ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -จบไปเสียทีกับปฏิบัติการวัดกำลังภายในกระบวนท่าปรับคำถามพ่วงที่ผ่านประชามติ ใส่บทเฉพาะกาลให้ลงล็อก
เป็นการ ถอดรหัสบทบัญญัติ ที่เกี่ยวกับการเลือกนายกรัฐมนตรี ซึ่งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในฐานะเจ้าของคำถามพ่วง พยายามชงข้อเสนอต่อ กรธ. หวังสถาปนายกขบวนแห่ สมาชิกวุฒิสภาลากตั้ง 250 นาย มานั่งเป็นพระอันดับ ร่วมโหวต และชงชื่อบุคคลที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรี แข่งกับส.ส.ได้
ยังดีที่ กรธ.เสียงแข็งไม่บ้าจี้ ยัดไส้ตามพวกพลพรรคได้คืบจะเอาศอก เพราะตอนยื่นคำถามพ่วงไปให้ประชาชนนั้น ถามแค่ว่า จะให้ส.ว.ลากตั้งร่วมโหวตคนจะมาเป็นนายกฯในระยะเปลี่ยนผ่าน 5 ปีหรือไม่เท่านั้น โดยไม่มีลายลักษณ์อักษรใดถามมาเลยว่า จะให้ส.ว.เสนอหน้าชงชื่อนายกฯ แข่งกับส.ส.
ไม่อย่างนั้นกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ชุด“ซือแป๋มีชัย”คงถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ชาติให้ลูกหลานจดจำไป 7 ชั่วโคตร ในฐานะหูเบา เชื่อพวกหัวหมอ เปิดก๊อกกรุยทางร่างรัฐธรรมนูญให้คนนอกที่ไม่ใช่ส.ส. มานั่งแท่นเป็นนายกฯ
ต้องชม กรธ.ที่ยืนกระต่ายขาเดียว ยันหลักการว่า ต่อจากนี้ไม่ว่าจะคนในหรือคนนอกในระยะเปลี่ยนผ่าน 5 ปีแรก การเลือกบุคคลที่จะมาเป็นนายกฯ ต้องเป็นส.ส.เป็นผู้เสนอชื่อเท่านั้น ส.ว.ไม่มีสิทธิเสนอหน้า ทำได้แค่ร่วมโหวตเห็นชอบ หรือไม่เห็นชอบบุคคลเท่านั้น จบป่ะ
ต่อไปนี้ถ้ามีชาวบ้านตะโกนแซวว่า สนช.กินแห้ว คงไม่ผิด !
ไทม์ไลน์จากนี้ แค่รอลุ้นว่าศาลรัฐธรรมนูญจะชี้ขาดอย่างไร หวังว่าการบ้านคงถูกใจคุณครู ไม่มีพลิกล็อกคอหัก
แต่ที่ยังไม่จบ ฝุ่นตลบแน่ คือการจัดกระบวนทัพของฝ่ายการเมืองเพื่อรับโรดแมป เลือกตั้งในปี 60 หรือต้นปี 61 ที่ “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้าคสช.ย้ำนักย้ำหนา
แม้ฉากหน้ายังไม่ถึงเวลา แต่หลังม่านตอนนี้เริ่มเติมคิ้วทาปากกันแล้ว โดยเฉพาะสองพรรคใหญ่
วันนี้ขออนุญาตโฟกัสเน้นๆ ในท้องเรื่อง ความแข็งแรงของเก้าอี้หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ !
หลังจากเสียรังวัดไปจมกระเบื้อง อดีตนายกฯ สุดหล่อพ่อรวยอย่าง“เดอะมาร์ค”อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ตะโกน“เซย์โน”ค้านร่างรัฐธรรมนูญเหยงๆ ก่อนการทำประชามติไม่กี่อึดใจ
แต่ปรากฏ 7 ส.ค. ประชาชนโหวตให้ร่างรัฐธรรมนูญ และคำถามพ่วงหน้าหักมุม ตามหน้าเสื่อต้องบอกว่า หน้าแหก หมอเกาหลียังไม่รับทำศัลยกรรม
ควันหลง แฟนคลับจึงจัดหนักหัวหน้ามาร์คจมเขี้ยว โดยเฉพาะในพื้นที่ฐานเสียงหลักปักป้ายจองมานาน อย่างในกทม. หรือภาคใต้ บางรายถึงขั้นบ่นน้อยใจตัดพ้อว่า“สงสัยอภิสิทธิ์กลายเป็นขี้ข้าทักษิณไปเสียแล้ว”ดันไปประกาศจุดยืนเดียวกันกับขี้ข้าทักษิณ และแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่ตะโกนโหวกเหวกไม่ร่วมเผาผีกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้เช่นกัน
แต่ช็อตนี้ขอบอก ต้องเห็นใจอดีตนายกฯ หน้าหล่อจริงๆ
ผู้ใหญ่ของพรรคก็ต้องฟัง ในขณะที่“กำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ”ที่ประกาศยกหางร่างรัฐธรรมนูญ ในฐานะแกนนำมวลมหาประชาชนแบบสุดลิ่ม ก็ต้องไว้หน้า เกรงอกเกรงใจ
แม้ว่าวงใน จะกระซิบกันว่า เหตุผลที่“เดอะมาร์ค”ต้องทิ้งทวนขัดใจแฟนคลับนั้น นอกจากเดินตามหลังผู้ใหญ่ ที่เห็นว่าควรประกาศจุดยืนพรรคเก่าแก่ต้องเลือกยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ ในระบบประชาธิปไตย สวนทางกับร่างรัฐธรรมนูญที่ทำให้ประชาธิปไตยถอยหลังแล้ว
อีกเหตุผลสำคัญหลัก จากอีกฟากหนึ่งได้ยินในทำนองว่า ประชาธิปัตย์ต้องการไม่รับร่าง เพื่อหวังยืดเวลาให้“บิ๊กตู่”อยู่ต่อ เพื่อหวังขจัดระบอบทักษิณให้สิ้นซากจากแผ่นดินไทย
จริงหรือไม่ ใครจะรู้ แต่เรื่องแบบนี้ ใครจะกล้าพูดออกสื่อ หรือหยิบมากางหรากันบนโต๊ะ
บอกแล้ว“เดอะมาร์ค”โคตรน่าเห็นใจ จะพูดก็พูดไม่ได้ กลืนไม่เข้า คายไม่ออก ยอมถูกด่าเปิง ในฐานะแม่ทัพนำพ่ายศึก (อีกแล้ว)
ออกแนวอยากหล่อ พี่ขอยอมเจ็บ
แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ผลประชามติทำให้เก้าอี้หัวหน้าของ“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”ไม่มั่นคงอีกต่อไป
ไม่ต้องพูดถึงความช้ำชอกในอดีต ที่นำทัพเมื่อไหร่ก็แพ้ แค่พูดถึงการแพ้ประชามติ ถูกผลักไปอยู่พวกเดียวกับฝ่ายผู้แพ้เช่นเดียวกับเพื่อไทย และ นปช.ครั้งนี้ “อภิสิทธิ”เองก็กระอักกระอ่วนแล้ว
แตกต่างจากฟากเครือข่ายมวลมหาฯ ที่ “ลุงกำนัน”โก่งคอเป่านกหวีดทุกวัน ได้ใจทั้งทหาร ได้ใจทั้งแฟนคลับฐานเสียงเดิม
คำถามคือ นายทุนพรรค หรือคนที่เคยสนับสนุนพรรคมาตลอด ยังเชื่อมั่นอีกหรือไม่
ฟันธงเลย งานนี้ เข้าตำราม้าช้ำไม่ควรใช้ให้เสียเปรียบข้าศึก เปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรคมีสูง
แต่ที่ปฏิบัติการกำจัดจุดอ่อนยังไม่เริ่มต้น เพราะด้วยธรรมเนียมปฏิบัติที่มีมาช้านานยังค้ำคอคนมาใหม่ ให้ไม่สามารถแสดงตัวชัดเจน หากเจ้าของตำแหน่งเดิมยังไม่ประกาศลาออก หรือจะครบวาระ
สมมติวันนี้ ไฟต์บังคับเปลี่ยนหัวโขนจริงๆ ใครจะเป็นแคนดิเดตหัวหน้าพรรคคนใหม่
ไล่เจาะไปที่ กลุ่มก๊วนลูกศิษย์พระแม่ธรณีบีบมวยผมแล้ว การชี้ขาดตัวหัวหน้าพรรค ต้องได้เสียงสนับสนุนจากกลุ่มบุคคล หรืออดีตส.ส.หลักๆ ดังนี้
1. บุคคลรุ่นเก่าที่ยึดอุดมการณ์ยาวนานของพรรค การตัดสินใจแต่ละครั้งของบุคคลเหล่านี้ มักมีผล มีน้ำหนัก กำหนดทิศทางเดินของพรรคทุกครั้ง
2. แก๊งบุคคลที่อยู่รายรอบตัว“เดอะมาร์ค”ที่ต้องยอมรับว่า มีส่วนต่อการตัดสินใจแต่ละครั้งของหัวหน้าพรรคเป็นอย่างมาก ถึงแม้“อภิสิทธิ”จะมีภาพผู้นำมีอีโก้ของนักเรียนนอก แต่เนื้อแท้แล้วกลับเป็นคนขี้เกรงอกเกรงใจ บ่อยครั้งฟังเสียงกระซิบคนรอบกายมากไปจนงานเสียรูปขบวน กระทบฐานเสียงก็มี เช่น การแถลงข่าวงัดข้อกับกทม. เป็นต้น
ถึงขั้นมีเรื่องติดตลกว่า ครั้งหนึ่ง“บิ๊กตู่”เคยยกหูตรงหา“เดอะมาร์ค”เกาะติดเรื่องทุจริต ดีแล้ว แต่ให้ช่วยเบรกการแถลงข่าวของเหล่าบรรดาลิ่วล้อจะได้ไหม
3. อดีตส.ส.พรรคที่แห่กันไปร่วมจุดยืนเดียวกันกับ กปปส. หรือมวลมหาฯ ซึ่งแน่นอนว่า ที่ส่วนใหญ่เป็นอดีต ส.ส.ภาคใต้ นำทีมโดย“สุเทพ”ที่พร้อมสรรพทั้งเสบียงกรัง และฐานเสียงสนับสนุนเดิม ทุกคนจะยกโขยงกลับมาแน่นอน ยกเว้น“กำนันเทือก”
การไม่ตกก๊วนขบวนทหารของอดีต ส.ส.กลุ่มมวลมหาฯ ครั้งนี้ เป็นข้อได้เปรียบไล่บี้ฝั่งอดีต ส.ส.พรรคอีกขั้วไปโดยปริยาย
แม้ฉากหน้าขณะนี้ ผู้ใหญ่ของพรรคยังหนุน“อภิสิทธิ์” แบบสุดลิ่มทิ่มประตูหลังก็ตาม
ทว่า วาระ“อภิสิทธิ์”หมดลงประมาณต้นปี 61 ซึ่งบังเอิญไปใกล้เคียง สอดคล้อง กับเงื่อนเวลาเลือกตั้งตามโรดแมปของ“บิ๊กตู่”พอดี
ช่วงนั้น จะเป็นเวลาให้ "คนที่คุณก็รู้อยู่ว่าเป็นใคร" เลิกแต่งตัวรออยู่ในเงามืด ออกมาโชว์ออฟ และชี้ขาด !!!