ในที่สุดระเบิดที่เกิดในพื้นที่ 7 จังหวัดภาคใต้ก็หนีไม่พ้นข้อเท็จจริงที่ว่า ไม่ว่าใครจะอยู่เบื้องหลังของการสั่งการ แต่ “คนร้าย" หรือ “มือระเบิด” ส่วนหนึ่งเดินทางไปจาก “จังหวัดชายแดนภาคใต้” และเป็น “คนในขบวนการแบ่งแยกดินแดน” หรือคนที่เห็นต่างจากอำนาจรัฐไทยนั่นเอง
หลังจากที่ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. ได้เปิดเรียวปากยืนยันอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า กลุ่มผู้ก่อการวินาศกรรม 7 จังหวัดภาคใต้ครั้งล่าสุดเป็นคนจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และหลังจากที่ได้ก่อเหตุแล้วก็ได้นั่งจักรยานยนต์รับจ้างจากห้างโลตัส ไปขึ้นรถทัวร์สายเกาะสมุย-สุไหงโก-ลก และไปลงรถทัวร์ที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา
จากการแกะรอยตรวจสอบเส้นทางของคนร้ายกลุ่มนี้ ซึ่งเป็นที่ยืนยันในเวลานี้แล้วว่ามีทั้งหมด 13-15 คน พบว่า ในการก่อวินาศกรรมคนร้ายกลุ่มนี้มาจาก จ.นราธิวาส ซึ่งน่าจะได้บทเรียนจากปฏิบัติการวางคาร์บอมบ์ที่ห้างเซ็นทรัลฯ เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี เมื่อปี 2558 ที่ผ่ามา
การหันมาใช้บริการมอเตอร์ไซค์รับจ้าง และรถทัวร์ประจำเส้นทาง แทนการใช้รถเก๋ง และกระบะรวม 4 คัน แบบที่เคยปฏิบัติการวางคาร์บอมบ์บนเกาะสมุยนั้น ได้ถูกกล้องวงจรปิดติดตามจับภาพได้ และนำไปสู่การจับกุม และออกหมายจับ “แนวร่วม” ใน จ.ปัตตานี ซึ่งเป็นมือก่อวินาศกรรมครานั้น
จึงไม่แปลกที่ในการก่อวินาศกรรมในพื้นที่ 7 จังหวัดครั้งนี้ คนร้ายจึงเปลี่ยนแผนใหม่ด้วยการเดินทางจาก จ.นราธิวาส พร้อมด้วยเป้บรรจุวัตถุระเบิดซึ่งเป็นระเบิดขนาดเล็ก และระเบิดเพลิง แยกการเดินทางเป็นกลุ่มๆ ออกจาก จ.นราธิวาส โดยรถตู้โดยสารไปยังพื้นที่ อ.หาดใหญ่ ในวันที่ 9 ส.ค.ที่ผ่านมา
จากนั้นในวันที่ 10 ส.ค. กลุ่มคนร้ายได้ทยอยกระจายการเดินทางไปขึ้นรถที่ท่ารถตู้ตลาดเกษตรหาดใหญ่ ย่านหาดใหญ่ใน และที่สถานีขนส่งอาเขตหาดใหญ่เป็นรถบัสที่ย่าน ถ.กาญจนวนิชย์ โดยแยกย้ายแบ่งสายกันไปตามพื้นที่เป้าหมายที่นัดแนะกันไว้แล้วใน 7 จังหวัดดังกล่าว
สำหรับมือวางเพลิงที่ห้างเทสโก้โลตัส อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งเห็นตามภาพจากกล้องวงจรปิดนั้น ซึ่งมีสัญลักษณ์ของผ้าคาดจมูก ได้เดินทางไปขึ้นรถทัวร์สายหาดใหญ่-สุราษฎร์ธานี เมื่อเวลาประมาณ 10.00 น. ของวันที่ 10 ส.ค. และเดินทางกลับหลังปฏิบัติการเสร็จสิ้นภารกิจในวันที่ 11 ส.ค. ด้วยรถทัวร์สายเกาะสมุย-สุไหงโก-ลก โดยขากลับก็เลือกที่จะลงรถที่หาดใหญ่เพื่อเปลี่ยนรถไปยัง จ.นราธิวาส
เป็นที่น่าสังเกตว่า ในขณะที่ระเบิดเกิดขึ้นในวันที่ 12 ส.ค. ซึ่งถือเป็นวันสัญลักษณ์ และมีความสำคัญต่อคนไทยจำนวนมาก นั่นหมายความเป็นอื่นไปไม่ได้ว่า บรรดามือระเบิดทั้งหมดได้เดินทางไปยัง จ.นราธิวาส และสามารถที่จะข้ามพรมแดนไปยังประเทศมาเลเซียเรียบร้อยแล้วนั่นเอง
แหล่งข่าวที่ใกล้ชิดกับแนวร่วมขบวนการก่อการร้ายใน จ.นราธิวาส ให้ข้อมูลว่า ผู้ที่เป็นมือวางระเบิดทั้งหมดในครั้งนี้ มีการ “อำพรางรุก” และ “อำพรางถอย” ด้วยการวางแผนเป็นอย่างดี
ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีการ “คัตเอาต์” เพื่อให้การสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่หลังเกิดเหตุเกิดความ “สับสน” และ “ยุ่งยาก” อีกด้วย เช่น การไม่ใช้ยานพาหนะที่เป็นของตนเอง แต่เลือกที่จะเดินทางไปกับรถประจำทาง และเมื่อไปถึงก็ทำการวางระเบิด แล้วเดินทางกลับในทันที
โดยไม่ “พักค้างแรม” ในพื้นที่ และไม่มีการติดต่อกับ “แนวร่วมในพื้นที่” เพื่อมิให้มี “เบาะแส” ให้เจ้าหน้าที่สืบสวนเพื่อหาคนในพื้นที่ที่ให้ความร่วมมือ
แหล่งข่าวบอกเล่าให้ฟังด้วยว่า ไม่ได้หมายถึงในพื้นที่ไม่มีแนวร่วมในการให้ความร่วมมือ แต่เป็นการร่วมมือด้วยการรายงานผ่านทางโทรศัพท์ มีการทำแผนที่รายละเอียดของเป้าหมายให้ก่อนหน้าที่จะเปิดปฏิบัติการ อีกทั้งมีการติดตามดู และประเมินผลการปฏิบัติการตลอดเวลา
ส่วนในเรื่องการเตรียมออกหมายจับ “นายอาหะมะ เล็งหะ” ซึ่งเจ้าหน้าที่ตรวจพบว่า มีดีเอ็นเอของเขาตกอยู่ในที่เกิดเหตุแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นปฏิบัติการวางเพลิงที่บริเวณหาดป่าตอง อ.กระทู้ จ.ภูเก็ตนั้น เจ้าหน้าที่ระบุว่า ได้เก็บดีเอ็นเอของบุคคลผู้นี้ไว้ใช้เปรียบเทียบแล้วเมื่อครั้งที่ก่อเหตุจลาจลที่หน้า สภ.ตากใบ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส ตั้งแต่ปี 2557
ซึ่งก็เป็นไปได้ที่จะเป็น 1 ในทีมปฏิบัติการก่อวินาศกรรมครั้งนี้ ซึ่งเป็นทีมที่ไปจากพื้นที่ จ.นราธิวาส นั่นเอง
แต่จากการแกะรอยการทำงานของเจ้าหน้าที่ยังพบอีกด้วยว่า เวลานี้เจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถที่จะขออนุมัติหมายจับได้ แม้จะมีหลักฐานในเรื่องของดีเอ็นเอแล้วก็ตาม เนื่องจากการตรวจสอบประวัติบุคคลเพื่อนำภาพประกอบหมายจับ พบว่า ในทะเบียนบุคคลกองบัตรประชาชนไม่มีชื่อ “นายอาหะมะ เล็งหะ” แต่อย่างใด
อันเป็นการแสดงให้เห็นว่า “นายอาหะมะ เล็งหะ” อาจจะเปลี่ยนชื่อใหม่ หรือย้ายทะเบียนราษฎรออกไปจาก จ.นราธิวาส ไปแล้วก่อนหน้านี้