คอลัมน์ สังเวียนตำรวจ
โดย เหล็กน้ำพี้
ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -“การจับผู้ร้ายนั้นไม่ถือเป็นความชอบ เป็นแต่ผู้นั้นได้กระทำครบถ้วนแก่หน้าที่เท่านั้น แต่จะถือเป็นความชอบก็ต่อเมื่อได้ปกครองป้องกันเหตุร้ายให้ชีวิตและทรัพย์สินของข้าแผ่นดินในท้องที่นั้นอยู่เย็นเป็นสุขพอควร”
.....ดังนั้นข้าราชการตำรวจต้องพึงระลึกว่าการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมในเขตพื้นที่รับผิดชอบไม่ให้เกิดเหตุร้ายแก่ประชาชนในเขตพื้นที่ของตนเองนั่นแหละคือความสำเร็จในการทำหน้าที่ข้าราชการตำรวจอย่างแท้จริงพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ พระราชทานแก่ข้าราชการตำรวจ.....
.......ระเบิดป่วน ๗ จังหวัดภาคใต้ผ่านมาเกือบสัปดาห์แล้วแต่การทำงานของตำรวจดูเหมือนว่าจะไม่คืบหน้าที่ที่ควรแม้แต่การจับนายศักดิ์รินทร์ คฤหัสถ์ หนุ่มสันกำแพง เชียงใหม่ก็ยังมั่วๆขนาดพล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพรามณกุล รองผบ.ตร.ฝ่ายความมั่นคง “ขวัญใจ คสช.”ยัง “เบรกแตก”หลุดกลางที่ประชุมว่าสำนวนการสอบสวนคดีวางเพลิงห้างโลตัส จ.นครศรีธรรมราฃ ใช้ “ส้นตีน”ทำ
จะส้นมือหรือส้นเท้าสุดแท้แต่ความคิดของบรรดา “บิ๊กตำรวจ”แต่สำหรับทหารโดยเฉพาะ พล.ต.ธีร์ณฉัฏฐ์ จินดาเงิน ผู้บัญชาการทหารบกที่ ๔๑ ค่ายวชิราวุธ จ.นครศรีธรรมราช ในฐานะ “เจ้าภาพ”ผู้ให้สถานที่ควบคุมตัวแต่พอเกิดเรื่องมั่วกระแสข่าวทำท่าจะเบนไปที่ ท ทหาร ท่านจึงต้องออกมาชี้แจงอย่างเสียงดังฟังชัดว่าปฏิบัติการทั้งหมดตั้งแต่การของหมายจับจากศาล จ.นครศรีธรรมราช การขึ้น ฮ.บุกไปถึงแท่นขุดเจาะน้ำมันรวมทั้งการให้ข่าวต่างๆฝ่ายตำรวจเป็นคนทำทั้งนั้น ส่วนทหารเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการให้ใช้สถานที่ และส่งกำลังสนับสนุนเท่านั้น
ระหว่างที่เขียนต้นฉบับนี้ฝ่ายตำรวจ จ.นครศรีธรรมราช ได้แจ้งข้อหาใหม่แก่นายศักดิ์รินทร์ คือมีวัตถุระเบิดในครอบครอง ส่วนคดีลอบวางเพลิงนั้นข่าวว่ากำลังจะถอนหมายจับซึ่งไม่ทราบว่าสามารถทำได้หรือไม่เพราะตามปกติแล้ว “หมายจับ”จะยกเลิกได้ก็ต่อเมื่อมีการจับผู้ต้องหามามอบให้กับพนักงานอัยการเพื่อส่งฟ้อง หรืออีกกรณีคือผู้ต้องหาเสียชีวิต
ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจนเป็นที่มาของวลีเด็ดใช้ “ส้นตีน”ทำสำนวนจึงเป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไป แต่ที่แน่ๆข้อหาใหม่คือครอบครองวัตถุระเบิดนั้นเขตอำนาจจากศาลพลเรือนข้ามมายังศาลทหารตามคำสั่งของ คสช.ในทันที หากมองในแง่ลบอาจจะมีเสียงครหา ในเรื่องของความไม่มั่นใจหรืออาจเชื่อกันว่าอาจจะกลายเป็นแพะ เป็นแกะไปเลยก็ได้โดยเฉพาะการโยงเรื่อง “สันกำแพง”คอนเน็กชันนั้นยังเลื่อนลอย คล้ายกับต้องการสร้างกระแสมากกว่าพิสูจน์ข้อเท็จจริง
นับจากนี้ต่อไปพล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพรามหณกุล ในฐานะหัวหน้าทีม ก็ต้อง “ใช้มือ” และ “ใช้สมอง”สร้างความกระจ่างให้กับคดีนี้ ไม่ว่าจะเป็นพยาน-หลักฐานที่น่าเชื่อถือ รวมทั้งรวมทั้งเหตุจูงใจทำไมต้องเลือกวัน-เวลาดังกล่าว ทำไมจึงกำหนดจุดระเบิดเฉพาะจังหวัดอันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวรวมทั้ง อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์
ข้อเท็จจริงต่างๆเมื่อรวบรวมได้ในระดับหนึ่งแล้วสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต้องรีบแถลงสร้างความเชื่อมั่น และความเข้าใจแก่ประชาชน อย่าให้เป็นเรื่องซุบซิบกันในวงแคบหรืออยากจะกำหนดให้เป็นอย่างไรก็ปล่อยข้อมูลมาตามนั้นเพราะปัจจุบันแม้การวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องราวต่างๆจะยังมีข้อจำกัด แต่ช่องทางการสื่อสารโดยเฉพาะโลกโซเชียลมีเดีย มันไกลจนเกินกว่าจะตามปิดบังกันได้...อะไรที่ใช่ อะไรไม่ใช่ก็ขอให้ว่ากันตามข้อเท็จจริง
และสำคัญที่สุดฝ่ายความมั่นคง ทั้งทหาร -ตำรวจ อย่าให้ความสำคัญกับการไล่จับคนร้ายจนลืมไปว่าความผิดพลาดที่เกิดขึ้นยังไม่เคยได้ยินผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมืองออกมาพูดแม้แต่น้อย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กำกับดูแล สตช. และ รวม.กลาโหม รับผิดชอบด้านความมั่นคงอีกชั้น ไม่เคยออกมาขอโทษ หรือแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
จริงอยู่การเฝ้าระวังเหตุมันมีข้อจำกัดและทำได้ยาก แต่ถ้าเป็นอย่างสมมุติฐานของฝ่ายการข่าวไทย และ ต่างประเทศว่าการก่อวินาศกรรม ๗ จังหวัดแหล่งท่องเที่ยวสำคัญภาคใต้ของเรานั้นมาจากกลุ่มก่อการร้ายภาคใต้ ซึ่งอาจจะมีการว่าจ้างโดยผู้สูญเสียอำนาจทางการเมืองหรืออะไรก็ตามแต่ปฏิบัติการของเขาที่ทะลวงข้ามมาถึง อ.หัวหิน รวมทั้งจังหวัดสำคัญทางเศรษฐกิจการท่องเที่ยวอื่นๆแสดงให้เห็นว่าขีดความสามารถมันพัฒนาไปไกล มีศักยภาพชนิดที่ฝ่ายความมั่นคงของไทย ซึ่งอยู่ในยุคมีอำนาจเต็ม เบ็ดเสร็จเด็ดขาดยังพลาดอย่างไม่เป็นท่า
ยิ่งกลับมาดูเหตุการณ์วางระเบิดบาร์เบียร์ อ.หัวหิน เมื่อตอน ๔ ทุ่มเศษของวันที่ ๑๑ ส.ค.ที่ผ่านมาถึง ๒ จุดมีผู้เสียชีวิต ๑ บาดเจ็บอีกนับสิบ หลังสิ้นเสียงระเบิดกองทัพนักข่าวจากส่วนกลางถูกส่งลงไปปฏิบัติหน้าที่ร่วมร้อย เช่นเดียวกับฝ่ายการข่าวทหาร -ตำรวจ -ฝ่ายปกครอง ชุดเก็บกู้ระเบิด เรียกว่ามีการระดมสรรพกำลังครั้งมโหฬารเพราะ อ.หัวหิน นั้นนอกจากเป็นสถานท่องเที่ยวมีชื่อเสียงระดับโลกแล้วยังเป็นที่ตั้งพระราชวังไกลกังวล อันเป็นจุดศูนย์รวมใจคนไทยทั้งชาติ ดังนั้นการตรวจสแกนพื้นที่ล่อแหลมหลังเกิดระเบิดจนมีคนตายคนเจ็บผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องจะต้องให้ความสำคัญ แม้จะตรวจกันทั้งเมือง ดูกันทุกตะรางนิ้วก็ต้องทำ
แต่เกิดอะไรขึ้นคนไทยทั้งหลายทราบกันดีอยู่แล้ว....หลังพิธีถวายพระพรและทำบุญตักบาตรเนื่องในวันแม่ผ่านไปแล้วช่วงเจ้าหน้าที่กำลังเก็บข้าวของเครื่องใช้บริเวณลานหอนาฬิกา ใจกลางเมืองหัวหินอันเป็นสถานที่จัดงานเกิดระเบิดซ้ำขึ้นอีกมีผู้เสียชีวิต ๑ รายและบาดเจ็บอีก ๔-๕ คน
ตรงนี้ก็ต้องมีคำถามซ้ำๆกันอีกว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร
ความผิดพลาดควรจะอยู่กับใครระหว่างพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รองผบ.ตร.กำกับดูแลตำรวจภาค ๗ หรือพล.ต.ท.ชาญเทพ เสสะเวช ผบช.ภ.๗ ในฐานะเจ้าของสถานที่
หลังจากเกิดเหตุก่อวินาศกรรมจนกลายเป็นข่าวกระจายไปทั่วโลก คนที่ควรออกมาแสดงสปิริตกลับเป็นแสดงวาทะกรรมคนชั่วบ้าง คนระยำบ้าง เรื่อยไปจนถึงใช้ “ส้นตีน”ทำสำนวนนั้นเห็นเพียงนายสุวพันธ์ ตันยุวรรธนะ รมว.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ออกมาแสดงความเห็นอย่างเกรงอกเกรงใจ (ใครไม่รู้)ทำนองว่าเกี่ยวข้องไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบได้...จากนั้นก็โยนให้เครือข่ายภาคประชาชนช่วยกันเป็นหูเป็นตา.....ก็แน่ล่ะ ลำพังหน่วยงานรัฐถ้าไม่มีประชาชนคอยสอดส่องก็อาจจะมีปัญหา แต่ที่สุดแล้วปัญหามันกลับไปยังฝ่ายความมั่นคงอีกนั่นแหละเพราะในภาวะผู้นำที่มีอำนาจเต็ม -กำลังพล-งบประมาณ ทุกอย่างเพียบพร้อม
ความเห็นของนายสุวพันธ์ ที่ว่าผู้เกี่ยวข้องไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบได้นั้น....จะรับผิดชอบกันแบบไหน!!??
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.ซึ่งกล้าทำทุกเรื่อง ท่านจะกล้าแตะ กล้าเปลี่ยนอะไรหรือไม่
หวังว่าระเบิดและการลอบวางเพลิงก่อวินาศกรรมเที่ยวนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย และหวังเหลือเกินว่าจะไม่มีอะไรรุนแรงกว่านี้อีก