคดีอื่นๆ ที่สมาชิกพรรคถูกร้องเอาไว้ในชั้นป.ป.ช. เต็มไปหมด ถ้าคิดจะเอามาเร่งรัดไม่ใช่ปัญหา เพราะวันนี้หัวหน้าปราบโกงในป.ป.ช. อย่าง “บิ๊กกุ้ย”พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ไม่ใช่คนอื่นคนไกลของ คสช.เลย แถมยังซี้ย่ำปึ้กกับคนบ้าน “วงษ์สุวรรณ”ยิ่งกว่ากระไร ยักคิ้วหลิ่วตากันได้เสมอ
เชื่อหัวไอ้เรือง! นับตั้งแต่บัดนี้ไป คดีพรรคเพื่อไทย หรือคนที่เกี่ยวข้องกับระบอบทักษิณ จะทยอยถึงบทสรุปกันพร้อมๆ กันอีกเพียบ เพื่อเคลียร์ทางก่อนการเลือกตั้งจะมาถึง เพราะนี่คือ ภารกิจหลักอีกอย่างที่มีการเซ็ตลำดับกันไว้ โดยเฉพาะเมื่อวันนี้ภารกิจสำคัญอย่าง ประชามติร่างรัฐธรรมนูญ เสร็จสิ้นไปแล้ว
ไม่เว้นแม้แต่ “หัว”อย่างยิ่งลักษณ์ ที่ “บิ๊กตู่”ไม่ได้เกรงอกเกรงใจอะไรอีกแล้ว เดินหน้าตีงูให้ตาย หลังล่าสุดมีคำสั่งหัวหน้าคสช. ฉบับที่ 56/2559 เรื่องการคุ้มครองการบริหารจัดการผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรในการดูแลของรัฐ และการดำเนินการต่อผู้ต้องรับผิด ที่หลักใหญ่ใจความคือ การใช้มาตรา 44 ให้ “กรมบังคับคดี” เป็นผู้ยึดทรัพย์ ภายหลังมีคำสั่งปกครอง หรือคำพิพากษาของศาล
ซึ่งปกติแล้วเรื่องภายหลังคณะกรรมการพิจารณาความรับผิดทางแพ่งเจ้าหน้าที่มีคำสั่งยึดทรัพย์แล้ว หน้าที่ในการยึดทรัพย์ คือ กระทรวงผู้เสียหาย แต่ปรากฏว่า กระทรวงอิดออดอ้างว่า มูลค่าการเรียกค่าเสียหายครั้งนี้มีมหาศาล ไม่เคยปรากฏมาก่อน เกรงว่าจะทำไม่ได้ ที่สุดเลยต้องให้มืออาชีพอย่าง“กรมบังคับคดี”มารับผิดชอบแทน
นัยหนึ่งกรมบังคับคดี มีความเป็นมืออาชีพเรื่องนี้อยู่แล้ว เพราะเวลาสั่งให้กรมบังคับคดียึดทรัพย์ ก็จะเดินเครื่องทันที จึงไม่แปลกอะไรถ้าจะมอบหมายให้ทำ แต่อีกนัยหนึ่ง ถ้ามองดีๆ กรมดังกล่าวนี้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงยุติธรรม ที่มี “บิ๊กต๊อก”พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา เป็นเจ้ากระทรวง มันย่อมแสดงให้เห็นถึงสัญญาณอะไรบางอย่าง อย่าลืมว่า คดีที่ต้องใช้ความเด็ดขาดและความใจถึง ส่วนใหญ่เป็น “บิ๊กต๊อก”ที่รับหน้าเสื่อทั้งนั้น
โดยเฉพาะการถอดยศพันตำรวจโท ออกจากคำนำหน้าของทักษิณ ชินวัตร พี่ชายแท้ๆ ของยิ่งลักษณ์ ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ไม่มีน้ำยาพอ หรือกรณีการไล่บี้ “ธัมมชโย”เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ผู้ต้องหาคดีฉ้อโกง ล้วนแต่ผ่านมือ“บิ๊กต๊อก”ทั้งนั้น
ขณะที่คดีเรียกค่าเสียหายจากยิ่งลักษณ์ ถือเป็นคดีใหญ่ที่สุดคดีหนึ่ง เพราะมูลค่าตัวเลขความเสียหายสูงเป็นระดับหมื่นระดับแสนล้านบาท โดยตอนนี้แว่วๆ มาจากคณะกรรมการพิจารณาความรับผิดทางแพ่ง ที่มีอธิบดีกรมบัญชีกลางเป็นประธาน ว่า น่าจะอยู่ราวๆ หลักหมื่น ลำพังปล่อยให้ข้าราชการกระทรวงทำเอง ขนาดหัวใจไม่น่าจะถึงพอ เพราะกลัวถูกเช็กบิลย้อนหลัง
มันเลยต้องมาถึงมือ“บิ๊กต๊อก”น้องรัก “บิ๊กตู่” นั่นอาจหมายถึงว่า การออกคำสั่งครั้งนี้ เพื่อเป็นการปูทางรอ คำสั่งยัดทรัพย์ยิ่งลักษณ์ ที่กำลังจะออกมาจากคณะกรรมการพิจารณาความรับผิดทางแพ่ง เร็วๆ นี้ สอดคล้องกับสิ่งที่ "มนัส แจ่มเวหา" อธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะประธาน เคยออกมารับปากว่า จะทำให้เสร็จก่อนตนเองเกษียณอายุราชการ ในวันที่ 30 กันยายนนี้ด้วย
ด้าน “เนติบริกร”วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เองก็เคยพูดว่า ต้องทำให้เสร็จก่อนอธิบดีกรมบัญชีกลางจะเกษียณ เพื่อไม่ให้สะดุด เนื่องจากอาจเสียเวลาถ้าอธิบดีกรมบัญชีกลางคนใหม่มา ที่จะต้องใช้เวลาศึกษานาน เพราะไม่ได้จับมาตั้งแต่ต้น ขณะที่อายุความมีถึงแค่เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2560 เท่านั้น
ดังนั้น หลังจากนี้รอลุ้นได้เลย คำสั่งยึดทรัพย์ยิ่งลักษณ์ น่าจะใกล้คลอดเต็มที !
เสียงเรียกร้องที่ให้รอคดีอาญาในชั้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองก่อน ว่า ผิดหรือถูก จึงค่อยฟ้องแพ่งไม่น่าเป็นผล เพราะนี่คือ หมากกลของฝ่ายอำนาจในการล้มกระดานขั้วอำนาจเก่า ที่ต้องอำมหิตพอสมควร เพื่อให้ภารกิจมิสชั่น คอมพลีส !
โดยอาการงานนี้ยิ่งลักษณ์อย่างไรก็ต้องดิ้น โดยเฉพาะการที่ “บิ๊กตู่”ใช้อำนาจ มาตรา 44 ให้กรมบังคับคดีเป็นผู้ยึดทรัพย์ เพราะลำพังแค่ผ่านไปเพียง 1 วัน ยังมีการบิดคำว่า คสช.กำลังจะใช้ มาตรา 44 ยึดทรัพย์ยิ่งลักษณ์ โดยไม่รอศาล
การเมืองมันจะกลับมาคึกก็คราวนี้ !