“หนึ่งความคิด”
โดย “สุรวิชช์ วีรวรรณ”
ถึงตอนนี้ค่อนข้างจะแน่นอนแล้วว่า ถ้า ส.ส.2พรรคใหญ่เพื่อไทยและปชป.ไม่จับมือกันตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้งเสียเอง ก็ยากที่จะต้านพรรค ส.ว.ที่มี250 เสียงโดยไม่ต้องลงเลือกตั้งได้ ดังนั้นเขาคาดการณ์กันแล้วว่า
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปหลังการเลือกตั้ง และถึงตอนนี้เจ้าตัวก็ไม่เคอะเขินอีกต่อไปที่จะนั่งเก้าอี้ดังกล่าว
พล.อ.ประยุทธ์นั้นเป็นนายกรัฐมนตรีมาแล้วตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2557 กว่าจะถึงเลือกตั้งใหม่ก็น่าจะเป็นต้นปี 61 ถึงวันนั้นก็เกือบๆ จะ 4 ปีเต็ม ถ้าเป็นนายกรัฐมนตรีหลังการเลือกตั้งไปอีก 4 ปี ก็จะอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเกือบๆ จะ 8 ปีพอกับยุคสมัยของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เลยทีเดียว แถมถ้าอยู่ครบเทอมสมัยต่อไปแม้รัฐธรรมนูญจะไม่อนุญาตให้คนนอกเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว แต่ ส.ว.ยังมีอำนาจที่จะเลือกตัวนายกฯอยู่ วันนั้น พล.อ.ประยุทธ์อายุ 67-68 ปี ก็อาจลงไปอยู่ในการเสนอรายชื่อของพรรคไหนก็ได้ถ้าหากประชาชนยังมีความนิยมอยู่ แต่ถ้าไม่นายกฯ คนถัดไปก็ต้องเป็นคนที่ถูกวางตัวไว้นั่นแหละ
นั่นแปลว่าปิดเทอมนักการเมืองยาวไปจนถึงปี 2568 หรือ 2569
พรรคประชาธิปัตย์ไม่น่าจะมีปัญหาเพราะอยู่มาจนเป็นสถาบันการเมืองแล้ว อย่างเก่งก็ผลัดใบไปสู่คนรุ่นต่อไป แต่ถามว่าพรรคที่นายทุนก่อตั้งเพื่อหวังผลตอบแทนทางธุรกิจแบบพรรคเพื่อไทยจะยังอยู่ไหม และทักษิณจะลงทุนต่อไปไหม
ทักษิณนั้นประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจผูกขาดโทรศัพท์มือถือและสัมปทานดาวเทียมมาก่อน เมื่อรวยแล้วก็เอาเงินมาตั้งพรรคการเมืองซื้อตัว ส.ส. ซื้อหัวคะแนน และซื้อพรรคการเมืองเข้ามาควบรวม แม้จะใช้เงินมากแต่ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เชื่อไหมครับว่า วารสารการเงินธนาคารซึ่งร่วมกับอาจารย์ประจำคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเคยระบุในปี 2544 ที่ทักษิณเข้าสู่การเมืองนั้นตระกูลชินวัตรมีมูลค่าหุ้นรวม 12,768.20 ล้านบาท แต่ปี 2547 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของรัฐบาลทักษิณสมัยแรก ตระกูลชินวัตรมีมูลค่าหุ้นถึง 31,543.75 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2546 กว่า 70 % และเพิ่มขึ้นจากปี 2544 ปีแรกของรัฐบาลทักษิณถึง 147 %
แต่เราจะมองมูลค่าหุ้นที่เพิ่มขึ้นของตระกูลชินวัตรอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมองไปที่ตระกูลดามาพงศ์ด้วย เพราะเป็นกลุ่มที่ตระกูลที่ถือหุ้นโยงกันไปมา ตระกูลดามาพงศ์ นามสกุลเดิมของคุณหญิงพจมาน มีมูลค่าหุ้นในปี 2544 จำนวน 6,470 ล้านบาท แต่ปี 2547 มีมูลค่าหุ้นถึง 15,267.24 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 135 % นั่นคือ เพิ่มขึ้นเกือบๆ 3 เท่าเช่นเดียวกัน
เมื่อรวม 2 ตระกูลเข้าด้วยกัน ปี 2544 มีมูลค่าหุ้น 19,239.08 ล้านบาท แต่ปี 2547 มีมูลค่าหุ้นรวมกันถึง 46,810.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 143 %
ตัวเลขจำนวน 46,810.99 ล้านบาท เป็นมูลค่าหุ้นของตระกูลชินวัตรกับเครือญาติเท่านั้น ยังไม่ได้รวมทรัพย์สินอื่นๆ รวมถึงเงินสดที่ฝากไว้ในธนาคาร เห็นได้ชัดว่าตระกูลชินวัตรและเครือญาติร่ำรวยขึ้นมาอย่างมหาศาลเมื่อเข้าสู่ การเมือง
แต่ความร่ำรวยที่เพิ่มขึ้นของทักษิณและเครือญาตินั้นถูกพิสูจน์แล้วด้วย คำ พิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมืองว่าเป็นการร่ำรวยมาจากการ ใช้อำนาจโดยมิชอบและมีผลประโยชน์ทับซ้อน โดยเมื่อวันที่ 26 ก.พ. 2553 ศาลได้มีคำตัดสินให้ยึดทรัพย์เป็นของแผ่นดินจำนวนถึง 46,373 กว่าล้านบาท ทั้งนี้ ศาลฎีกาได้มีมติเสียงข้างมาก จากการดำเนินการของทักษิณ ซึ่งเป็นการใช้อำนาจในฐานะนายกรัฐมนตรีทั้ง 2 สมัย โดยมิชอบ เพื่อเอื้อประโยชน์ธุรกิจครอบครัว รวม 5 กรณี คือ 1. ทักษิณใช้อำนาจเอื้อประโยชน์ให้บริษัท เอไอเอส หลังแปลงสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิต ทำให้รัฐเสียหายกว่า 6 หมื่นล้านบาท 2.ใช้อำนาจเอื้อประโยชน์ให้บริษัท เอไอเอส หลังปรับลดส่วนแบ่งค่าสัมปทานโทรศัพท์ระบบเติมเงิน หรือพรีเพด 3.ได้รับประโยชน์จากการแก้สัญญาให้รัฐร่วมรับผิดชอบค่าใช้เครือข่ายร่วมกับเอไอเอส ทำให้ ทศท และ กสท ได้รับความเสียหาย 4.การสนับสนุนธุรกิจดาวเทียมไอพีสตาร์เอื้อประโยชน์บริษัทชินคอร์ปและไทยคม และ 5. สั่งให้เอ็กซิมแบงก์อนุมัติเงินกู้ให้พม่า 4,000 ล้านบาท เอื้อประโยชน์บริษัทไทยคม และชินคอร์ป
ยังไม่รู้ว่า ผลประโยชน์ที่กอบโกยไปโดยมิชอบในระหว่างอยู่ในอำนาจนั้นหลุดรอดเงื้อมมือของกฎหมายไปอีกเท่าไหร่
หมอเลี๊ยบ น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ที่เพิ่งติดคุกก็เพราะมีส่วนมาจากร่วมประพฤติมิชอบในการเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจของทักษิณเช่นเดียวกัน พูดถึงหมอเลี๊ยบก็ขำพวกเสื้อแดงพยายามรำพันว่าหมอเลี๊ยบทำประโยชน์ให้ประชาชนอย่างนั้นอย่างนี้เป็นคนผลักดัน 30 บาทรักษาทุกโรคทำไมต้องมาติดคุก โลกช่างไม่ยุติธรรม ซึ่งมันคล้ายกับบอกว่าถ้าเราใส่บาตรพระทุกวันเรามีสิทธิ์ทำชั่วได้ไม่ต้องรับผลกรรมที่ทำ
แม้จะยึดทรัพย์เฉพาะในส่วนที่พิสูจน์ได้ว่ามาจากการประพฤติมิชอบไปแล้วกว่า4หมื่นล้านบาท แต่ทักษิณก็ยังมีเงินอีกมาก และถึงทักษิณจะหนีคุกไปอยู่ต่างประเทศเขาในฐานะนักลงทุนเขาก็ยังคงเห็นว่า การเมืองยังคุ้มค่าต่อการลงทุน เขาจึงยังสนับสนุนพรรคของเขาต่อไปไม่ว่าจะเป็นพรรคพลังประชาชนและพรรคเพื่อไทยในปัจจุบัน ทำให้เขามีตัวแทนเป็นนายกรัฐมนตรีมาแล้ว 3 คนคือนายสมัคร สุนทรเวช นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว ที่มีบางเสียงโจษจันกันว่า แท้ที่จริงแล้วเธอเป็นลูกสาวของทักษิณ
หลังจากนายสมัครแล้ว ทักษิณคงเห็นว่าแล้วว่า การคอนโทรลคนนอกขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีนั้นควบคุมยาก ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้ดังใจ หลังจากนั้นเขาจึงส่งพี่เขยและน้องสาวมาเป็นนายกฯ สองคนนี้จึงทำอะไรได้ดังใจแม้ว่าจะต้องสุ่มเสี่ยงจนทำให้ทั้งสองคนมีโอกาสมาที่จะถูกตัดสินให้ติดคุกเช่นเดียวกับทักษิณ
ในขณะที่ทักษิณนั้นหมดโอกาสจะกลับมาอยู่บนแผ่นดินไทยแล้ว แม้คดีที่หนีไปใกล้จะหมดอายุความ แต่ยังมีคดีอื่นที่รออยู่อีกหลายคดี จึงเกิดคำถามว่า ถ้าทักษิณยังเป็นเจ้าของพรรคการเมืองอยู่เขาจะเครือญาติคนไหนขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีก หลายคนบอกว่าเราอาจเห็นนายพานทองแท้ซึ่งเคยพกโพยเข้าห้องสอบจนถูกจับได้มาเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งก็มีโอกาสเป็นไปได้เพราะขนาดคนที่ไม่ประสีประสาอย่างยิ่งลักษณ์ก็เคยเป็นนายกฯมาแล้ว
ขณะเดียวกันฝ่ายเชียร์ทักษิณที่เรียกตัวเองว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตยไม่รู้เหมือนกันว่าฉุกคิดหรือไม่ว่า นี่คือการวางตัวแบบสืบทอดอำนาจของตระกูลชินวัตรนั่นเอง คือเขาให้คุณออกไปใช้สิทธิ์ในระบอบประชาธิปไตย แต่เขากำหนดทายาททางการเมืองแบบสืบสายพันธุ์ไว้แล้ว
แต่คำถามที่ใหญ่กว่าก็คือ ทักษิณเป็นนักลงทุน หากพรรคของทักษิณไม่มีโอกาสเป็นรัฐบาลไปอีกอย่างน้อย 8 ปีหรือเกือบ 10 ปีนับจากตอนนี้ที่ยังไม่เลือกตั้ง ในฐานะนักธุรกิจการเมืองเขาจะยอมลงทุนทางการเมืองอีกไหม เพราะเห็นชัดแล้วว่า อย่างน้อยนับจากนี้ไปอีกเกือบ 10 ปีจะเป็นการลงทุนที่สูญเปล่า ทั้งต้นทุนคงที่ที่ต้องจ่ายอยู่แล้วสำหรับเจ้าหน้าที่ในพรรค นักการเมือง หัวคะแนนเพื่อรักษาสายสัมพันธ์ และต้นทุนที่เป็นตัวแปรอีกไม่รู้เท่าไหร่
เมื่อเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่าในทางธุรกิจแล้ว เชื่อหรือว่าทักษิณจะจ่ายเงินสนับสนุนพรรคการเมืองพรรคนี้ต่อไป เพราะปรัชญาของนักลงทุนนั้นอยู่ที่ว่าจะทำอย่างไรให้มีผลตอบแทนจากการลงทุนที่เพิ่มสูงขึ้น เพื่อให้เกิดประโยชน์และมีผลตอบแทนกลับคืนมา แล้ว 10 ปีจากนี้จะเป็นการจ่ายออกไปอย่างเดียวโดยไม่มีผลตอบแทนกลับคืนมาเลย
แถมทักษิณน่าจะรู้ดีว่าถ้าสู้ไปแล้วไม่ได้อำนาจทางการเมืองก็อาจจะสุ่มเสี่ยงที่จะทำธุรกิจอยู่ในประเทศนี้ เพราะคนแวดล้อมที่เกาะกินอยู่รอบๆ ตัวของทักษิณนั้นไม่น้อยมีเป้าหมายที่จะให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในประเทศนี้แบบพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน
ดังนั้น ผมเลยเชื่อว่าอย่างเก่งทักษิณก็น่าจะสู้ครั้งนี้อีกครั้ง เพราะยังพอมีปัจจัยที่ลงทุนไปแล้วเหลืออยู่ แต่ถ้าจะให้จ่ายยาวไปอีก 10 ปีโดยไม่ได้อะไรกลับคืนมานักลงทุนแบบทักษิณไม่น่าจะเอาแล้วเพราะมันไม่คุ้มค่าที่จะลงทุนอีกต่อไป