xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ศึกในร้อนฉ่า คนนอกจ้องบอนไซ เซตซีโร่ กกต.ก็ไม่แปลก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -กลายเป็นองค์กรอิสระที่มีสีสันมากที่สุดก็ว่าได้ สำหรับ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่เพิ่งผ่านงานใหญ่เป็น “ออแกไนซ์” จัดการออกเสียงประชามติเมื่อเดือนก่อน ตามมาด้วยงานต่อเนื่องในการเสนอแนะการจัดทำ “กฎหมายลูก” 4 ฉบับที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งต่อ คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.)

งานก็ดูจะล้นมือ แต่ก็มีดราม่าแย่งชิงเก้าอี้ “ประธาน กกต.” ออกมาอีก แม้ล่าสุด วิษณุ เครืองาม รองนายกฯด้านกฎหมาย จะออกมาสงบศึกนิ่มๆด้วยการคอมเมนต์สั้นๆได้ใจความว่า ไทม์มิ่งยังไม่เหมาะที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรตอนนี้

เรื่องราวดราม่าภายใน “5 เสือ กกต.” ก็มาจากสำนวนคุ้นหูที่ว่า "สมบัติผลัดกันชม" ที่ ศุภชัย สมเจริญ ประธาน กกต. เคยให้ "สัญญาใจ" ไว้กับบรรดา กกต.บางคนว่า จะรับตำแหน่งเพียงแค่ 2 ปีเท่านั้น แล้วจะสลับสับเปลี่ยนให้คนอื่นได้ขึ้นมาทำหน้าที่บ้าง

เป็น “สัญญาใจ” ที่ให้กันไว้ เมื่อครั้งที่ได้รับการสรรหาเมื่อช่วงปลายปี 2556 ก่อนที่ที่ประชุมจะมีมติเอกฉันท์โดยไม่มีการโหวต เสนอให้ “ศุภชัย” เป็นประธาน โดยมีกระแสข่าวก่อนการลงมติได้มีข้อตกลงอย่างไม่เป็นทางการระหว่าง “ศุภชัย” กับ ประวิช รัตนเพียร กกต.ฝ่ายการมีส่วนร่วม และ สมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.ฝ่ายบริหารจัดการเลือกตั้ง ว่าจะมีการสลับการทำหน้าที่ประธานเมื่อครบ 2 ปี ส่วน บุญส่ง น้อยโสภณ กกต.ฝ่ายสืบสวนสอบสวน และ ธีรวัฒน์ ธีรโรจน์วิทย์ กกต.ฝ่ายพรรคการเมือง ไม่มีชื่ออยู่ในกระแสข่าวที่ว่า

จนเมื่อปลายปี 2558 ที่ผ่านมา ก็ได้มี “กกต.บางคน” ทวงถาม “สัญญาใจ” ที่ให้กันไว้ ซึ่งตัว “ศุภชัย” เองก็แสดงความพร้อมที่จะสลับให้ผปู้อื่นมาทำหน้าที่แทน เพียงแต่ติด “ข้อกังวล” ที่ว่าพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2556 นั้นแต่งตั้งให้ “ศุภชัย” เป็นประธาน กกต. หากลาออกจากตำแหน่งก็อาจจะส่งผลให้ขาดจากการเป็น กกต. ไปเลย

โดย “ข้อกังวล” ที่ว่าก็ไม่ได้รับการคลี่คลาย และ “ศุภชัย” ก็ยังทำหน้าที่ประธานมาตลอด จน กกต.ที่ว่างงานมานาน ได้รับ “งานใหญ่” จาก คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในการจัดการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2559 ประเด็นการทวงถามเก้าอี้ประธาน กกต.จึงเงียบหายไปพอสมควร ยังไม่การรุกไล่กดดันหนักมากแต่ประการใด เนื่องจากหลายคนติดพันอยู่กับการจัดการประชามติ โดยเฉพาะ “กกต.สมชัย” ที่มีแอคชั่นออกมาอย่างต่อเนื่องไม่เว้นแต่วัน

แต่หลังจากปิดจ๊อบเก็บงานประชามติเป็นที่เรียบร้อย ก็มี “กกต.ละอ่อน” ปัดฝุ่นเรื่อง “สัญญาใจ” ขึ้นมาใหม่ โดยคราวนี้มีการทำการบ้านหักล้าง “ข้อกังวล” ของ “ศุภชัย” โดยการยกกรณีของ ชัช ชลวร ที่ลาออกจากตำแหน่งประธานศาลรัฐธรรมนูญ แต่ก็ยังทำหน้าที่ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มาจนถึงทุกวันนี้ขึ้นมา

ขบวนการแซะเก้าอี้ โดย “กกต. ละอ่อน” มีอย่างต่อเนื่องในทุกนัดที่มีการประชุม กกต. หลักข้อที่สุดคงเป็นการประชุมเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2559 ซึ่งมีวาระการพิจารณาเกี่ยวกับการแต่งตั้งโยกย้ายพนักงาน กกต.หลายตำแหน่ง ซึ่งตามปกติต้องมีการประชุมกันอย่างละเอียด ใช้เวลาประชุมกันเป็นวันๆ แต่วันนั้นซึ่งเป็นการ “ประชุมลับ” กลับใช้เวลาไม่นาน กกต.ทั้ง 5 คนก็ทยอยออกจากที่ประชุมอย่างไม่ทราบสาเหตุ

ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า เกิดเหตุการณ์ทำให้ “วงแตก” จนการประชุมล่ม

และก็เป็นไปตามคาดเมื่อมีการเปิดเผยว่า ก่อนเข้าสู่วาระการประชุมตามปกติ ได้มี “กกต.คนหนึ่ง” เสนอวาระการพิจารณาเปลี่ยนตัวประธาน กกต. ซึ่ง “ศุภชัย” ก็พยายามชี้แจงว่า ที่ผ่านมาไม่ได้หลงลืม “สัญญาใจ” เพราะไม่ได้ยึดติดกับตำแหน่ง แต่เนื่องจากทุกคนติดภารกิจประชามติที่เพิ่งผ่านพ้นไป รวมทั้งยังไม่ชัดเจนว่า หากลาออกจากตำแหน่งประธาน กกต.แล้วจะทำให้ต้องพ้นจากตำแหน่ง กกต. ไปด้วยหรือไม่

ที่สำคัญ ไม่นานมานี้ได้มี คำสั่ง คสช.ที่ 40/2559 ที่ให้งดการสรรหากรรมการองค์กรอิสระทั้งหมด จากกรณีความขัดแย้งในกระบวนการสรรหาผู้ตรวจการแผ่นดินคนใหม่ออกมา

เมื่อประธานชี้แจงเช่นนั้น “ฝ่ายแซะ” ก็ไม่จบ ได้ยกกรณีของประธานศาลรัฐธรรมนูญขึ้นมาหักล้าง พร้อมไล่บี้ให้ “ศุภชัย” ยอมสละเก้าอี้ จนทำให้ กกต.ที่ไม่ได้อยู่ในวง “สัญญาใจ” ไม่พอใจที่มีการใช้วงประชุมในการกดดันประธาน เป็นเหตุให้เกิดการโต้เถียงและ “วงแตก” ในที่สุด

พอมาถึงการประชุมเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2559 กกต.รายเดิมก็ไม่จบ เสนอให้ประชุมวาระการเปลี่ยนตัวประธานต่อจากการประชุมครั้งที่แล้ว ทั้งที่ยังไม่เข้าสู่โหมดการประชุมลับ พนักงานเจ้าหน้าที่ กกต.ยังนั่งกันหน้าสลอน ทีนี้ก็เป็นเรื่องเพราะถือเป็นครั้งแรกที่เรื่องนี้ถูกหยิบขึ้นพูดต่อหน้าคนอื่นที่ไม่ใช้ “5 เสือ กกต.” ทำเอาบรรยากาศในห้องประชุมร้อนฉ่า

โต้เถียงกันหนัก ขุดผลงานของแต่ละคนมาโจมตีกันเสียๆ หายๆ ทั้งความบกพร่องของการจัดการประชามติ หรือพฤติกรรมของ กกต.บางคนที่ชื่นชอบการเดินทางไปดูงานเมืองนอก ทั้งที่มี คสช.กำชับให้ระมัดระวัง

ด่ากันเสียหายว่า “ทำงานห่วย” จนไปถึง “ไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่” หนักข้อถึงขนาด “กกต.ละอ่อน” ประกาศลั่นห้องประชุมว่า ไม่สบายใจที่จะทำงานกับประธาน กกต.คนนี้

ท้ายที่ประชุม กกต.มีมติสั่งการให้ทางสำนักงาน กกต. สอบถามไปยัง คสช.ว่า หากมีการเปลี่ยนแปลงตัวประธาน กกต.จะขัดคำสั่ง คสช.หรือไม่

หลังจากนั้นไม่นานก็มีรายงานข่าวว่า ก่อนการประชุมเมื่อวันที่ 2 กันยายน กกต.ฝ่ายที่ต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งประธาน 3 ราย ได้นัดหารือกันที่ห้อง “กกต. ใกล้เกษียณ” ก่อนเข้าห้องประชุม พนักงานจึงซุบซิบกันกระหึ่มว่า ที่ “กกต. ละอ่อน” ลุกขึ้นเสนอวาระเปลี่ยนประธาน ทั้งที่ยังมีผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานอยู่เต็มห้อง เป็นความตั้งใจ “ตีรวน” เจตนาที่ต้องการให้เป็นข่าวใหญ่

ฝ่ายที่ถูกรุกไล่อย่าง “ศุภชัย” เองก็ใช่ว่าจะยอมถูกกระทำฝ่ายเดียว มีการเปรยๆกับคนใกล้ชิดว่า พร้อมจะไขก๊อกลาออกจากตำแหน่ง กกต.ไปเลย แง่หนึ่งเพื่อรักษาภาพลักษณ์ของ กกต.ที่มีความขัดแย้งในเรื่องการแย่งชิงตำแหน่ง ขณะที่อีกแง่หนึ่งก็ต้องการแก้เผ็ด “ฝ่ายแซะ” เพราะมองว่า หากผู้เป็นประธาน กกต.ลาออกไป ก็จะเป็นหัวเชื้อเปิดทางให้ คสช.ตัดสินใจอะไรบางอย่าง

ทำเอากระแส “เซตซีโร่ กกต.” กระหึ่มขึ้นมาในทันที

โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาดูแล้วห้วงเวลานี้ ไม่มีภารกิจสำคัญใดๆที่ต้องพึ่งพา กกต. ทั้งการจัดการออกเสียงประชามติที่เสร็จเรียบร้อยไปแล้ว หรือการจัดทำกฎหมายลูกที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง 4 ฉบับ ก็เป็นเรื่องของ กรธ. และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เท่านั้น กกต.มีสิทธิเพียงการเสนอความเห็น ซึ่งก็ใกล้ครบกำหนดแล้ว

พูดง่ายคือไม่ต้องมี กกต. ก็ได้ หรือหากมีภารกิจสอดแทรกเข้ามา สำนักงาน กกต.เองก็ยังทำหน้าที่ได้ตามปกติ เพียงแค่ไม่มี 5 กกต.เท่านั้น ประกอบกับความไม่พอใจผลงาน กกต.ของ “บิ๊ก คสช.” เป็นทุนเดิม จากศึกประชามติที่มีผู้ออกมาใช้สิทธิ์น้อยหว่าที่คาดกการณ์ไว้ อีกทั้งยังต้องใช้แรงของกระทรวงมหาดไทย กับทหารเข้ามาในช่วงโค้งสุดท้าย แต่ก็ได้จำนวนผู้ใช้สิทธิ์ไม่ถึงร้อยละ 60 ด้วยซ้ำ แล้วก็ยังมีเรื่องการทำงานที่ “ออฟไซด์” อีกหลายเรื่อง

ที่สำคัญในร่างรัฐธรรมนูญที่ผ่านการลงประชามติไปนั้น ได้กำหนดให้มี กกต.เพิ่มอีก 2 คน เป็น 7 คน การจะ “ล้างกระดาน” สรรหากันใหม่ทั้งหมด ก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่มีการพูดคุยกันอยู่แล้ว และหากเลือกทางนี้การใช้มาตรา 44 เพื่อโละ กกต.ชุดปัจจุบันก็เป็นทางออกที่ง่ายที่สุด แถมเอื้อต่อการจัดการเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญใหม่เสียด้วย

ทำไปทำมาการก่อดราม่า ขัดแข้งขัดขากันเอง กลับเปิดประตูให้ กกต.ตกงานกันยกก๊วน

สำทับด้วยข้อเสนอของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ขับเคลื่อนการปฏิรูปด้านการเมือง สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ที่มี “ลูกกรอก คสช.” อย่าง เสรี สุวรรณภานนท์ เป็นประธาน และ วันชัย สอนศิริ เป็นโฆษก กมธ. “จุดพลุ” เสนอให้ กระทรวงมหาดไทย เข้ามาจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่น และการออกเสียงประชามติ แทน กกต. ที่มีหน้าที่ควบคุมดูแลเท่านั้น รวมทั้งให้ยุบ กกต. จังหวัดทั้งหมด ซึ่งทำให้ กกต.ต้องใช้กลไกของกระทรวงมหาดไทยในการจัดเลือกตั้ง

พูดง่ายๆ คือ การบอนไซลดอำนาจ กกต. นั่นเอง

ยิ่งเมื่อความเห็นของ “บิ๊ก คสช.” ดูจะไม่ชี้ชัดฟันธง โดยรายของ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ก็แบ่งรับแบ่งสู้ โดยให้รอดูกฎหมายลูกที่จะออกมาก่อน ส่วน มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ.ผู้รับผิดชอบการจัดทำกฎหมายลูก ก็เลคเชอร์วิชากฎหมายให้ฟังว่า ในรัฐธรรมนูญฉบับที่ผ่านๆมากำหนดให้ กกต. สามารถมอบหมายหน่วยงานให้ช่วยดำเนินการจัดการเลือกตั้งได้ แต่ที่ผ่านมา กกต. เลือกที่จะทำด้วยตนเอง ทำให้เกิดปัญหาและ กกต.เสียรังวัดมาหลายครั้งแล้ว

แต่ที่ทำให้ กกต.ขวัญกระเจิงที่สุดคงเป็นท่อนที่ “ปู่มีชัย” เปรยๆว่า ให้คนไปศึกษาการจัดการเลือกตั้งของประเทศอินเดีย ที่มีประชากรพันกว่าล้านคน แต่มี กกต.แค่คนเดียว ราวกับว่า จริงๆ ก็ไม่ต้องมี กกต. เลยก็เป็นได้

ทั้งศึกในที่ กกต .ก่อขึ้นเอง ศึกนอกที่มีการตั้งคำถามถึงการทำหน้าที่ของ กกต. รวมทั้งความเห็นของผู้ที่มีสิทธิ์ชี้ชะตา กกต. แล้ว ยิ่งทำให้ไอเดียเรื่อง “เซตซีโร่ กกต.” มีน้ำหนักมากขึ้น

แม้ว่า “รองฯวิษณุ” มือกฎหมาย คสช.จะออกโรง “หย่าศึก” โดยพูดในทำนองว่า การเปลี่ยนแปลงภายใน กกต.ช่วงนี้อาจจะยังไม่เหมาะสม ต้องดูว่ามีความจำเป็นหรือไม่ แต่เมื่อถอดรหัสแล้วก็ตีความได้ว่า การเปลี่ยนแปลงสามารถทำได้ในช่วงเวลาที่เหมาะสม

สัญญาณจากคนสำคัญในองคาพยพ คสชงนี้เอง ทำให้ 3 กกต.ที่เคย “หน้ามืด” ไล่ทวงเก้าอี้จาก “ประธานศุภชัย” เริ่มมีสติ โดยได้นัดหารือกันนอกรอบ ก่อนจะมีคำสั่งเบรกไม่ให้สำนักงาน กกต.ทำหนังสือสอบถามไปยัง คสช.ตามที่เคยมีมติในการประชุมเมื่อวันที่ 2 กันยายน

ตามมาด้วย “กกต.สมชัย” ที่ออกมาให้ข่าวว่า ไร้ความขัดแย้งภายใน กกต. แถมด้วยกันแถว่า เป็นเพียงการหารือภายใน กกต.ที่อาจจะมีการปรับเปลี่ยนทุกตำแหน่ง ไม่ใช่เฉพาะตำแหน่งประธาน กกต. เท่านั้น เพื่อให้แต่ละคนได้เรียนรู้งานเท่าๆ กัน

ถือเป็นการสงบศึกภายใน แต่คงแค่ชั่วคราวเท่านั้น เมื่อฟ้าฝนเป็นใจ เรื่อง “สัญญาใจ” ก็คงมีการทวงถามกันอีก แต่กว่าจะถึงวันนั้น “5 เสือ กกต.” อาจโดนตะบองยักษ์มาตรา 44 โละยกแผง กลับไปเลี้ยงหลานอยู่บ้านแล้วก็เป็นได้.


กำลังโหลดความคิดเห็น