ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ถือว่าเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของ “กองทัพบก” เลยก็ว่าได้ เมื่อเป็นที่ชัดเจนแล้วว่า ผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) คนใหม่ สืบต่อจาก บิ๊กหมู-พล.อ.ธีรชัย นาควานิชที่จะเกษียณราชการ ก็คือ “บิ๊กเจี๊ยบ-พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท” ขณะที่ตัวเต็งอีกคนที่มีชื่อปรากฏตั้งแต่แรกคือ “บิ๊กแกละ-พล.อ.พิสิทธิ์ สิทธิสาร” ก็แห้วไปตามระเบียบ
เหตุที่ต้องใช้คำว่าประวัติศาสตร์หน้าใหม่ก็เพราะ พล.อ.เฉลิมชัยไม่ใช่ “บูรพาพยัคฆ์” หากแต่เป็น “เบเร่ต์แดงรบพิเศษ” ที่สามารถเบียดขึ้นมาในตำแหน่งสูงสุดของกองทัพบกไทยได้ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ หากไล่เรียงนับตั้งแต่เมื่อครั้งที่ “บิ๊กป้อม” หรือป๋าป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นผู้บัญชาการทหารบก เก้าอี้ตัวนี้ได้ถูกส่งผ่านอยู่ในมือของบูรพาพยัคฆ์มาโดยตลอด จะมีเพียง “บิ๊กบัง-พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน” เพียงคนเดียวเท่านั้นที่แทรกเข้ามาได้ ไล่เรื่อยมาตั้งแต่ บิ๊กป็อก-พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา บิ๊กโด่ง-พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร และจบลงที่ บิ๊กหมู-พล.อ.ธีรชัย นาควานิช
ทำไมเที่ยวนี้ “บูรพาพยัคฆ์” ถึงพลาดเป้า ทั้งๆ ที่เป็นยุคที่พวกเขามีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในทุกองคาพยพของประเทศไทย
ทำไม “ป๋าป้อม” ที่ส่งน้องรักอย่าง พล.อ.พิสิทธิ์เข้าประกวดถึงต้องยอมจำนนแบบไม่มีเงื่อนไขต่อรองใดๆ เหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมาทั้งๆ ที่ทำคลอดมากับมือ
เพราะก่อนหน้านี้ แต่เดิมนั้น ปรากฏรายชื่อ พล.อ.พิสิทธิ์ สิทธิสาร หรือ “บิ๊กแกละ” เสนาธิการทหารบก (ตท.17) เป็นเต็ง 1 ขณะที่คู่แคนดิเดตก็คือ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท หรือ “บิ๊กเจี๊ยบ” ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก (ตท.16) นายทหารจากหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ
ทว่าสุดท้าย พล.อ.เฉลิมชัยก็ขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารบก ส่วน พล.อ.พิสิทธิ์ สิทธิสาร นั่งรองผู้บัญชาการทหารบก โดยมี บิ๊กเข้-พล.ท.เทพพงศ์ ทิพยจันทร์(ตท.18) แม่ทัพภาคที่ 1 และ พล.ท.สมศักดิ์ นิลบรรเจิดกุล(ตท.16) แม่ทัพภาคที่ 3 ขึ้นเป็น ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก พล.ท.สสิน ทองภักดี (ตท.17) รองเสนาธิการทหารบก ขึ้นเป็น เสนาธิการทหารบก ครบโควตา 5 เสือ ทบ.
ส่วน พล.ท.บรรเจิด ฉาบปูนทอง แม่ทัพน้อยที่ 3 ขยับขึ้นมาเป็นแม่ทัพภาคที่ 3 และ พล.ท.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ หรือ “บิ๊กแดง” (ตท.20) แม่ทัพน้อยที่ 1 “สายตรง พล.อ.ประยุทธ์” ได้ขึ้นเป็นแม่ทัพภาค 1 คุมกำลังในพระนคร เบียด “บิ๊กตู่เล็ก-พล.ต.กู้เกียรติ ศรีนาคา” รองแม่ทัพภาค 1 ไปแบบที่สร้างความหงุดหงิดให้กับป๋าป้อมเป็นดอกที่สอง
แน่นอน การพลิกโผชนิดหักปากกาเซียนแบบที่ “ป๋าป้อมได้แต่น้ำท่วมมปาก” ย่อมมีที่มาและที่ไปจาก 2 เหตุผลด้วยกัน
เหตุผลแรก เป็นเพราะสถานการณ์ความขัดแย้งในกองทัพบกกำลังทวีความรุนแรงมากขึ้นเป็นลำดับเนื่องจากเก้าอี้ ผบ.ทบ.ตกอยู่ในมือบูรพาพยัคฆ์มานานหลายปี กระทั่งมีรายงานข่าวยืนยันตรงกันว่า พล.อ.ประยุทธ์ตัดสินใจเปิดอกคุยกับพล.อ.ประวิตรจนได้ข้อสรุปว่า ต้องคืนความชอบธรรมให้กับกองทัพ โดยเฉพาะความเป็นเอกภาพ และไม่จำเป็นต้องสนับสนุนนายทหารที่เติบโตจากบูรพาพยัคฆ์เสมอไป เพราะต้องการให้นายทหารทุกคนมีโอกาสที่จะขึ้นเป็น ผบ.ทบ.เพราะมิฉะนั้นจะทำให้เสียกำลังใจ
ร้ายกว่านั้นคือ ถ้ายังปล่อยให้สถานการณ์เป็นเช่นเดิม ก็จะเกิดคำถามย้อนกลับมาที่ตัว พล.อ.ประวิตรเอง เพราะทำไปทำมาเหล่าเสือตะวันออกได้มีภาพลักษณ์เป็น “ทหารป๋าป้อม” ไปจนยากจะอธิบายใดๆ ได้
แต่เหตุผลที่สำคัญที่สุดก็คือ เหตุผลที่สอง ซึ่งแหล่งข่าวในกองทัพยืนยันตรงกันอีกเช่นกันว่าตั้งอยู่บนสมมติฐานของความเป็นจริงในเปอร์เซ็นต์ที่สูงลิ่ว และถ้าจะว่าไปแล้วน่าจะมากกว่าเหตุผลแรกด้วยซ้ำไป นั่นก็คือผลพวงจาก “เหตุวินาศกรรมเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2559” ที่ผ่านมา โดยเฉพาะใน “พื้นที่พิเศษ” อย่าง “หัวหิน” ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวในการบริหารงานทางด้านความมั่นคง จึงทำให้มีการส่ง “สัญญาณพิเศษ” ออกมา เพราะต้องไม่ลืมว่า หน่วยงานทางด้านความมั่นคงทั้งหมดของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นทหาร ตำรวจหรือแม้กระทั่งมหาดไทยล้วนแล้วอยู่ภายใต้การกำกับของ พล.อ.ประวิตรทั้งสิ้น
ซ้ำร้ายไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเหตุทำนองนี้ขึ้นในประเทศไทย เพราะก่อน หน้านี้ก็มีเหตุระเบิดที่ศาลท้าวมหาพรหมสี่แยกราชประสงค์หลังกิจกรรม BIKE for MOM มาแล้ว และถ้าจะว่าไปแล้วทั้งสองคดีก็ยังมิได้มีความคืบหน้าไปถึงไหน จนกลายเป็น signature ของ พล.อ.ประวิตรไปเรียบร้อยแล้ว
นี่ไม่นับรวมถึงเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
ดังนั้น จงอย่าแปลกใจที่จำต้องมีการเปลี่ยนแปลงผู้นำกองทัพบก และหวยก็มาออกที่ พล.อ.เฉลิมชัย ซึ่งกล่าวได้ว่า มีความเหมาะสมสำหรับการใช้งานภายใต้ “สถานการณ์พิเศษ” มากกว่า พล.อ.พิสิทธิ์
โดยเฉพาะในสถานการณ์บ้านเมืองที่อยู่ใน “ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ช่วงเปลี่ยนผ่าน” ตามโรดแมปของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่จะให้มีการเลือกตั้งในปี 2560 จึงต้องการให้สถานการณ์บ้านเมืองเป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย ตั้งรัฐบาลใหม่ได้อย่างราบรื่น ซึ่งไม่อาจปฏิเสธได้ว่า คนที่จะขึ้นมาดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ. ซึ่งจะควบตำแหน่งเลขาธิการ คสช.ด้วยนั้น ก็มีส่วนสำคัญที่สุดอีกปัจจัยหนึ่ง
ด้วยเหตุดังกล่าว โผทหารครั้งนี้จึงสามารถกล่าวได้ว่า “หัก พล.อ.ประวิตร” อย่างไม่อาจปฏิเสธความจริงได้ และเป็นโผทหารที่ไม่ได้เรียบร้อยโรงเรียนป๋าป้อมเหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมากระทั่งสามารถใช้คำว่า “ปฏิวัติเงียบ” ยึดอำนาจป๋าป้อมผู้ยิ่งใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์ที่กำลังวางแผนต่อท่ออำนาจทางการเมืองในบทบาท “ผู้มากบารมี” คนถัดไป
ถามว่า พล.อ.เฉลิมชัยหรือบิ๊กเจี๊ยบมีเส้นทางการเติบโตอย่างไร ทำไมถึงได้เข้าป้าย ผบ.ทบ.ได้ในท้ายที่สุด
ก็ต้องตอบว่า ไม่ธรรมดาเช่นกัน เพราะจากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า การก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง ผบ.ทบ.ของ พล.อ.เฉลิมชัยได้รับแรงหนุนจากทั้ง พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผบ.ทบ. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี ซึ่งนั่นย่อมหมายรวมถึงการสนับสนุนจาก “พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์” ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ผู้ยังคงมากบารมีในกองทัพโดยไม่เสื่อมคลาย
โดยเฉพาะความสัมพันธ์กับ พล.อ.สุรยุทธ์และพล.อ.เปรมนั้น ปรากฏเด่นชัดยิ่งหลัง พล.อ.ประยุทธ์แจ้งกับนักข่าวว่า โผทหารลงตัวเรียบร้อยแล้วนั้น ในค่ำวันเดียวกัน พล.อ.เฉลิมชัยเดินทางไปร่วมงานคอนเสิร์ตวันเกิดป๋า ครบรอบ 96 ปี รักเพลง รักแผ่นดิน10 “เธอคือความสุข” ซึ่งจัดขึ้นที่โรงละครแห่งชาติ เมื่อ พล.อ.เฉลิมชัยได้รับบทเด่นตลอดทั้งงาน และคอยให้การต้อนรับอยู่ข้างกาย รวมถึงการปรากฏตัวบทเวทีพร้อมกับ พล.อ.เปรม โดยที่ พล.อ.สุรยุทธ์ที่ไปร่วมงานด้วยเปิดโอกาสให้บิ๊กเจี๊ยบอย่างเต็มที่
และวันรุ่งขึ้นคือวันที่ 25ส.ค.พล.อ.เปรม ก็เปิดบ้านสี่เสาเทเวศร์ ให้การต้อนรับ คณะของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี รวมทั้ง ผบ.เหล่าทัพ เข้าอวยพรวันเกิด ทั้งที่ก่อนหน้านี้ พล.ท.พิศณุ พุทธวงศ์ นายทหารคนสนิทของพล.อ.เปรม เคยบอกว่า ในวันที่ 26 ส.ค. ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดครบรอบ 96 ปี ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ซึ่งในปีนี้ พล.อ.เปรม ของดเปิดบ้านให้บุคคลต่างๆ เข้าอวยพร โดยจะขออยู่ส่วนตัว และจะไปทำบุญที่วัดต่างจังหวัด
งานนี้พล.อ.เปรมส่งสัญญาณแจ่มชัดในทุกเครือข่ายว่า “พอใจ” แม่ทัพบกที่ชื่อ “พล.อ.เฉลิมชัย”
กล่าวสำหรับเส้นทางในชีวิตราชการทหารของ พล.อ.เฉลิมชัย นั้น จบจากโรงเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 16 และโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า รุ่นที่ 27 รุ่นเดียวกับ พล.อ.กัมปนาท รุดดิษฐ์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก พล.ท.ธวัช สุกปลั่ง แม่ทัพภาคที่ 2 เคยดำรงตำแหน่ง เสนาธิการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ ผู้บัญชาการกองพลรบพิเศษที่ 1 รองผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ และขึ้นเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก เมื่อปี 2558 กำหนดเกษียณอายุราชการในปี 2561
ในช่วงรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 นั้น พล.อ.เฉลิมชัย ในฐานะผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ ได้ร่วมทำงานในทางลับให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งขณะนั้นเป็น ผบ.ทบ. มาโดยตลอด โดยมี พล.อ.กัมปนาท ผู้ช่วย ผบ.ทบ. ที่เป็นน้องรักของพล.อ.ประยุทธ์ ร่วมด้วยช่วยอีกแรง จึงรู้มือ และไว้เนื้อเชื่อใจกันเป็นพิเศษ
ประกอบกับพล.อ.เฉลิมชัย เติบโตมาในสาย “รบพิเศษ” จึงเป็นน้องรักของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี และอดีต ผบ.ทบ. ผู้เป็น “พี่ใหญ่แห่งหน่วยรบพิเศษ” ด้วยอีกคนหนึ่ง ทำให้มีสายสัมพันธ์ได้รับความรักความเมตตาจาก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ประมุขบ้านสี่เสา เทเวศร์ อีกทางหนึ่งด้วย
ส่วน “บิ๊กแกละ” พล.อ.พิสิทธิ์ จบจากโรงเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 17 โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า รุ่นที่ 28 และ สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เคยเป็น ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ ผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ รองแม่ทัพภาคที่ 1 แม่ทัพน้อยที่ 1 รองเสนาธิการทหารบก ผู้อำนวยการศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูป ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก ก่อนจะขึ้นเป็น เสนาธิการทหารบก ในปี 2558 กำหนดเกษียณอายุราชการในปี 2560
การที่พล.อ.พิสิทธิ์ เติบโตมาจาก พล.ร.2 รอ. ถ้ำบูรพาพยัคฆ์ ก่อนที่จะมา อยู่ที่ พล. 1 รอ. สายวงศ์เทวัญ ทำให้มีทั้งสายเลือดบูรพาพยัคฆ์และวงศ์เทวัญ อยู่ในตัว ที่สำคัญคือช่วงที่ผ่านมานั้นได้ทำงานใกล้ชิด เป็นมือเป็นไม้ให้ พล.อ.ประวิตรมายาวนาน
อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นคนใกล้ชิดของ พล.อ.ประวิตร แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ปลื้มด้วย เพราะเมื่อครั้งที่พล.อ.ประยุทธ์ เป็น ผบ.ทบ. ก็ไม่แต่งตั้งให้ พล.อ.พิสิทธิ์ เป็นแม่ทัพภาคที่ 1 แถมต่อมายังถูกเก็บเข้ากรุง ในตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ทบ.
กระทั่งมาถึงช่วง “บิ๊กโด่ง” พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร เป็น ผบ.ทบ.จึงได้รับการช่วยเหลือ ดึงตัวออกมาจากกรุ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ทบ. มาเป็นเสนาธิการทหารบก แถมยังให้ช่วยดูแลการก่อสร้างโครงการอุทยานราชภักดิ์ด้วย จึงถูกจัดให้เป็น “สายราชภักดิ์” อีกทางหนึ่ง
และนั่นเองเป็นเหตุให้ พล.อ.ธีรชัยที่ไม่สู้จะลงรอยกับเพื่อนเตรียมทหารรุ่น 14 อย่าง พล.อ.อุดมเดช ไม่ค่อยเรียกใช้งาน พล.อ.พิสิทธิ์ ผู้เป็นเสนาธิการทหารบกอย่างที่ควรจะเป็น แต่เวลาไปไหนมาไหนกลับไปเรียกใช้ ผช.ผบ.ทบอ่าง พล.อ.เฉลิมชัยแทน ทั้งๆ ที่ตามสายงานแล้ว พล.อ.เฉลิมชัยจะดูแลแค่สายงานการส่งกำลังบำรุงและกิจการพลเรือน
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่โผยังไม่นิ่งนั้น แม้จะมีกระแสข่าวว่า พล.อ.พิสิทธิ์ สิทธิสาร มาแน่ แต่ในขณะเดียวกันก็มีสัญญาณบอกเหตุว่า พล.อ.เฉลิมชัย อาจจะเบียดแซงมาในโค้งสุดท้ายก็ได้ เช่น เมื่อวันที่ 17 สิงหาคมที่ผ่านมา มีการแข่งขันฟุตบอลเชื่อมสัมพันธ์ศิษย์เก่า โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าฯ ( รร.จปร.) เนื่องในโอกาสวันพระราชทาน รร.จปร. ซึ่งจัดขึ้นที่สนามหญ้า หน้ากองบัญชาการกองทัพบก ถนนราชดำเนิน ในวันนั้น พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผบ.ทบ. ได้มอบหมายให้ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้ช่วย ผบ.ทบ. มาเป็นประธานในพิธีเปิดการแข่งขัน ขณะที่ พล.อ.ธีรชัย เป็นเพียงผู้มานั่งชมการแข่งขันเท่านั้น ขณะที่ พล.อ.พิสิทธิ์ สิทธสาร ไม่ได้ลงมาชมการแข่งขันแต่อย่างใด
ในวันนั้น พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวเปิดงานในช่วงหนึ่งว่า การแข่งขันฟุตบอลครั้งนี้ ไม่ได้เน้นแพ้ ชนะ สมัยที่เป็นรองผู้บังคับกองพัน ผู้บังคับกองพัน ไม่มีไลน์แมน ไม่มีกรรมการ เพราะคนน้อย ไปราชการสนามกันหมด ฟุตบอลเป็นการฝึกพวกเราให้เรียนรู้ และเคารพตัวเอง ยอมรับว่า ลูกออก ฟาวล์ หรือ ล้ำหน้า เป็นการฝึกจิตใจของตัวเอง ให้เรามีน้ำใจเป็นลูกผู้ชาย ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น และเราใช้สิ่งนี้ในสนามชีวิตจริงได้ และก็จะเป็นชีวิตของลูกผู้ชาย ที่ไม่เอาเปรียบสังคม ถ้าทุกคนเป็นแบบนี้ได้ สังคมก็จะเป็นสุข
“วันนี้เป็นกีฬาสานสัมพันธ์ แพ้ ชนะไม่มีผลอะไร อยากให้พวกเราทุกคนมีความสุข และปลอดภัย ที่สำคัญคือ เราต้องรู้ตัวเองว่าไปได้แค่ไหน ควรจะพอใจแค่ไหน จะหมุนเวียน สลับกันเล่นอย่างไร เพราะเป็นกีฬาเชื่อมสัมพันธ์ศิษย์เก่า จปร. เชื่อมความรัก ความสามัคคี ในหมู่พวกเรา ถ้าเรารักและสามัคคีกัน ซึ่งเราเป็นนายทหารหลัก กองทัพก็เข้มแข็ง ประเทศชาติจะมั่นคง” พล.อ.เฉลิมชัย กล่าว
ด้วยแรงหนุนจาก พล.อ.ธีรชัย ในฐานะ ผบ.ทบ.คนปัจจุบัน
ด้วยแรงหนุนจาก พล.อ.ประยุทธ์ที่เคยร่วมกันกันเมื่อครั้งเป็น ผบ.ทบ.และ พล.อ.เฉลิมชัยเป็น ผบ.นสศ.
และด้วยแรงหนุนจาก พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี สายตรงของป๋าที่ พล.อ.ประยุทธ์ให้ความเคารพอย่างมาก
ทำให้วันนี้ชื่อ ผบ.ทบคนใหม่มาหยุดลงตรงที่ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท นายทหารที่มีความเชี่ยวชาญ ครบเครื่องทั้ง ด้านการปฏิบัติการพิเศษ การข่าว และปฏิบัติการลับ
พล.อ.เฉลิมชัย จึงเป็นนายทหารนอกสายบูรพาพยัคฆ์คนแรกในรอบ 10 ปี ที่ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก
ส่วนตำแหน่งที่สำคัญอื่นๆ นอกเหนือจาก 5 เสือ ทบ. นั้น
ในส่วนของกระทรวงกลาโหม “บิ๊กช้าง” พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รองปลัดกระทรวงกลาโหม (ตท.16) ได้ขึ้นเป็น ปลัดกระทรวงกลาโหม ที่กองบัญชาการกองทัพไทย ก็เป็นไปตามคาด โดย "บิ๊กปุย" พล.อ.สุรพงษ์ สุวรรณอัต เสนาธิการทหาร (ตท.15) ขึ้นเป็น ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) โดยมี พล.อ.หัสพงศ์ ยุวนวรรธนะ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา (ตท.16) เป็นรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด (รอง ผบ.สส.) “บิ๊กต๊อก” พล.อ.ธารไชยยันต์ ศรีสุวรรณ รองเสนาธิการทหาร (ตท.17) ขึ้นเป็น เสนาธิการทหาร
ขณะที่กองทัพเรือ จะมีเกษียณ 2 ตำแหน่ง คือ รองผู้บัญชาการทหารเรือ (รอง ผบ.ทร.) และ เสนาธิการทหารเรือ (เสธ.ทร.) คาดว่า พล.ร.ท.พูลศักดิ์ อุบลเทพชัย รองเสธ.ทร. (ตท.17) เป็น เสธ.ทร. อีกทั้งจะขยับ พล.ร.อ.นริส ประทุมสุวรรณ ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ (ตท.17) ไปเป็น รองปลัดกระทรวงกลาโหม แทน พล.ร.อ.อนุทัย รัตตะรังสี ที่จะเกษียณอายุราชการ รวมถึงขยับ พล.ร.อ.ไกรวุธ วัฒนธรรม ผู้ช่วย ผบ.ทร. (ตท.16) ไปเป็น รอง ผบ.สส. และให้ พล.ร.ท.จุมพล ลุมพิกานนท์ รอง เสธ.ทร. (ตท.17) มาเป็นผู้ช่วย ผบ.ทร.แทน ส่วนพล.ร.ท.สุชีพ หวังไมตรี รอง เสธ.ทร. (ตท.17) มาเป็นผู้บัญชาการกองเรือยุทธการแทน
สำหรับกองทัพอากาศ มีแคนดิเดตผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) ที่จะมาแทน พล.อ.อ.ตรีทศ สนแจ้ง ผบ.ทอ. คือ พล.อ.อ.จอม รุ่งสว่าง เสนาธิการทหารอากาศ (เสธ.ทอ.) (ตท.16) โดยหลักการแล้ว ผู้ที่จะเป็น ผบ.ทอ. ต้องมาจากตำแหน่งเสนาธิการทหารอากาศ และมีอายุราชการ 2 ปี เพื่อที่จะได้วางยุทธศาตร์การทำงานได้ต่อเนื่อง สำหรับพล.อ.อ.สุทธิพงษ์ อินทรียงค์ ผู้บัญชาการกรมควบคุมการปฏิบัติการทางอากาศ (ตท.17) เป็น เสนาธิการทหารอากาศ โดยพล.อ.ท.ชัยพฤกษ์ ดิษยะศริน รองเสนาธิการทหารอากาศ (ตท.18) มาเป็น ผู้ช่วย ผบ.ทอ.
ถึงตรงนี้ ไม่ว่าป๋าป้อม-พล.อ.ประวิตรจะรู้สึกอย่างไร แต่ในความเป็นจริงแล้ว คงไม่มีอะไรดีไปกว่าต้องกลืนเลือดยอมรับอย่างหน้าชื่นอกตรม เพราะงานนี้มี “สัญญาณพิเศษ” ชัดเจนที่ทำให้ พล.อ.ประวิตรจำเป็นต้อง “ยอม” อย่างไม่มีเงื่อนไข
ที่สำคัญคือ ตำแหน่งแห่งหนและบารมีของ “ป๋าป้อม” ในวันนี้ก็ยังฉายแสงอยู่เช่นเดิม แม้จะเสียหน้าไปบ้าง หมองๆ ลงไปบ้าง แต่ก็ยังคุมหน่วยงานทางความมั่นคงของชาติ ทั้ง “ตำรวจ ทหาร” เหมือนเดิม
ป๋าป้อมสมควรพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขต่อไป