xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“พงศพัศ–วรพงษ์”เด็ก“ทักษิณ”ออกฤทธิ์!!?? ถ่วง“ปฏิรูปตำรวจ”ยื้อสุดฤทธิ์นาน 2 ทศวรรษ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -“พงศพัศ”เอาจริง-ปฏิรูปตำรวจ ใครขวางเจอเด้ง....หัวข่าวแสดงอาการฮึดฮัด “เอาจริง”ของตำรวจ (ไทย) แต่กลายเป็นเรื่องน่าขบขันของผู้มีสติปัญญา และน่าจะรวมถึงตำรวจ(ไทย) อีกกว่า 2 แสนคน เพราะว่าไปแล้วนอกจากการปฏิรูป (ตำรวจ) ยังไม่สามารถจับต้องเป็นเรื่องเป็นราวได้ยังส่ออาการ“ปฏิลวง”ถึงขั้น “ถ่วงความเจริญ”ของสังคมไทยกันเลยทีเดียว

ก่อนจะขายภาพให้คนไทยได้เห็นกัน คงต้องขออนุญาตย้อนไปช่วงกำเนิดคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ กปปส. เมื่อวันที่ 29 พ.ย. 56

จากเวทีสถานีรถไฟสามเสน ค่อยๆ ขยายขึ้นๆ แต่อุปสรรคของการชุมนุมตอนนั้นเชื่อว่าทุกคนยังจำกันได้ รัฐบาลระดมตำรวจน้อยใหญ่ขัดขวางการชุมนุมในทุกรูปแบบ ทั้งวิธีปฏิบัติตามกฎหมาย “นอกกฎหมาย”และบุคคลที่มีชื่อ ซึ่งกำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้นำประท้วงกล่าวบนเวทีมากที่สุดก็คือ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร.ในขณะนั้น พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น.

วันดีคืนร้าย ลูกระเบิด เอ็ม 79 ถูกยิงเข้าไปในกลุ่มผู้ชุมนุม มีคนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก ว่ากันว่าวิธีสกปรกของผู้มีอำนาจในขณะนั้นก็คือ สั่งให้นักเลง อันธพาล นายทุนเจ้าของกิจการตู้ม้า ช่วยกันลงขันจ้างพวกนอกกฎหมายมาทำร้ายประชาชน

สถานการณ์ กปปส. มีเรื่องเศร้าเคล้าน้ำตาแทบทุกคืน เดี๋ยวเจ็บเดี๋ยวตาย จนหัวข้อสำคัญที่ผู้ชุมนุมรับรู้ร่วมกันคือ ทันทีที่ได้รับชัยชนะก็จะช่วยกันผลักดันให้มีการปฏิรูปตำรวจ ให้ตำรวจเป็นผู้รับใช้-บริการประชาชน อย่างแท้จริง กระทั่งเกิดปฏิวัติ-รัฐประหาร โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ สัญญาณไม่สู้ดีเริ่มจากการแต่งตั้งนายตำรวจระดับยอดสุดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปรากฏว่าผู้มีอำนาจ เลือกพล.ต.อ.วัชรพล ประสานราชกิจ คนสนิท พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผบ.ตร. มาทำหน้าที่รักษาการแทน พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ที่ได้รับตำแหน่ง รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  

แม้สังคมจะพอเข้าใจได้ว่า การยึดอำนาจจำเป็นต้องใช้บุคคลที่ไว้วางใจ แต่หลังจากหมดวาระของ พล.ต.อ.วัชรพล คนใก้ลชิดอีกรายหนึ่งคือ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ก็ถูกเรียกมาใช้บริการปล่อยให้ พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รอง ผบ.ตร.อาวุโสสูงสุด ค้างเติ่ง กลายเป็นแม่สายบัวรอเก้อ ทั้งที่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์มากกว่า มีความสุขุมลุ่มลึกมากกว่า แต่อาจไม่เป็นที่ถูกใจ หรือเส้นสายไม่ถึงขั้น และผลของการแต่งตั้งเที่ยวนั้น ยังมีนายตำรวจระดับสูงอยู่ในอาการ“อกหัก”แต่ต้องยอมรับสภาพ อยู่ 2 คนคือ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ และ พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา เนื่องจากทราบกันดีว่า เป็นตำรวจในระบอบ“ทักษิณ”
พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา (ภาพจากแฟ้ม)
ปี 2558 อันถึงวาระเกษียณอายุราชการของ “บิ๊กย้อย”พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผู้ซึ่งถือเป็นไม้เบื่อไม้เมากับกลุ่มผู้ชุมนุม กปปส. ส่วน“บิ๊กจูดี้” หรือ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ นายตำรวจ “หลิวลู่ลม”ซึ่งเหลืออายุราชการอีก 1 ปี ยังแอบมีความหวังลึกๆ ว่าจะเป็นตัวสอดแทรก เช่นเดียวกับ พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รอง ผบ.ตร.อาวุโสสูงสุด เป็นทั้งเจ้าของปฏิบัติการถลุ่มนายทุนตู้ม้าเสี้ยนหนามหัวใจของกำนันสุเทพ และทะลายขบวนการค้ามนุษย์ “โรฮิงญา”อันลือลั่น แต่ปรากฏว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบ.ตร. ผู้มีอาวุโสลำดับท้ายๆ กลับแซงพรวดก้าวมาเป็น ผบ.ตร.แบบเส้นยาแดงผ่าแปด

ความรู้สึกสลดหดหู่ จนถึงขั้นหมดอาลัยตายอยากคนชื่อ “เอก”แบกรับไปเต็มๆ แต่ในอีกด้านก็เกิดคำถามตามมามากมาย“ความเหมาะสม”ที่ผู้มีอำนาจชอบอ้างนั้นตกลงว่า ให้ลืมหลักนิติรัฐ นิติธรรม หรือหลักธรรมาภิบาล ซึ่งควรอยู่เหนือสิ่งอื่นใดหรือไม่ 

แล้วการปฏิรูปตำรวจ ที่พูดถึงกันล่ะ...ตกลงจะไปทางไหน จะเอาความเหมาะสม หรือความต้องการของประชาชนเพราะระดับหัวของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 2 ปีที่รัฐบาลจากการยึดอำนาจโดยการนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ใช้หลัก “ความเหมาะสม”แต่งตั้ง ผบ.ตร. แบบค้านความรู้สึกผู้คนทั้งประเทศ แล้วการปฏิรูปตำรวจเพื่อแก้ปัญหาความหมักหมมต่างๆ จะทำได้จริงตามเจตนารมณ์ของคนไทยที่เอาเลือดเอาเนื้อ เอาชีวิตเข้าแลกหรือไม่

หนักไปกว่านั้น เมื่อผู้มีอำนาจกำหนดให้มีคณะทำงานขึ้นมาเพื่อการปฏิรูปตำรวจ นั่นคือ สปท. หรือสภาขับเคลื่อนประเทศไทย ถือเป็นนวัตกรรมช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เปรียบเสมือนไขมันอุดตันอยู่ตามเส้นเลือด รวมทั้งปัญหาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่เชื่อกันว่า กฏเกณฑ์ -ระเบียบปฏิบัติต่างๆ ที่ใช้กันมาตั้งแต่เปลี่ยนโครงสร้างจาก “กรมตำรวจ”มาเป็น “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ”ไม่สามารถตอบโจทก์กับประชาชน หรือแม้แต่ประชาชนได้อีกต่อไปแล้ว

คณะทำงานปฏิรูปตำรวจ หรือชื่อทางการคือ คณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านกฏหมายและกระบวนการยุติธรรม มีข้าราชการตำรวจทั้ง นอกและในราชการ มาทำหน้าที่กันอย่างคึกคัก แต่ที่รู้สึกแปลกจนอดที่จะเขียนถึงซ้ำหลายหนไม่ได้ก็คือ พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา อดีต รอง ผบ.ตร. หรือถ้าจะยกให้เป็น “ลูกพี่ นปช.”กลุ่มมวลชนคนเสื้อแดงก็คงไม่ผิดนัก ปรากฏว่าได้รับเลือกให้เข้ามาทำหน้าที่ และเป็นถึงรองประธานกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม และเป็นประธานอนุกรรมการปฏิรูปตำรวจ

ความสงสัยยังไม่หมดแค่นี้ วันก่อนที่หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่หยิบเอาไปพาดหัวข่าวเป็นที่อึกทึกครึกโครมก็คือบทบาทใหม่ของนายตำรวจที่ขึ้นชื่อว่าอยู่ในระบบ “ทักษิณ”พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ซึ่งเหลืออายุราชการอีกเพียง 2 เดือนเศษ กลับได้รับความไว้วางใจมาทำหน้าที่สำคัญเป็นตัวแทนตำรวจมา“ปฏิรูปตำรวจ”!!??
 
หลักการที่ร้องไห้ไม่ออก หัวร่อไม่ได้ ก็คือ ระยะเวลาการปฏิรูป 3 เฟส คือเร่งด่วนภายใน 1 ปี ระยะกลาง 5 ปี และขั้นตอนสุดท้ายคือ ให้สำเร็จภายใน 20 ปี โดยอ้างว่าเป็นไปตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช.

เฉพาะประเด็นนี้มีคำถามตามมาว่า ตกลงท่านผู้มีอำนาจจะใช้เวลาปฏิรูปตำรวจนานถึง 2 ทศวรรษ ใช่หรือไม่....ท่านมีเหตุผลใดจึงต้องยืดเวลาไปนานขนาดนั้น เพราะปัญหาตำรวจว่ากันตามจริงแล้วหากจะปฏิรูปในวันนี้ หรือพรุ่งนี้ ก็น่าจะเป็นคุณูปการแก่ประเทศไทยอย่างใหญ่หลวง

10 ประเด็น ที่พล.ต.อ.พงศพัศ ยกมาคือ 1. การบริหารบุคคล 2. การกระจายอำนาจ 3. การพัฒนาระบบสอบสวนและบังคับใช้ 4. ค่าตอบแทนสวัสดิการ 5. การจัดการอุปกรณ์ประจำกาย และประจำหน่วย 6. การป้องกันการทุจริต 7. การให้ประชาชนมีส่วนร่วม 8. การพัฒนาระบบนิติวิทยาศาตร์ 9. การฝึกอบรมข้าราชการให้มีความพร้อม 10. การถ่ายโอนภาระกิจที่ไม่ใช่งานหลักของตำรวจ....

ถามว่า...ทุกข้อที่เอ่ยมานั้น มันล้มเหลว ซ้ำซาก กลายเป็นมะเร็งร้ายเกาะกินสังคมไทยมาอย่างช้านาน หรือเปล่า...ยกตัวอย่างให้เป็นกันชัดๆ อีกครั้งเช่น การแต่งตั้งข้าราชการตำรวจในทุกระดับ... มีการแทรกแซง-ย้ายมั่ว-หนักที่สุดคือ การซื้อขายตำแหน่งตามที่ปรากฏเป็นข่าว ... กรณีส่วยซ่องนาตารี ซึ่งมีตำรวจแทบทุกหน่วยเข้าไปมีเอี่ยวด้วย การจับบ่อนพนันขนาดเล็ก-ใหญ่ ที่ทหาร-ฝ่ายปกครอง หรือกระทั่ง DSI เข้าไปจัดการ ถือว่าเป็นความล้มเหลวของ สตช.หรือไม่... การละเลยในการปฏิบัติหน้าที่ เช่น กรณีคนร้ายข่มขืนผู้ช่วยพยาบาล ที่ จ.บุรีรัมย์ ตำรวจไม่ยอมจับผู้ต้องสงสัย อ้างว่าต้องรอหมายศาลจนฝ่ายปกครองโดย ผวจ.ต้องออกคำสั่งให้นายอำเภอ ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน ออกตามไล่ล่า...

กรณีพนักงานสอบสวน สน.ประชาชื่น ยัดข้อหาผู้บริสุทธิ์ ให้รับโทษจำคุก 1 ปีบ้าง 7-8 เดือนบ้าง 2 เดือนบ้าง และเมื่อสังคมจับผิดได้ ระดับบังคับบัญชากลับปกป้องให้รับโทษเพียง ว่ากล่าวตักเตือน... หรือแม้แต่กรณีสุสานคนเป็นที่บ้านผือ จ.อุดรธานี ขณะนี้ตำรวจระดับสูงสั่งระงับการสอบสวน กลายเป็นว่า 30 ชีวิตที่ถูกอุ้มไปฆ่าเผานั่งยาง ไม่มีโอกาสร้องขอความเป็นธรรมอีกต่อไป

สิ่งเหล่านี้ขอถามให้มั่นใจอีกครั้งว่า ที่พล.ต.อ.พงศพัศ ออกมาอ้างว่าการปฏิรูปตำรวจต้องทำ 3 ระยะ นานถึง 20 ปี อันเป็นนโยบายของท่านนายกรัฐมนตรี นั่นคือสิ่งที่ถูกต้อง...สตช. นำคำสั่ง หรือนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ มาดำเนินการอย่างตรงไปตรงมาไม่มีบิดพลิ้ว หรือเล่นแร่แปรธาตุ...ถึงท่านจะบอกว่าใช่ แต่บอกตรงๆว่าไม่มีใครเชื่อ...ข้อเท็จจริงด้วยความเขี้ยวของตำรวจ น่าจะ “มั่ว”ทำเป็นออกข่าวอึกทึกครึกโครม เพื่อให้ผู้หลักผู้ใหญ่ของประเทศนี้สบายใจ... แต่ทั้งหลายทั้งปวงก็เป็นอย่างที่ลำดับมาข้างต้นคือ ลิเก “ปฏิลวง”

แค่เอาตำรวจมาปฏิรูปตำรวจก็ผิดแล้ว....เลิกเสียทีกับความคิดที่ว่าต้อง“วิน-วิน”ทั้งตำรวจทั้งประชาชน...เหตุผลคือ ชาวบ้านและประเทศชาติวายป่วงกันมามากแล้ว ก็เพราะความพิกลพิการ บวก กับความวิปริตของหน่วยงานนี้แหละ
 
ขอยืนยันว่า ที่ประชาชนคนไทยเห็นเขาเล่นลิเกกันอยู่ในสภาขับเคลื่อนฯนั้น มันคือภาพลวงตา...ปฏิรูป(ตำรวจ)ไม่มีจริง ... แต่ถ้าเป็นพวกถ่วง (ความเจริญ) หรือเปล่า อันนั้นไม่แน่ !! ??


กำลังโหลดความคิดเห็น