xs
xsm
sm
md
lg

การผายลมซ้ำๆ ใน “วาทกรรมดรามา” ป่วน 7 จังหวัดท่องเที่ยวใต้ / ไชยยงค์ มณีพิลึก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


 
คอลัมน์  :  จุดคบไฟใต้
โดย...ไชยยงค์ มณีพิลึก
--------------------------------------------------------------------------------
 
 
การก่อวินาศกรรมด้วยระเบิด และการวางเพลิงในย่านธุรกิจการค้าใน 1 จังหวัดของภาคใต้ตอนล่าง กับ 6 จังหวัดของภาคใต้ตอนบน ซึ่งล้วนเป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญของไทยทั้งสิ้น ได้ก่อให้เกิดความ “ระส่ำระสาย” และ “โกลาหล ทั้งกับเจ้าหน้าที่รัฐ และประชาชน
 
เนื่องจากในพื้นที่ดังกล่าว นอกจากที่ อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ที่เคยมีการก่อวินาศกรรมที่ “ห้างเซ็นทรัล สมุย เมื่อวันที่ 10 เม.ย.2558 แล้ว ในพื้นที่เหล่านี้ยังไม่เคยมีเหตุการณ์ก่อวินาศกรรมเกิดขึ้น และยิ่งการเกิดขึ้นพร้อมๆ กันตั้งแต่ตอนบ่ายของวันที่ 11 ส.ค. ต่อเนื่องถึงเช้าวันที่ 12 ส.ค.ยิ่งสร้างความ “ตื่นตระหนก แก่ประชาชน และเจ้าหน้าที่
 
เพราะเหตุการณ์ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ดังนั้น แม้ว่าการก่อวินาศกรรมครั้งนี้จะผ่านไปแล้วหลายวัน แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องยังไม่สามารถที่จะ “สรุป ด้วยพยานหลักฐานได้ว่า การก่อเหตุร้ายในครั้งนี้ใครเป็น “ผู้บงการและใครเป็น “กลุ่มผู้ก่อการหรือ “ผู้ปฏิบัติการ”
 
แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ หลังสิ้นเสียงระเบิด และกลุ่มควัน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่าง “ฟันธง” ว่าเป็น “ความขัดแย้งทางการเมือง” ไม่ใช่ “การก่อการร้าย” ที่มาจากขบวนการแบ่งแยกดินแดนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเหมือนกับกับเหตุการณ์ก่อวินาศกรรมที่ห้างเซ็นทรัล บนเกาะสมุย เมื่อ ปี 2558
 
แต่แล้วคดีการวางระเบิดที่ห้างเซ็นทรัล เกาะสมุย ก็ปิดฉากลงที่การจับกุม การออกหมายจับ “คนในขบวนการแบ่งแยกดินแดน” ในพื้นที่ จ.ปัตตานี กับ จ.ยะลา เกือบทั้งหมด และจบลงแบบที่ไม่มี “การเมือง” หรือ “นักการเมือง” ติดร่างแหแม้แต่คนเดียว
 
ครั้งนี้ก็เช่นกัน จากวัตถุพยานที่พบในที่เกิดเหตุทั้ง 7 จังหวัดบ่งออกในเบื้องต้นว่า “อีมี่” ของ “โทรศัพท์มือถือ” ที่ใช้ในการจุดชนวนระเบิดทั้งหมดมาจาก “ประเทศมาเลเซีย” อีกทั้ง “อุปกรณ์” ในการประกอบวัตถุระเบิดแสวงเครื่อง และระเบิดเพลิงทั้งหมดไม่มีการหาซื้อในพื้นที่ เป็นการประกอบระเบิดขนาดเล็กจากนอกพื้นที่ ก่อนที่จะนำเข้าไปในจุดที่เกิดเหตุ
 
“ผู้ต้องสงสัย” ที่ใน “แฟ้มหน่วยงานความมั่นคง” กว่าร้อยละ 80 ที่กำลังเป็น “ตัวละคร” ของการก่อเหตุในครั้งนี้ เป็นคนใน จ.ปัตตานีและใกล้เคียง และมีการควบคุมตัว “ผู้ต้องสงสัยจาก จ. ปัตตานี” ไปสอบสวนแล้วหลายคน
 
ตรวจสอบทั้งทาง “เบื้องลึก” และ “เบื้องลับ” พบว่า เหตุป่วนประเทศครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องที่ทำอย่าง “ฉุกละหุก” และเป็นการก่อเหตุเพราะไม่พอใจในเรื่องของ “ประชามติ”  อย่างที่หลายฝ่ายพยายามที่จะให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นไปตามแนวทางนี้
 
แต่การป่วนเมืองทั้ง 7 จังหวัดเป็นการวางแผนก่อนหน้านี้กว่า 2 เดือน ไม่ใช่ “ปุบปับ หลังวันที่ 7 ส.ค.2559 ก็มีการสั่งการให้มีการก่อวินาศกรรมในทันที
 
ที่น่าสนใจคือ ก่อนหน้านี้หน่วยข่าวความมั่นคงตรวจสอบพบว่า ขบวนการก่อการร้ายในจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีแผนก่อเหตุครั้งใหญ่ในเดือน ส.ค.จึงได้ “แจ้งเตือน” หน่วยงานในพื้นที่ 4 จังหวัดให้ระวังป้องกัน แต่ “ไม่ได้เฉลียวใจ” ว่า จะเกิดเหตุร้ายใน 7 จังหวัดที่อยู่นอกเหนือพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
 
ถ้าการก่อวินาศกรรมครั้งนี้มาจากความขัดแย้งเรื่องประชามติ ทำไมระเบิดจึงไม่ไปเกิดใน “ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” หรือ “ภาคเหนือ” ของประเทศ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ประชาชนไม่รับประชามติ ทำไม่ถึงเกิดกับเมืองท่องเที่ยวทั้ง 7 จังหวัดของภาคใต้ตอนบน
 
เครือข่ายของ “คนการเมือง” ฝ่ายตรงข้ามกับ คสช.ในภาคใต้ตอนบนมี “ความเข้มแข็ง เพียงพอที่จะก่อวินาศกรรมได้หรือไม่ ตรงนี้คือประเด็นสำคัญ เพราะโดยข้อเท็จจริงในพื้นที่ 7 จังหวัดที่เกิดเหตุ กลุ่มคนการเมืองหรือเอาชัดๆ “คนเสื้อแดง ไม่มีศักยภาพที่เพียงพอในการที่จะก่อเหตุร้ายเช่นนี้
 
เพราะการก่อเหตุร้ายด้วยการใช้ “ระเบิดและ “วางเพลิง ต้องใช้ผู้ที่ผ่านการ “อบรมผ่านการ “ฝึกฝน และต้องมีจิตใจที่ “เข้มแข็ง” การหิ้วระเบิดไปวางในแต่ละจุดไม่ใช่การหิ้วขนม คนที่สามารถทำได้ ถ้าไม่ใช่เรื่องของ “ความมุ่งมั่นก็ต้องเป็นคนที่ “หัวใจใหญ่กว่าตับ
 
ถ้าคนในพื้นที่ 7 จังหวัดมีการวางแผนล่วงหน้า มีการเตรียมการผลิตระเบิดเพื่อใช้ในการก่อวินาศกรรม รวมทั้งต้องมีการเตรียมแผนในการหลบหนี หลบซ่อนตัวหลังเกิดเหตุแล้ว เจ้าหน้าที่ในพื้นที่จะ “ไม่ระแคะระคาย บ้างเลยหรือไร
 
ถ้าการก่อวินาศกรรมครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องของกลุ่มการเมืองฝ่ายตรงข้ามกับ คสช. แต่เป็นฝีมือของขบวนการแบ่งแยกดินแดนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ อะไรคือ “ปัจจัย” ของการก่อการร้ายในครั้งนี้?!
 
เบื้องแรกตรวจสอบกับ “การข่าว ของหน่วยข่าวความมั่นคงพบว่า นับตั้งแต่ปี 2556 เป็นต้นมา ขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่มี “บีอาร์เอ็น เป็นแกนนำได้ “ขยายแนวร่วม จากพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ออกไปเป็นเครือข่ายใน “ทุกจังหวัดของภาคใต้” รวมทั้ง “ประเทศไทย” ด้วย
 
และหากนำเอาการก่อวินาศกรรมที่ห้างเซ็นทรัล เกาะสมุย มาเป็น “โจทย์ ก็จะเห็นว่า กลุ่มก่อการร้ายในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ “มีขีดความสามารถ” ในการก่อการร้ายนอกพื้นที่ เพราะวางก่อการร้ายทั้งที่เกาะสมุย ซึ่งทำสำเร็จ และที่ จ.ภูเก็ต ที่ระเบิดไม่ทำงาน เป็นฝีมือของคนร้ายจาก จ.ปัตตานีเป็นส่วนใหญ่
 
ประเด็นถัดมา “ยุทธศาสตร์” ที่บีอาร์เอ็นประกาศคือ “การก่อวินาศกรรมเมืองเศรษฐกิจ และท่องเที่ยวของภาคใต้” ซึ่งเริ่มจากพื้นที่ 7 หัวเมืองใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และลุกลามไปที่ อ.หาดใหญ่ อ.สะเดา จ.สงขลา ซึ่งเป็น “เมืองหลวง ของภาคใต้ตอนล่าง
 
การก่อวินาศกรรมใน 7 หัวเมืองชายแดนใต้ และใน จ.สงขลาที่เกิดขึ้น บีอาร์เอ็นอาจจะมีการสรุปบทเรียนแล้วว่า ไม่ว่าจะ “ทำซ้ำ” อีกกี่ครั้ง ก็ไม่ได้สร้าง “ความหวั่นไหว” และ “ความเสียหาย” ให้มากพอที่จะเปลี่ยนสถานะของขบวนการให้ได้เปรียบ ทั้งใน “การทหาร” และในทาง “การเมือง” ต่อรัฐไทย
 
การก่อวินาศกรรม “นอกพื้นที่ชายแดนใต้” ซึ่งเป็น “เมืองท่องเที่ยว” จึงอาจจะเป็น “อาวุธ” หรือ “ไพ่” อีกใบหนึ่งของบีอาร์เอ็นที่จะ “พลิกเกม” ในแผนการแบ่งแยกดินแดนให้ได้เปรียบ ทั้งในด้านการเมือง และการทหาร เพราะการก่อวินาศกรรมการใช้ความรุนแรงในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนใต้ ณ วันนี้ ไม่ได้ส่งผล สะเทือนต่อรัฐและประชาชนอีกแล้ว
 
การก่อเหตุใน 7 จังหวัดที่เป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญ ไม่ใช่การ “ขยายพื้นที่” ในการแบ่งแยกดินแดน เพราะพื้นที่แบ่งแยกดินแดนยังคงเป็นพื้นที่เดิม แต่การก่อเหตุร้ายนอกพื้นที่ที่ถูกกำหนดเป็น “รัฐปัตตานีดารุสลาม” เป็นเรื่องของแสดงความสามารถเพื่อ “ส่งสาร” ให้รัฐไทยเห็น และรับรู้ว่าขบวนการแบ่งแยกดินแดนมี “เครือข่าย” ที่สามารถสร้างความเสียหายให้เกิดขึ้นได้
 
ในขณะที่ “ข่าวกรอง ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เชื่อมั่นว่า การก่อเหตุครั้งนี้เป็นฝีมือของ “สมาชิกรุ่นใหม่ ขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่ถูกสั่งการให้ปฏิบัติการ เพื่อทดสอบฝีมือ และความสามารถ โดยมีเป้าประสงค์ 2 ประการด้วยกัน
 
ประการแรก “ตอกลิ่ม ความขัดแย้งภายในประเทศระหว่าง “คนเสื้อสี ให้ร้าวฉานมากขึ้น ให้รัฐบาลหรือ คสช.ใช้ความรุนแรงต่อคนเสื้อสีที่เห็นต่างมากยิ่งขึ้น ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อประเทศไทยอย่างแน่นอน
 
ประการที่สอง “สร้างความขัดแย้ง” ระหว่าง “คนพุทธกับ “คนมุสลิมให้มากกว่าเดิม ให้เป็นศัตรูกันมากขึ้น เพื่อที่จะเป็น “หนทาง ไปสู่ “ความขัดแย้งทางศาสนา” ในอนาคต ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์หลักของบีอาร์เอ็น
 
สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะมีสาเหตุความขัดแย้งทางการเมือง ที่มาจากเรื่องของประชามติ หรือเป็นฝีมือของขบวนการแบ่งแยกดินแดน ล้วนเป็นสิ่งที่ “บ่งบอก” ว่า ขณะนี้ประเทศเรา และภาคใต้เรายังคงอยู่ใน “วังวนอันตราย” ที่เกิดจากความขัดแย้ง ซึ่งยิ่งนานวันยิ่งแก้ไขยาก ยิ่งนำไปสู่ความรุนแรงอย่างน่าตระหนก
 
ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องเร่งมือในการ “ทำความจริงให้ปรากฏ” โดยเร็ว เพื่อที่จะได้ข้อยุติอย่างแท้จริง ไม่ใช่ปล่อยให้คนส่วนใหญ่เชื่อข่าวสารในโลกของ “โซเชียลมีเดีย” ที่กลุ่มไหนเกลียดฝ่ายไหนก็ “โหมไฟแห่งความเกลียดชัง” กันจนกลายเป็นว่าวันนี้ “ไฟใต้” ได้ขยายวงลุกลามไปแล้วทั้งประเทศอย่างที่เป็นอยู่
 
 
 

กำลังโหลดความคิดเห็น